ตอนที่ 152 ปวดใจ
ครั้นเห็นสองพี่น้องตระกูลเซี่ย เจียงจั้นจึงรีบเดินเข้าไปหาด้วยความกระตือรือร้น “อินโหลว นี่พวกเจ้ากำลังจะไปไหนกันหรือ”

ใบหน้าของเซี่ยอินโหลวไม่ปรากฏรอยยิ้มใดๆ เพียงแต่มองเจียงจั้นด้วยสายตาเรียบเฉย “ข้าพาน้องสาวออกมาซื้อของ”

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาหันไปมองเจียงซื่อแค่แวบเดียวเท่านั้น เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนละสายตากลับไป

หากเทียบกันแล้ว เจียงจั้นจึงดูเป็นคนโอบอ้อมอารีมากกว่า เขาเอ่ยทักทายเซี่ยชิงเหยาด้วยความกระตือรือร้น “หมู่นี้ไม่ค่อยได้พบน้องชิงเหยาเลยนะ ดูงามขึ้นกว่าเดิมอีกนะเนี่ย”

แต่ก็แน่นอนว่ามิได้งามไปกว่าน้องสาวของเขา

ใบหน้าของเซี่ยชิงเหยาขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ก็มิได้แสดงท่าทีเก้อเขิน กลับส่งยิ้มหวานเยิ้มให้เจียงจั้น “ขอบคุณพี่เจียงเอ้อร์สำหรับคำชมเจ้าค่ะ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”

เจียงซื่อที่ยืนฟังเงียบๆ อยู่ด้านข้างหลุดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้

บางครั้งนางรู้สึกว่าพี่รองและชิงเหยาเหมาะสมจะเป็นพี่น้องกันมากกว่าเซี่ยอินโหลวเสียอีก…

สำหรับเจียงซื่อ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกัน แต่กลับมีบางอย่างในตัวเขาที่เจียงซื่อรู้สึกไม่เข้าใจนัก

นางจำได้ว่าตอนเด็กๆ เซี่ยอินโหลวและพี่รองของนางคล้ายคลึงกัน ทั้งคู่เป็นตัวแสบจอมสร้างปัญหา ชอบแกล้งนางและเซี่ยชิงเหยา แต่ตอนหลังไม่ทราบว่าด้วยเหตุใดถึงได้กลับกลายเป็นคนเคร่งขรึม

มีคำที่บอกว่า เมื่อโตขึ้นเด็กสาวจะเปลี่ยนจากเดิมถึงแปดในสิบ แต่นางกลับรู้สึกว่าเซี่ยอินโหลวดูเปลี่ยนไปมากกว่าใครทั้งหมด

“นี่พวกเจ้าก็กำลังกลับจวนงั้นหรือ” เจียงจั้นเอ่ยถาม

เซี่ยอินโหลวตอบสั้นแค่คำเดียว “อือ”

“งั้นก็พอดีเลย ให้น้องสี่ของข้าเดินกลับไปพร้อมพวกเจ้าด้วยก็แล้วกัน พอดีข้ามีธุระต้องไปจัดการอีกนิดหน่อย”

เซี่ยอินโหลวไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่หันไปมองเจียงซื่อ

เซี่ยชิงเหยาเข้าไปเกาะแขนเจียงซื่ออย่างสนิทสนม “ดีจริงๆ เลย ข้ากำลังอยากไปนั่งเล่นกับอาซื่ออยู่พอดี อาซื่อ หากเจ้ามิได้มีเรื่องให้ต้องรีบกลับจวนก็ไปนั่งเล่นที่จวนข้าก่อนเถิด”

เจียงซื่อลังเลเล็กน้อย เซี่ยชิงเหยาจึงเขย่าแขนนาง “ไปเถอะ ไปเถอะ วันก่อนข้าอยากไปหาเจ้าที่จวน แต่ว่าที่จวนของเจ้า… ข้าจึงไม่กล้าไป…”

เจียงซื่อพยักหน้าตกลงอย่างจำยอม “ก็ได้ ทว่าข้าออกมานานแล้ว คงนั่งเล่นกับเจ้าได้แค่ครู่เดียว”

“แล้วมันอย่างไรกัน จวนของพวกเราอยู่ติดกัน ให้อาหมานกลับไปแจ้งที่จวนก็สิ้นเรื่อง…” เซี่ยชิงเหยาคล้องแขนเจียงซื่อเดินไป

เจียงจั้นขยี้จมูกตัวเอง

เขายังไม่ทันเดินไปไหนเลย โดนลืมแล้วงั้นหรือ

“อินโหลว ฝากเจ้าดูน้องสี่ของข้าด้วยก็แล้วกัน”

“วางใจได้” เซี่ยอินโหลวหันหลังเดินกลับไป เขาเดินตามหลังเจียงซื่อและเซี่ยชิงเหยาโดยเว้นระยะห่างเอาไว้

เจียงจั้นถอนหายใจยาว

ครั้นมองดูทั้งสามเดินจากไป คนเป็นพี่ชายก็รู้สึกเบาใจ เขาจะได้ไปหาพี่อวี๋ชีต่อ…

เจียงจั้นถือโสมภูเขาราคาแพงไปที่ตรอกเชวี่ยจื่อ

อวี้จิ่นจัดการเหลียงผีกล่องนั้นจนเกลี้ยง แม้แต่พริกซอยที่ไว้โรยก็ไม่เหลือ ครั้นกินเสร็จก็ล้างหน้าบ้วนปาก และเปลี่ยนไปสวมชุดด้านในสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ แล้วไปนอนพักอยู่บนเตียง เมื่อหวนนึกถึงจุมพิตวันนี้ก็รู้สึกสุขล้นไปทั้งใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พลิกตัวหันไปอีกด้าน

เจออาซื่อคราวหน้า เขาจะขอนางแต่งงาน

“เจ้านาย คุณชายเจียงมาขอรับ” หลงต้านวิ่งเข้ามารายงาน

อวี้จิ่นรีบลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกไปทันที

บริเวณกลางลานบ้าน กลีบดอกเหอฮวนจำนวนมากปลิวว้าว่อนไปตามสายลม เจียงจั้นถือกล่องของขวัญพลางสับเท้าก้าวเข้ามาด้านใน “พี่อวี๋ชีกำลังบาดเจ็บ ไฉนจึงไม่รออยู่ในห้อง ออกมาข้างนอกทำไมกัน”

ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้อง หลงต้านยกน้ำชาเข้ามาแล้วไปยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง

“น้องเจียงเอ้อร์ นี่คือ…” อวี้จิ่นมองไปที่กล่องไม้สีชาดที่เจียงจั้นวางไว้บนโต๊ะพลางเลิกคิ้วถามขึ้น

“ข้าซื้อโสมภูเขามาแง่งหนึ่ง เอาไปต้มดื่มจะช่วยบำรุงกำลังได้อย่างยอดเยี่ยม”

“น้องเจียงเอ้อร์ ลำบากเจ้าแล้ว” อวี้จิ่นทราบดีว่าโสมภูเขาแง่งหนึ่งเป็นเงินเท่าไหร่ถึงได้รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

จะว่าไปแล้ว เขามีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ นอกจากอาซื่อแล้ว ก็มีเจียงจั้นที่ดีกับเขาที่สุด

เขาช่างโชคดีเหลือเกิน

“แล้วก็มีนี่ด้วย” เจียงจั้นลวงถุงเงินออกมา

หลงต้านที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นขยี้ตา

นี่เขาตาฝาดไปหรือ ไฉนถุงเงินนั้นถึงได้ดูคุ้นตาเช่นนี้!

“น้องสี่ให้เอามาให้ บอกว่าหากพี่อวี๋ชีใคร่อยากทานสิ่งใดก็ให้นำเงินนี้ไปซื้อ”

อวี้จิ่นจ้องถุงเงินนั้น “ข้าคงรับไว้ไม่ได้”

เขารู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นถุงเงินนี้อยู่กับหลงต้านมาก่อน

“พี่อวี๋ชี ท่านรับไว้เถิด ท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อข้า ในสายตาน้องสี่ ท่านก็เป็นผู้มีพระคุณต่อนางเช่นกัน”

“ผู้มีพระคุณ?” อวี้จิ่นเอ่ยคำสี่พยางค์นั้นซ้ำพลางหันมองเจียงจั้น

เขาไม่ชอบการเรียกแบบนั้นเลยสักนิด

ทั้งที่อาซื่อก็มีใจให้เขา ไฉนถึงได้มองเขาเป็นผู้มีพระคุณของพี่ชายเสียได้

เจียงจั้นหันหน้าไปหาหลงต้าน “หลงต้าน เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดกับพี่อวี๋ชี”

หลงต้านเหลือบมองไปที่อวี้จิ่น อวี้จิ่นจึงพยักหน้าเล็กน้อย

หลงต้านมองถุงเงินบนโต๊ะอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ กุมมือไว้ที่อกพลางถอยออกไป

เมื่อในห้องเหลือเพียงชายหนุ่มสองคน เจียงจั้นจึงตัดสินใจว่าจะคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจน

“พี่อวี๋ชี ข้ารู้เรื่องที่น้องสี่มาที่นี่วันนี้ ระหว่างทางกลับข้าได้ถามนางแล้ว…”

เมื่อเจียงจั้นเว้นวรรคไป หัวใจของอวี้จิ่นก็พลันหยุดเต้นตามไปได้

ยามที่อยู่ต่อหน้าเขา อาซื่อไม่เคยเอ่ยปากยอมรับ เป็นไปได้ไหมว่าจะยอมบอกความจริงยามอยู่ต่อหน้าพี่ชาย…

ท่าทีจริงจังของอวี้จิ่นทำให้เจียงจั้นเริ่มประหม่า เขาจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะตนเอง “น้องสี่นาง… นางไม่ได้คิดอะไรกับพี่อวี๋ชี… ข้ารู้ว่าพี่อวี๋ชีรู้สึกอย่างไรกับน้องสี่ เดิมทีหากน้องยินยอมพร้อมใจ ข้าที่เป็นพี่ชายก็คงไม่เอ่ยขัดสิ่งใด แต่ครั้นนางมิได้รู้สึกอะไร ข้าก็ไม่อาจทนเห็นพี่อวี๋ชีเป็นเช่นนี้ต่อไปได้อีก เพราะมันจะส่งผลเสียกับทั้งคู่…”

แม้ว่าวาจาเหล่านี้ยากเกินเอื้อนเอ่ย แต่เนื่องด้วยความจริงใจที่มีต่ออวี้จิ่น เจียงจั้นจำต้องบอกออกไป

ในเมื่อน้องสี่ไม่ได้ชอบพี่อวี๋ชี มันคงจะน่าอายหากคนเป็นพี่ชายต้องมาเห็นพี่อวี๋ชียักคิ้วหลิ่วตาใส่น้องสี่

ดีไม่ดีเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสอง มิสู้เขาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างแต่แรก

พี่อวี๋ชีหยิ่งในศักดิ์ศรี หากฝ่ายหญิงไม่มีใจให้ก็คงไม่ดันทุรังต่อไป

ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นในหัวของเจียงจั้น แต่แล้วก็พบว่าสีหน้าของอวี้จิ่นย่ำแย่จนน่าตกใจ “พี่อวี๋ชี อาการช้ำในกำเริบงั้นหรือ”

อวี้จิ่นยิ้มเจื่อน

อาการช้ำในกำเริบที่ไหนกัน เขาเพิ่งถูกมีดปักเข้าที่กลางใจอย่างไม่ทันตั้งตัว และความเจ็บนั้นยังคงแผ่ซ่านไปทั่ว

“คุณหนูเจียงคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ”

เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นยังไม่เชื่อ เจียงจั้นจึงยืนกราน “งั้นข้าจะไม่ปิดบังพี่อวี๋ชีก็แล้วกัน น้องสี่บอกว่าต่อให้นางต้องแต่งงาน นางก็จะไม่ยอมแต่งกับท่าน ทั้งยังสัญญาอีกว่าจะไม่มาพบท่านอีก…”

อวี้จิ่นลุกขึ้นยืนก่อนที่เจียงจั้นจะพูดจบ

“พี่อวี๋ชี?”

“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้จิ่นแทบยิ้มไม่ออก “น้องเจียงเอ้อร์ ข้ายังมีอาการบาดเจ็บอยู่ เกรงว่าจะนั่งนานๆ ไม่ได้ ไว้ข้าเลี้ยงสุราเจ้าวันหลังแล้วกัน”

“ไว้วันอื่นก็ได้ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พี่อวี๋ชี น้องสี่…”

“ในเมื่อคุณหนูเจียงว่าอย่างนั้น ข้าก็เข้าใจแล้ว น้องเจียงเอ้อร์วางใจได้”

เมื่อเจียงจั้นกลับไปแล้ว อวี้จิ่นได้แต่นั่งอมทุกข์อยู่พักใหญ่ มือของเขาเขี่ยเชือกบนถุงเงินอย่างใจลอย

“เจ้านาย…” หลงต้านเหลือบมองถุงเงินของตัวเองแล้วแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“หืม?” อวี้จิ่นปรายตาขึ้นมองหลงต้าน

นัยน์ตาที่เคยสุกสกาวในเวลานี้กลับดูล้ำลึกและไร้ชีวิตชีวา

หลงต้านไม่กล้าเอ่ยให้มากความ ได้แต่หัวเราะแห้งพลางบอก “ไม่มีอะไรขอรับ”

อวี้จิ่นคว้ากล่องโสมภูเขาและถุงเงินแล้วเขวี้ยงไปทางหลงต้าน “ไสหัวออกไป!”

หลงต้านถือกล่องและถุงเงินนั้นวิ่งออกไปทันที เมื่อออกไปแล้วก็ไปนั่งลูบหลังเอ้อร์หนิวพลางบอก “เอ้อร์หนิว ดูเหมือนว่าเจ้านายจะทุกข์ใจมากทีเดียว เจ้าเข้าไปดูหน่อยเถอะ”