ตอนที่ 170 มีหวังกลับมามีอำนาจ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 170 มีหวังกลับมามีอำนาจ

อนุหร่วนมองดูแผ่นหลังของเขาที่ก้าวจากไปอย่างทึมทื่อ นางเคยได้รับบทเรียนจากวิธีการอันโหดเหี้ยมของทายาทคนโตตระกูลเซ่าผู้นี้มาแล้ว บ้านฝั่งมารดาที่นางให้การสนับสนุนล้วนตายจนหมดสิ้น กวาดล้างกำลังสนับสนุนจากภายนอกของพวกนางแม่ลูกจนหมด

สองชีวิตที่เอ่ยมาหมายถึงใคร สันหลังของนางเย็นวาบขึ้นมา

พอเซ่าผิงปอจากไป สองพี่น้องเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอก็เข้ามาทันที พวกเขารอให้เซ่าผิงปอไปแล้วถึงค่อยเข้ามา

เมื่อเห็นมารดามีท่าทางผิดปกติ เซ่าอู๋ปอจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เป็นอะไรไปขอรับ?”

อนุหร่วนคล้ายอยากร่ำไห้ออกมา “คิดหาทางสลายชุมนุมกวีนั่นซะ หาได้รอดพ้นสายตาของเขาไม่ เขามองออกแล้ว”

เซ่าฝูปอถาม “เขาว่าอย่างไรขอรับ?”

อนุหร่วนสะอื้นไห้น้ำตาไหล ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะพวกเจ้ามันไม่ได้เรื่อง บู๊ไม่เชี่ยวชาญบุ๋นไม่แตกฉาน ไม่อย่างนั้นเขาจะกล้าข่มขู่ข้าเช่นนี้เรอะ! ล้มเลิกซะ แค่คิดถึงเรื่องที่ตระกูลท่านยายเจ้าต้องเจอข้าก็กลัวแทบตายแล้ว!” กล่าวจบก็ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ร่ำไห้น้ำตานองหน้า สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจจนสองไหล่สั่นไหว

เห็นมารดาร่ำไห้ด้วยความเสียใจเช่นนี้ ผู้เป็นบุตรก็สุดจะทนรับไหว

ได้ฟังว่าเขามาข่มขู่มารดาตน ซ้ำยังเห็นมารดาร่ำไห้เช่นนี้ เซ่าฝูปอในชุดเกราะพลันฉุนขาดขึ้นมา เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้สารเลว ข้าจะลากเขาไปคุยกันให้รู้เรื่องต่อหน้าท่านพ่อ!”

“กลับมา!” เซ่าอู๋ปอดึงเขาเอาไว้ “ในเมื่อเขาพูดเรื่องชุมนุมกวีออกมา แสดงว่าเขาจะต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน ต่อให้ไปเถียงกันต่อหน้าท่านพ่อ เจ้านั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!”

เซ่าฝูปอชี้ไปทางมารดาที่ร่ำไห้อยู่ สื่อว่าแล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายมาข่มขู่มารดาเช่นนี้หรือ? แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็พบตนไม่มีปัญญาทำอะไรอีกฝ่ายได้จริงๆ ได้แต่กระทืบเท้าเต็มแรง สีหน้าฉุนเฉียว ทิ้งตัวนั่งลงด้านข้าง เบือนหน้าหนีไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

…..

บ้านตระกูลซ่ง ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ทั่วทั้งเรือนตกอยู่ในบรรยากาศกดดันที่บอกไม่ถูก

อิทธิพลที่ก่อตัวขึ้นจากอำนาจ ทันทีที่สูญเสียอำนาจไป อิทธิพลก็พังทลายลงทันที

นับตั้งแต่ที่หวังเหิงพาบุตรีจากไป รูปการณ์บางอย่างทำให้ตระกูลซ่งรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา ประตูเรือนที่ในอดีตเคยถูกเหยียบย่ำจนธรณีประตูแทบสึก ยามนี้กลับไม่มีผู้ใดไปมาหาสู่อีกแล้ว

แม้แต่ฝ่าซือที่ปกติคอยทำหน้าที่คุ้มกันตระกูลซ่ง ก็ถูกทางสำนักเรียกตัวกลับไปทีละคนๆ โชคดีว่าที่นี่คือเมืองหลวง โชคดีที่เจ้ากรมโยธาถงมั่วไม่ได้ทำเรื่องที่น่าหดหู่อันใด ตอนนี้จึงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องถึงบ้าน

และเป็นเพราะว่ายังมีถงมั่วอยู่ ซ่งเฉวียนจึงยังคงรั้งตำแหน่งเดิมในศาลาว่าการได้ แต่เขาก็ทราบถึงสถานการณ์ของตัวเองดี ท่าทีของเพื่อนร่วมงานรอบข้างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น ทั้งถากถางเยาะหยันสารพัด ทราบดีว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกถีบหัวส่งเป็นแน่

หลังเลิกงาน ซ่งเฉวียนกลับบ้านมาอย่างห่อเหี่ยว ระหว่างทางที่จะแวะไปคารวะบิดา บังเอิญพบคนรับใช้ได้นำทางคนผู้หนึ่งเดินมาพร้อมกัน

หากเป็นเวลาปกติ ซ่งเฉวียนไม่แน่ว่าจะจดจำคนผู้นี้เอาไว้ในใจ แต่ยามนี้เขาจดจำคนผู้นี้เอาไว้แล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรเพียงหนึ่งเดียวที่ยังไม่ไปจากตระกูลซ่ง เฉินกุยซั่ว!

เขายังเป็นฝ่ายยิ้มแย้มพร้อมเอ่ยทักทายเฉินกุยซั่วก่อนด้วย

ภายในโถงหลักของเรือนชั้นใน ซ่งจิ่วหมิงนั่งตัวตรง ซ่งซูและหลิวลู่ยืนขนาบสองข้าง

ทั้งสองคนที่เดินเข้ามาย่อมต้องทำความเคารพตามปกติ ซ่งจิ่วหมิงที่ไม่ใคร่ยิ้มแย้มนักกลับยิ้มให้เฉินกุยซั่วอย่างที่เห็นได้ยากในเวลาปกติ ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ฝ่าซือในตระกูลซ่งเหลือเจ้าเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ เห็นน้ำใจคนได้ในยามยาก! ไม่คิดเลยว่าตอนที่เหยี่ยนชิงยังอยู่จะได้พบพานมิตรแท้ที่จริงใจคนหนึ่ง ช่วงนี้ขาดแคลนกำลังคน ต้องลำบากเจ้าแล้ว”

ในใจเฉินกุยซั่วไร้คำพูด เขาเองก็อยากจากไปเช่นกัน ผู้ใดจะเต็มใจอยู่ที่นี่เพื่อเผชิญปัญหาพวกนี้กันเล่า แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาถูกหนิวโหย่วเต้าบีบบังคับ หากหนิวโหย่วเต้าไม่อนุญาต เขาก็ไปไหนไม่ได้

แต่ที่โชคดีคือหนิวโหย่วเต้าได้จัดการหาทางรอดให้เขาแล้ว หลังเสร็จเรื่องทางนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ให้ไป หาไม่แล้วหากหนีไปเช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรจะไปที่ใด สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เองก็ยังจะมาสังหารเขาอีก

“นายท่านกล่าวหนักเกินไปแล้วขอรับ สมัยที่ศิษย์พี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เกิดเป็นคนไม่ควรลืมบุญคุณ อาจารย์อาอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่นขอรับ” เฉินกุยซั่วมองซ่งซูแล้วเอ่ยออกมา

ซ่งซูยิ้มขึ้นมา สีหน้าพึงพอใจ ท่าทางคล้ายว่ามองคนไม่ผิดจริงๆ

ซ่งจิ่วหมิงพยักหน้า เผยสีหน้าชื่นชม ในใจนึกทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน รู้สึกว่าได้เห็นน้ำใจคนในยามยากโดยแท้ บนโลกนี้ คนเช่นนี้มีอยู่ไม่มากจริงๆ!

เขาโบกมือไปทางหลิวลู่

หลิวลู่หยิบตั๋วแลกทองหนึ่งแสนเหรียญทองออกมา เดินเข้ามายัดใส่มือเขา

เมื่อเห็นเงินมากมายแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเช่นนี้ ภายในใจเฉินกุยซั่วรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับทรัพย์ก้อนโตเช่นนี้ รากฐานของตระกูลซ่งมั่งคั่งเป็นอย่างมากจริงๆ! เขารีบแสร้งทำเป็นบ่ายเบี่ยง “ยังไม่มีผลงานไม่กล้ารับรางวัลขอรับ” ต้องการยัดคืนให้หลิวลู่

ซ่งซูเอ็ดใส่ “มัวยึกยักอะไร ให้เจ้าก็รับไว้ซะ นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้”

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินกุยซั่วจึงทำได้เพียงประสานมือเอ่ยขอบคุณ

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป เจ้ามิใช่คนนอกแล้ว เป็นคนในครอบครัวของตระกูลซ่งเรา ขอเพียงข้าสามารถกลับมามีอำนาจได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน!”

ขณะที่เอ่ยมาถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีคนรับใช้ปรากฏตัวขึ้นตรงประตู ถือจดหมายฉบับหนึ่งมา

หลิวลู่ออกไปรับ หลังรับจดหมายมาแล้วก็สอบถามเล็กน้อย ก่อนจะเปิดจดหมายออกอ่าน จากนั้นเดินกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว รายงานว่า “นายท่าน คนของมณฑลเป่ยโจวที่อยู่ในเมืองหลวงส่งจดหมายมาขอรับ”

ทุกคนที่อยู่ในห้องแปลกใจ ซ่งจิ่วหมิงขมวดคิ้ว “เซ่าเติงอวิ๋นส่งจดหมายหาข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลิวลู่ตอบว่า “ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ใด นายท่านเชิญอ่านดูเถิดขอรับ” เขายื่นจดหมายให้

หลังจากซ่งจิ่วหมิงรับไปอ่าน สีหน้าพลันดูตื่นตัวขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืน กวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีหวังที่จะกลับมามีอำนาจแล้ว!”

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนพากันตื่นตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซ่งเฉวียนรีบเอ่ยถาม “อย่างไรขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยเสียงขรึม “ในจดหมายบอกว่าหนิวโหย่วเต้าอยู่ที่แคว้นหาน ทางมณฑลเป่ยโจวสืบทราบว่าเขากำลังจะไปขอผลตะวันชาดที่หอหิมะเหมันต์มารักษาอาการป่วยให้บุตรชายไห่หรูเยวี่ย ขอเพียงจับหนิวโหย่วเต้าได้ เราก็จะได้การทำคุณไถ่โทษ ทางท่านเจ้ากรมก็จะมีเหตุผลในการช่วยพูดให้ข้า!”

ซ่งซูถาม “ท่านพ่อ จะเป็นกลลวงหรือไม่ขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงชูจดหมายขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นจดหมายที่คนของเป่ยโจวในเมืองหลวงส่งมาให้ ดูแล้วคงมิใช่เรื่องเท็จ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์ของข้าในตอนนี้ ทางมณฑลเป่ยโจวเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องลงมือกับข้าเลย ตอนแรกข้าก็แปลกใจอยู่ว่าเจ้านั่นมันกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้ปมปริศนาหลายๆ อย่างได้รับการคลี่คลายแล้ว ที่แท้เป็นผลตะวันชาดนี่เอง!”

ซ่งเฉวียนทั้งดีใจทั้งรู้สึกกังวล กล่าวว่า “มณฑลเป่ยโจวทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงเอ่ยว่า “มณฑลเป่ยโจวยื่นมือเข้ามาในเวลานี้ เท่ากับเป็นการส่งถ่านไฟให้ท่ามกลางหิมะ คาดว่าคงจะหวังใช้ประโยชน์อะไรจากข้าในอนาคต ข้าจะรับน้ำใจครั้งนี้เอาไว้!”

ซ่งเฉวียนถาม “ถ้าจับตัวหนิวโหย่วเต้าได้ ท่านเจ้ากรมจะช่วยให้ท่านพ่อกลับมามีอำนาจได้ใช่ไหมขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวว่า “ข้าติดตามเขามานานขนาดนี้ ทุกคนล้วนประจักษ์ต่อสายตา หากข้าทำคุณไถ่โทษแล้วเขายังไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ในอดีต เกรงว่าคงทำให้คนอื่นนึกขยาด อีกอย่าง มีความหวังย่อมดีกว่าไม่มีความหวังเลย!”

ซ่งซูกัดฟันเอ่ย “ไอ้สารเลวนั่นทำร้ายตระกูลซ่งของเราเอาไว้เจ็บปวดนัก ข้าจะไปจัดการเขาด้วยตัวเอง ระบายความแค้นในหัวใจข้า!”

“เจ้าไปเองแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เจ้ามั่นใจหรือ? เจ้ายังไม่ได้รับบทเรียนจากความเจ้าเล่ห์ของไอ้สารเลวนั่นอีกหรือ? หรือจะให้ข้าฝังลูกชายเพิ่มอีกคน? อายุขนาดนี้แล้ว ใช้สมองให้มากหน่อย ตัวเองเป็นใครควรจะทำอะไร เรื่องต่อสู้ฆ่าฟันปล่อยให้คนธรรมดาที่คิดว่าตัวเองแน่พวกนั้นไปจัดการ จะตายมากตายน้อยเพียงใดก็ล้วนแต่สมควร!” ซ่งจิ่วหมิงตวาดใส่ หันกลับไปมองหลิวลู่แล้วเอ่ยว่า “ติดต่อคนของสำนักเซียนสถิต บอกพวกเขาว่าหากจับหนิวโหย่วเต้าได้ ข้าก็จะฟื้นกลับมามีอำนาจได้!”

ซ่งซูชี้ออกไปด้านนอก “คนของพวกเขาเผ่นหนีไปหมดแล้ว มีแต่พวกที่เห็นพายุก็สละเรือ จะไปหาพวกเขาอีกทำไมขอรับ?”

ซ่งจิ่วหมิงกล่าวตำหนิ “ถือสาเรื่องนี้ โกรธเคืองเรื่องนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? อีกฝ่ายติดตามเจ้าเพราะหวังผลประโยชน์ ในเมื่อเจ้าให้อีกฝ่ายไม่ได้ เจ้ายังจะหวังให้เขามารับใช้เจ้าเปล่าๆ อีกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ยามนี้นอกจากสำนักเหล่านี้แล้ว พวกเรายังจะไปหาผู้ใดได้อีก? หากพวกเราไปหาคนอื่น คนอื่นไม่เพียงแต่อาจจะไม่ยอมช่วยเรา ดีไม่ดีอาจจะเอาไปขอความดีความชอบจากราชสำนักโดยตรงก็ได้ พวกเขาได้รับผลกระทบจากข้าไปแล้ว ในรูปการณ์เช่นนี้พวกเขายากจะไปหากลุ่มอำนาจอื่นพึ่งพิงได้ ดังนั้นพวกเขาต้องรับงานนี้แน่!”

เขาหันกลับไปกล่าวกับหลิวลู่อีกครั้ง “พวกเขาเองก็กำลังต้องการคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต้าอยู่พอดี บอกพวกเขาว่าหลังเสร็จเรื่องนี้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบพวกเขาแน่ ครั้งนี้ให้พวกเขาทุ่มเทกำลังสุดความสามารถ จะพลาดอีกไม่ได้เด็ดขาด!”

“ขอรับ!” หลิวลู่รับคำสั่ง

ดวงตาของเฉินกุยซั่วที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลอกไปมาเล็กน้อย

……

หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินกุยซั่วออกจากเรือนตระกูลซ่ง มายังเหลาสุราแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลซ่ง สั่งสุราหนึ่งกา จับจองโต๊ะตัวหนึ่ง นั่งดื่มสุราไปสองสามจอก จากนั้นฉวยโอกาสช่วงที่ไม่มีคนสนใจ ยัดม้วนกระดาษเล็กๆ ใส่มือเสี่ยวเอ้อที่มาเช็ดโต๊ะให้

….

ซางเฉาจงที่ใบหน้าบวมช้ำถูกคนพยุงลุกขึ้นมา เขาเช็ดเลือดกำเดา มองดูเฟิ่งรั่วหนานที่พากลุ่มคนจากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ช่วยไม่ได้ ความลับไม่มีในโลก ในที่สุดเฟิ่งรั่วหนานก็ทราบความจริงแล้ว ทราบเรื่องที่ไม่มีกาทมิฬแสนตัวอยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงการหลอกแต่งงานเท่านั้น

เฟิ่งรั่วหนานโกรธเกรี้ยว รู้สึกว่าตนเป็นเพียงเครื่องมือหาผลประโยชน์ในเรื่องนี้ ตอนที่มาหาซางเฉาจง นางเก็บความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ จึงเกิดการทุบตีขึ้น

ซางเฉาจงยังคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งรัวหนาน ทางด้านไป๋เหยาคล้ายอยากจะเห็นซางเฉาจงเจ็บตัวเสียบ้าง ไม่เพียงแต่จะไม่สอดมือเข้ามายุ่ง ซ้ำยังขัดขวางไม่ให้คนอื่นเข้ามาห้ามปรามด้วย

“ยังไม่รีบตามไปดูพระชายาอีก” หลานรั่วถิงตวาดใส่เหล่าทหาร

มีองครักษ์วิ่งตามเฟิ่งรั่วหนานไปทันที

หยวนฟางได้ยินเสียงโครมครามจากการต่อสู้จึงออกมาชมเรื่องครื้นเครง ยืนส่ายหน้าถอนใจอยู่ด้านข้าง แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจซางเฉาจงเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่งกับภรรยาเช่นนี้ช่างลำบากโดยแท้ นึกถึงครานั้นหากมิใช่เพราะพวกตนช่วยเหลือ เกรงว่าเขาคงไม่ได้แม้แต่จะร่วมหอด้วยซ้ำ

เขาเดินเข้าไปใช้พลังช่วยตรวจอาการให้ซางเฉาจงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับซางซูชิงที่มีสีหน้าเป็นห่วงว่า “ท่านหญิงไม่ต้องเป็นห่วง เพียงแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

ทางนี้เพิ่งจะประคองซางเฉาจงกลับเข้าไปทายาในเรือน องครักษ์ก็วิ่งกลับมารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายาไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ พาลูกน้องกลุ่มหนึ่งขี่ม้าออกจากเมืองไป บอกว่าจะกลับบ้านที่จังหวัดกว่างอี้พ่ะย่ะค่ะ”

“ไปเสียก็ดี อย่าได้กลับมาอีก นังผู้หญิงป่าเถื่อน!” ซางเฉาจงตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นสูดปากขึ้นมาอีกครั้งเพราะเจ็บแผลตรงมุมปากที่ถูกต่อยจนแตก

ซางซูชิงที่ช่วยทายาให้เขาเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “เสด็จพี่ เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นสตรีคนไหนก็ต้องโกรธทั้งนั้น พี่สะใภ้กำลังโมโห ท่านก็ยอมๆ บ้าง รีบส่งคนไปตามกลับมาเถอะ!”

ซางเฉาจงเองก็โมโหอย่างมากเช่นกัน ตบโต๊ะคราหนึ่ง “ห้ามใครไปตามทั้งนั้น!”

หลานรั่วถิงโบกมือให้ซางซูชิง “ท่านหญิง พระชายาโกรธเคืองเช่นนั้น คาดว่าถึงไปตามก็ตามกลับมาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้พระชายากลับไปสงบอารมณ์ที่บ้านมารดาก่อน เอาไว้ทุกคนใจเย็นลงกันหมดแล้ว เมื่อทุกคนยอมเผชิญหน้ากันแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยส่งคนไปเชิญตัวกลับมาก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ!”

“เฮ้อ!” ซางซูชิงยิ้มเจื่อนพลางถอนใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย คิดๆ ไปแล้วก็พบว่าจริงดั่งว่า

ด้านนอกมีองครักษ์เดินเข้ามาอีกครั้ง ยื่นรายงานฉบับหนึ่งให้ หลานรั่วถิงรับไปอ่านดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับซางเฉาจงว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวแจ้งมาพ่ะย่ะค่ะ สายลับที่แคว้นเยี่ยนส่งไปแฝงตัวตามจุดพักม้าของแคว้นต่างๆ ถูกทั้งหกแคว้นทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ เสียหายอย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ!”

หยวนฟางที่กำลังใช้พลังช่วยทำให้โลหิตของซางเฉาจงไหลเวียนอยู่อดแสยะปากหัวเราะ “เหอะๆ” ออกมาไม่ได้

คนอื่นๆ หันไปมองพร้อมกัน หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “ดูจากท่าทีของไต้ซือแล้ว คล้ายจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้วกระมัง?”

หยวนฟางหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “เดิมทีสายลับเหล่านั้นเป็นราชสำนักแคว้นเยี่ยนที่ส่งมาเพื่อตามหาตัวเต้าเหยี่ย ตลอดทางพวกข้าถูกจับตามอง ถูกไล่ล่า ถูกดักซุ่มสังหาร สร้างความยุ่งยากวุ่นวายให้เต้าเหยี่ยยิ่งนัก ทำให้พวกข้าต้องคอยหนีไปหนีมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ บีบคั้นจนเต้าเหยี่ยต้องลงมือตอบโต้พวกเขา สุดท้ายเต้าเหยี่ยก็จับหางของพวกเขาได้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่มีทางสู้เต้าเหยี่ยได้ พวกท่านก็ลองดูสิ ตอนนี้ซวยกันหมดเลยใช่ไหมล่ะ!”

…………………………………………….