ตอนที่ 153 คุณชายรูปงามดุจหยก
เอ้อร์หนิวส่ายหางวิ่งเข้าไป เมื่อเห็นเจ้านายนั่งนิ่งไม่ไหวติง มันจึงไปนอนหมอบอยู่ข้างๆ ปากของมันเกยอยู่บนรองเท้าของผู้เป็นนาย มันหรี่ตาลงอย่างผ่อนคลาย
ท่าทางสงบนิ่งเชื่อฟังของเอ้อร์หนิวดึงดูดสายตาของอวี้จิ่น ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบหัวของสุนัขตัวใหญ่พลางพึมพำว่า “หากนางมิได้โกรธเกลียดข้า ข้าก็จะไม่ยอมแพ้”
เขาไม่ขอสิ่งใดมากไปกว่านี้ แค่หวังเพียงได้อยู่กับสตรีผู้ที่ครองหัวใจของเขาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยไปจนแก่จนเฒ่า แต่แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงได้ดูยากเย็นเสียเหลือเกิน
อวี้จิ่นไม่เคยคิดจะยอมแพ้
เขาเคยให้นางเลือกแล้ว
หลังจากที่รู้ว่าฝ่ายหญิงหมั้นหมายกับชายอื่น เขาก็อุตส่าห์อดกลั้นความฉุนเฉียวที่อยากฆ่าคนเอาไว้ แล้วนึกยินดีด้วยอยู่ลึกๆ แต่ในเมื่องานแต่งงานของนางถูกยกเลิกไปแล้ว เขาก็ไม่อาจทนดูนางออกเรือนไปกับชายอื่นได้อีก
แล้วที่นางดึงดันอยู่นั้นเป็นเพราะสาเหตุใดกัน
อวี้จิ่นว้าวุ่นเต็มประดา
ตัวเขามิใช่ชายหนุ่มใจเย็นที่เดินเที่ยวเล่นในดงดอกไม้บาน จึงมิได้สันทัดในการเอาใจหญิงสาว ทุกครั้งที่เข้าใกล้อาซื่อก็มีเพียงหัวใจที่มุ่งมั่นแน่วแน่เท่านั้น
แต่ยามนี้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้วว่าเป็นอย่างไร เขาอยากจะควักหัวใจดวงนี้ออกมาแผ่กางไว้ตรงหน้าของหญิงผู้เป็นที่รัก ให้นางได้เห็นความจริงใจที่เขามีให้ และอยากถามนางสักคำว่าเพราะเหตุใดกัน
ต่อให้ต้องแต่งงานก็จะไม่ยอมแต่งกับเขางั้นหรือ
แค่อวี้จิ่นหวนนึกว่าถ้อยคำเหล่านี้เปล่งออกมาจากปากของเจียงซื่อ เขาก็รู้สึกราวกับว่าทั้งร่างของเขากำลังจมลงสู่หลุมน้ำแข็งลึก นอกจากความเย็นเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วไขกระดูก เขายังรู้สึกว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ
จะไม่มาพบเขาอีกงั้นหรือ
อวี้จิ่นยกชาที่เย็นชืดขึ้นมากระดกจนหมดก่อนจะปาถ้วยนั้นลงพื้น
ถ้วยชาไม่ได้แตก เพียงแต่กลิ้งไปที่มุมกำแพง เอ้อร์หนิวเอื้อมเท้าของมันมาหยุดไว้ มันแลบลิ้นออกมาเลียน้ำชาที่เหลือค้างอยู่ในแก้ว
สุนัขตัวใหญ่หน้ายู่
ไม่อร่อย มิน่าล่ะเจ้านายถึงโมโห
อวี้จิ่นลุกขึ้นและเดินวนไปวนมาภายในห้อง
จะว่าเสียใจก็เสียใจ จะว่าโกรธก็โกรธ แต่อย่างไรแล้วเขาก็มิอาจปล่อยมือจากอาซื่อได้อยู่ดี!
การได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากปากเจียงจั้นแล้วอย่างไร ต่อให้ต้องได้ยิน เขาก็ยังอยากได้ยินจากปากของอาซื่อถึงจะยอมเชื่อ
หลังจากเดินวนไปมาสองสามรอบ อวี้จิ่นก็ตัดสินใจว่า ถ้าอาซื่อไม่มาพบเขา เขาก็จะไปหาอาซื่อเอง อย่างไรแล้วก็ดีกว่าการนอนกลิ้งไปกลิ้งมาให้ช้ำในขึ้นมาจริงๆ
เพราะต่อให้เจ็บป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่มีใครเหลียวแลอยู่ดี
……
จวนหย่งชังปั๋วและจวนตงผิงปั๋วห่างกันแค่กำแพงกั้น รูปแบบของจวนทั้งสองแทบจะไม่แตกต่างกัน
แต่เนื่องจากหย่งชังปั๋วมีผลงานโดดเด่น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คุณูปการของเขาทำให้ตำแหน่งดั้งเดิมของรุ่นที่สามยังคงสืบทอดต่อไป จวนหย่งชังปั๋วได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหลัง ทำให้ดูมีชีวิตชีวากว่าจวนตงผิงปั๋วมาก
ภายในห้องของเซี่ยชิงเหยาถูกประดับด้วยกระถางดอกไม้สดจำนวนมาก เสริมให้บรรยากาศดูสดใส
“อาซื่อ เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่หรือเปล่า” เซี่ยชิงเหยากล่าวพลางเอื้อมมือไปเขย่าตัวเมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทติดจะเหม่อลอย
เจียงซื่อเพิ่งได้สติ “ว่าอย่างไรนะ”
ป่านนี้พี่รองน่าจะไปบอกกับเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะว่าอย่างไรบ้าง…
“ดู๊ดู เหม่ออีกแล้ว” เซี่ยชิงเหยาขยับตัวเข้ามาใกล้พลางกะพริบตามองปริบๆ “อาซื่อ เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าคงมิได้กำลังมีความรักใช่หรือไม่”
“ไร้สาระน่า” เจียงซื่อส่งสายตาไปที่เพื่อนสนิท พลางสงบสติอารมณ์ตัวเอง
ครั้นเซี่ยชิงเหยาสั่งให้สาวรับใช้ออกไปจากห้องแล้ว นางก็เริ่มเล่าข่าวลือที่ได้ยินมาให้เจียงซื่อฟังทันที “เจ้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหรือว่า ช่วงนี้ในเมืองหลวงมีคุณชายคนหนึ่งนามว่าหรูอวี้ ”
“คุณชายรูปงามดุจหยกอะไรกันหรือ”
“ว่ากันว่าคุณชายผู้นั้นคือคุณชายจากเรือนผู้ตรวจการแห่งศาลาว่าการ ทั้งหน้าตาหล่อเหลาและคุณสมบัติสูงส่ง เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาได้ไม่นาน”
คุณชายจากจวนผู้ตรวจการแห่งศาลาว่าการ?
ภาพชายวัยกลางคนไว้เครายาวประกอบกับดวงตาฉายแววรอบรู้ปรากฏขึ้นในความคิดของเจียงซื่อ
หรือว่าคุณชายที่เซี่ยชิงเหยาเอ่ยถึงคือลูกชายของใต้เท้าเจิน
“ในเมื่อเพิ่งเข้าเมืองหลวงมาได้ไม่นาน ไฉนเรื่องราวถึงได้เป็นที่เลื่องลือขนาดนี้” เจียงซื่อถามเซี่ยชิงเหยา
เซี่ยชิงเหยาดวงตาเบิกกว้าง และเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “อาซื่อ สองสามวันมานี้เจ้ามิได้สนใจเรื่องภายนอกเลยหรือยังไง”
“ข้าได้ยินแค่ว่าองค์ชายเจ็ดถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นอ๋องเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ทราบ”
สองสามวันมานี้นางมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่อวี้ชีหายตัวไป จึงไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องคุณชายรูปงามดุจหยก
เซี่ยชิงเหยากลั้นหัวเราะ “เรื่องขององค์ชายเกี่ยวอะไรกับพวกเรา เรื่องคุณชายรูปงามดุจหยกน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ”
เมื่อฟังเรื่องที่เซี่ยชิงเหยาเล่ามา เจียงซื่อถึงได้รู้ว่าสองวันมานี้มีเรื่องที่ชาวเมืองกำลังให้ความสนใจ
ในเมืองหลวงมีโรงสุราแห่งหนึ่งชื่อว่า หอจ้วงหยวน พอเหล่านักเรียนเริ่มมีชื่อเสียงก็จะมาร่ำสุราที่นี่เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล เจ้าของหอจ้วงหยวนเป็นคนฉลาด หากมีนักเรียนคนใดแต่งกลอนได้น่าประทับใจก็จะไม่คิดเงินค่าสุรา นานวันเข้าหอจ้วงหยวนจึงกลายเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่านักปราชญ์และบัณฑิต
ผู้ตรวจการแห่งศาลาว่าการพระนครนั้น ก่อนหน้านี้เคยรับตำแหน่งเป็นข้าราชการในเมืองหลวง บรรดาบุตรสตรีแม้จะเกิดในเมืองหลวง แต่ก็ต้องตามไปอยู่กับบิดาที่ถูกส่งไปประจำการต่างถิ่น เมื่อคุณชายรูปงามดุจหยกกลับมาที่เมืองหลวง บรรดาสหายที่เล่นด้วยกันตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยก็ต้อนรับขับสู้อย่างดีโดยมีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่หอจ้วงหยวน
เรื่องบังเอิญมีอยู่ว่า ขณะนั้นในหอจ้วงหยวนมีบัณฑิตสองสามคนที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบของคนซีเหลียงเข้าไปยั่วยุนักเรียนต้าโจวที่กำลังร่ำสุราอยู่ในหอ
ซีเหลียงและต้าโจวมีชายแดนติดกัน เดิมทีเคยเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับต้าโจว แม้ว่าภายหลังวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของต้าโจวจะเจริญก้าวหน้าจนถึงขีดสุด แต่เพราะกองทัพอ่อนกำลังลงไปมาก กอปรกับซีเหลียงเริ่มปีกกล้าขาแข็ง ซีเหลียงจึงเริ่มไม่เห็นความสำคัญของต้าโจว
จนถึงปัจจุบันซีเหลียงก็ยังพยายามช่วงชิงความเป็นใหญ่ทางวัฒนธรรมกับต้าโจวอยู่เนืองๆ พวกเขาเชื่อว่าตนเองคือต้นกำเนิดสายธารความรุ่งเรืองแห่งเมธีร้อยสำนัก
แม้ว่าทั้งสองอาณาจักรจะถูกกั้นด้วยแม่น้ำสายหนึ่ง แต่วัฒนธรรมและประเพณีกลับคล้ายคลึงกัน มีการไปมาหาสู่ระหว่างกันมากกว่าอาณาจักรรอบๆ ข้าง การที่นักเรียนจากซีเหลียงเดินทางมาศึกษาร่ำเรียนที่ต้าโจวก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้จนชินตา
ยามที่เหล่าปัญญาชนเผชิญหน้ากัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ต่อสู้กันด้วยกำปั้น แต่เลือกที่จะใช้วิธีการแข่งขันประชันบทกลอน แข่งหมากรุก และแข่งวาดภาพเขียนแทน
มีคนหนึ่งในกลุ่มคนซีเหลียงที่มีความสามารถโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ นักเรียนต้าโจวจึงไม่อาจต่อกรด้วยได้ ในตอนนั้นเองคุณชายรูปงามดุจหยกก็ปรากฏตัวขึ้น ตั้งแต่การต่อบทกวีไปจนถึงการท่องบทประพันธ์ คุณชายรูปงามดุจหยกก็สามารถเอาชนะความยโสโอหังของคนซีเหลียงผู้นั้นได้อย่างราบคาบ และในที่สุดพวกเขาก็ยอมแพ้และล่าถอยกลับไป
ชาวต้าโจวชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งบุคคลนั้นมีบุพการีเป็นถึงคนใหญ่คนโตด้วยแล้ว เรื่องที่คุณชายหรูหวี้เอาชนะปราชญ์แห่งซีเหลียงได้จึงเลื่องลือไปไวกว่าเดิม
“คุณชายเจินผู้นั้นน่ะได้ยินมาว่าอายุโตกว่าพวกเราไม่เท่าไหร่ แต่ก็เป็นซิ่วไฉแล้ว เห็นว่าจะเข้าสอบตำแหน่งขุนนางในฤดูใบไม้ร่วงนี้ด้วย เจ้าว่าสุดยอดไหมล่ะ” ยามอยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิท เซี่ยชิงเหยาไร้ซึ่งความกระดากอาย นางพูดเรื่องที่หญิงสาวส่วนใหญ่ชอบพูดด้วยแววตาเป็นประกาย
เจียงซื่อพยักหน้า “สุดยอด”
มีบิดาเป็นถึงใต้เท้าเจิน คุณชายเจินผู้นั้นคงฉลาดไม่เบา
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่มีทีท่าสนอกสนใจ เซี่ยชิงเหยาจึงมิได้เอ่ยต่อ
เรื่องของบุรุษที่มีความสามารถโดดเด่นย่อมเป็นที่ดึงดูดความสนใจของสตรีเป็นธรรมดา แต่สำหรับสตรีที่เก็บงำความรู้สึกแล้วจึงไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไร
“คุณหนู ขนมเกล็ดหิมะพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อชิงอีสาวรับใช้ได้รับอนุญาตจากเซี่ยชิงเหยาแล้วก็เดินถือจานกระเบื้องเคลือบทรงใบบัวเข้ามา
บนจานทรงใบบัวสีเขียวเข้มมีขนมเกล็ดหิมะรูปทรงดอกไม้ที่นำไปคลุกกับมะพร้าวขูด ดูน่ารับประทาน แค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอ
เซี่ยชิงเหยายิ้มแย้มพลางหยิบขนมเกล็ดหิมะชิ้นหนึ่งยื่นไปที่ปากของเจียงซื่อ “อาซื่อชิมดูสิ แม่ครัวที่จวนข้าทำขนมเกล็ดหิมะอร่อยจนน่าทึ่งเชียวล่ะ ปกติข้าจะกินแค่วันละสองชิ้น ถ้าไม่กลัวรูปร่างอ้วนเผละ ข้าคงจะกินคนเดียวทั้งจานให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
เมื่อเจียงซื่อได้ชิมก็รู้สึกว่ารสชาติดีอย่างที่คุยไว้ นางจึงเอ่ยชมไม่หยุดปาก
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อชอบขนมนั้น เซี่ยชิงเหยาจึงผุดยิ้มหวาน
รอยยิ้มสดใสของเพื่อนสนิท ทำให้เจียงซื่อสรุปในใจว่า ความกลัดกลุ้มใจของฮูหยินแห่งจวนหย่งชังปั๋วคงถูกปัดเป่าไปหมดแล้ว
แต่ใครจะรู้ว่าในวันต่อมาจะเกิดเหตุร้ายขึ้นที่จวนหย่งชังปั๋ว