ตอนที่ 154 เรื่องร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด
หย่งชังปั๋วฮูหยินถูกหย่งชังปั๋วฆ่าตาย!
ขณะที่เจียงซื่อได้ยินข่าวนี้นางกำลังดื่มน้ำผึ้ง ถ้วยใบเล็กในมือหล่นลงบนพื้นแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย น้ำผึ้งหกเปื้อนกระโปรงของนาง ดอกชบาขนาดใหญ่โดนน้ำจนเป็นรอยเข้ม
ปฏิกิริยาของเจียงซื่อสร้างความตกใจให้อาหมานอย่างมาก นางจึงรีบพูดปลอบประโลม “คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ ไม่ต้องกลัว…”
หมู่นี้มันอะไรกัน เหตุใดถึงมีคนตายอีกแล้ว!
ใบหน้าของเจียงซื่อขาวซีดยิ่งกว่าหิมะ เอียงตัวพิงฉากกั้นโดยไม่ทันสังเกตเลยว่ากระโปรงของตัวเองเปียกอยู่ นางเอ่ยถามเสียงสั่น “เรื่องมันเป็นมาอย่างไร”
เป็นไปไม่ได้สิ ยามนี้เมื่อชาติที่แล้วฮูหยินแห่งหย่งชังปั๋วยังดีๆ อยู่เลย หรืออย่างน้อยๆ ก่อนที่นางจะตาย ฮูหยินก็ยังแข็งแรงดี
มือทั้งสองข้างของเจียงซื่อกำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น เรื่องราวในสมองพันกันยุ่งเหยิงราวกับม้วนเชือกป่าน
“ว่ากันว่า ตอนเช้าบ่าวรับใช้จะต้องเข้าไปดูแลหย่งชังปั๋วและหย่งชังปั๋วฮูหยินในการล้างหน้าป้วนปาก แต่พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นหย่งชังปั๋วถือเชิงเทียนอยู่ในมือ ตามเนื้อตัวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ส่วนหย่งชังปั๋วฮูหยินก็มีแผลลึกบริเวณทรวงอก นอนแน่นิ่งสิ้นลมแล้วเจ้าค่ะ…”
“หย่งชังปั๋วเป็นคนฆ่าหย่งชังปั๋วฮูหยินจริงๆ หรือ” เจียงซื่อยังไม่เชื่อ
ต่อให้ไม่มีความทรงจำจากชาติที่แล้วที่บอกว่ายามนี้เมื่อชาติก่อนหย่งชังปั๋วฮูหยินจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างหย่งชังปั๋วและหย่งชังปั๋วฮูหยินก็ดีมาตลอด
สมาชิกในจวนหย่งชังปั๋วก็ไม่ซับซ้อน รุ่นลูกมีเพียงสองพี่น้องเซี่ยอินโหลวและเซี่ยชิงเหยาเท่านั้น ซึ่งทั้งสองเกิดจากหย่งชังปั๋วฮูหยินด้วยกันทั้งคู่
นางและเซี่ยชิงเหยาสนิทกันมาตั้งแต่ยังเล็ก จึงเคยได้ยินเซี่ยชิงเหยาบ่นอิจฉาพ่อแม่ที่รักกันมากตั้งไม่รู้กี่ครั้งเล่า ว่ากันว่าแม้หย่งชังปั๋วจะมีเรือนด้านข้างถึงสองห้อง แต่มีไว้ก็เท่านั้นเพราะเขาไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยสักครั้ง
และเป็นเพราะทั้งคู่รักใคร่ปรองดอง เซี่ยชิงเหยาถึงได้มีนิสัยร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
เรื่องที่ว่าหย่งชังปั๋วฆ่าหย่งชั่งปั๋วฮูหยินถึงได้ฟังดูพิลึกพิลั่น
ไม่ได้ นางต้องไปดูชิงเหยาเสียหน่อย…
เจียงซื่อสงบสติตัวเองพลางก้าวเท้าเดินออกไป
“คุณหนู คุณหนูกำลังจะไปไหนเจ้าคะ” อาหมานเอ่ยถาม
“ไปจวนหย่งชังปั๋ว”
อาเฉี่ยวรีบตามมา “คุณหนู ถ้าคุณหนูจะไปก็ควรเปลี่ยนอาภรณ์เสียก่อนนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อก้มหน้ามองดูถึงได้รู้ว่ากระโปรงของตัวเองสกปรกหมดแล้ว
กระโปรงผ้าไหมสีเขียวเลอะน้ำผึ้งชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ของนางในตอนนี้
ตั้งแต่เจียงซื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางก็พยายามแก้ปมในอดีตไปที่ละเรื่องอย่างไม่ย่อท้อ เพราะรู้แต่แรกว่าตัวเองจะสามารถรับมือได้สบายๆ นางถึงมีท่าทีผ่อนคลายไม่รีบร้อน นางคิดว่า แม้ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ แต่ก็ไม่น่าจะเลวร้ายกว่าในชาติที่แล้ว
แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแล้ว และนางก็ไม่ทันตั้งตัวเสียด้วย
“จริงสิ ควรเปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อยก่อน” เจียงซื่อรับกระโปรงตัวใหม่ที่อาเฉี่ยวส่งให้มาเปลี่ยน ยกมือขึ้นจัดผมเผ้าให้เข้าที่และรีบออกไปทันที
จวนตงผิงปั๋วและหย่งชังปั๋วอยู่ติดกัน ยามนี้เกิดเรื่องร้ายใหญ่โตที่จวนหย่งชังปั๋ว คนในจวนตงผิงปั๋วก็มิอาจนิ่งนอนใจอยู่ได้
เจียงอันเฉิงและคนอื่นๆ รุดไปที่นั่นก่อนแล้ว
ในขณะนั้นมีผู้คนมากมายมามุงดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าประตูใหญ่จวนหย่งชังปั๋ว เจียงซื่อเดินนำอาหมานไปที่ข้างประตู
“ลุงหวัง ได้ยินมาว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่จวน ข้าอยากเข้าไปเยี่ยมคุณหนูใหญ่เสียหน่อย”
คนที่เฝ้าประตูเห็นเจียงซื่อมาตั้งแต่นางยังเล็ก ครั้นได้ยินดังนั้นจึงถอนหายใจพลางเปิดประตูให้ “เข้าไปเถิดขอรับ ยามนี้คุณหนูใหญ่คงร้องห่มร้องไห้อยู่เป็นแน่…”
เจียงซื่อขอบคุณคนเฝ้าประตูแล้วรีบเดินเข้าไปด้านใน บ่าวรับใช้มากมายวิ่งพล่านไปมา มีเสียงร้องไห้ดึงขึ้นจากที่ไกลๆ ปนมากับเสียงคำรามอย่างสิ้นหวังของชายผู้หนึ่ง
“เจียงต้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นความเป็นสหายของเราขาดกัน!”
ถัดมามีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น “ข้ายอมไม่เป็นสหายยังดีกว่า หากต้องปล่อยเจ้าไปทำเรื่องโง่ๆ!”
อาหมานกะพริบตา “เสียงนายท่านเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเร่งฝีเท้า นางแทรกตัวเข้าไปดูสถานการณ์ด้านใน
เจียงอันเฉิงกดหย่งชังปั๋วให้นั่งลงบนเก้าอี้และแผดเสียงออกคำสั่ง “ไปเอาเชือกมา!”
บ่าวรับใช้หลายคนยืนตัวสั่นงันงก ไม่มีใครขยับเขยื้อน เซี่ยอินโหลวจึงส่งเชือกให้เงียบๆ
“ช่วยข้าจับพ่อเจ้าเอาไว้!” เจียงอันเฉิงพอใจที่เซี่ยอินโหลวเสนอตัวมาช่วย จึงรีบเอ่ยสั่งทันที
สองคนช่วยกันจับหย่งชังปั๋วมัดไว้กับเก้าอี้อย่างแน่นหนา
เมื่อมัดเสร็จแล้ว เจียงอันเฉิงก็นวดมือซ้ายของตัวเอง
มือของเขาได้รับบาดเจ็บจากครั้งที่ช่วยชีวิตอันกั๋วกง ทำให้มือข้างนั้นไม่สามารถออกแรงได้ ยามคับขันจึงทำอะไรได้ไม่สะดวก
“ไอลูกเวร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” หย่งชังปั๋วที่ไม่อาจต่อกรกับเจียงอันเฉิงผู้เป็นเพื่อนบ้านได้จึงหันไปตวาดใส่เซี่ยอิงโหลวอย่างเดือดดาล
เซี่ยอินโหลวยืนนิ่งจำยอมถูกว่าแต่โดยดี
เจียงซื่อตาดีเห็นว่าเด็กหนุ่มที่แสนเคร่งขรึมในยามปกติ บัดนี้บริเวณหัวตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ากำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดจากการสูญเสียมารดาเอาไว้
เซี่ยชิงเหยาร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง “ท่านพ่อ ท่านหยุดว่าท่านพี่ได้แล้วเจ้าค่ะ หากเกิดเรื่องขึ้นมาอีก ลูกคงไม่รู้จะทำอย่างไร…”
หย่งชังปั๋วไม่ได้ฟังคำอ้อนวอนของลูกสาวเลยแม้แต่นิด เขาออกแรงกระแทกตัวกับพนักเก้าอี้
“พยุงคุณหนูใหญ่เข้าไปในห้อง” เซี่ยอินโหลวสั่งบ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้วยเสียงต่ำ
ขณะนั้นเจียงซื่อก้าวออกมาพลางตะโกนเรียก “ชิงเหยา”
เซี่ยชิงเหยามองเจียงซื่อผ่านม่านน้ำตาที่กลบหน้า เอื้อมมือไปกอดเจียงซื่อไว้แน่นพลางปล่อยโฮออกมา
เจียงซื่อลูบหลังของเซี่ยชิงเหยาอย่างอ่อนโยน และหันไปผงกศีรษะให้เซี่ยอินโหลว “ข้าจะพาชิงเหยาเข้าไปข้างใน”
เซี่ยอินโหลวพยักหน้าและเอ่ยแผ่วเบา “ฝากด้วย”
เจียงซื่อพยุงเซี่ยชิงเหยาเข้าไปในห้อง ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้เพื่อนสนิท
เซี่ยชิงเหยาซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเจียงซื่อพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “อาซื่อ ข้าไม่มีแม่แล้ว ไม่มีแม่อีกแล้ว…”
เจียงซื่ออ้าปากค้างไม่รู้ว่าควรกล่าวปลอบใจอย่างไร เพียงแต่ปล่อยให้น้ำตาสายหนึ่งไหลออกจากตาอยู่อย่างนั้น
ตั้งแต่นางจำความได้นางก็ไม่มีแม่แล้ว แม้จะไม่เคยลิ้มรสความเจ็บปวดยามสูญเสียมารดา แต่ในช่วงชีวิตที่แล้วก็เคยสัมผัสความเจ็บปวดจากการสูญเสียพี่ชายและพี่สาวมาแล้ว ไหนเลยจะไม่เข้าใจหัวอกของเพื่อน
สิ่งที่ทำให้เจียงซื่อประหลาดใจก็คือ สถานการณ์ในตอนนี้แตกต่างกับในชาติที่แล้วของนางโดยสิ้นเชิง หากยังหาสาเหตุการตายของหย่งชังปั๋วฮูหยินไม่ได้ คืนนี้นางคงนอนไม่หลับแน่
เนื่องจากด้านนอกยังคงชุลมุนวุ่นวาย แม้ว่าเจียงซื่อจะร้อนใจ แต่ก็รู้ว่ายังไม่ใช่เวลามาถามไถ่เซ้าซี้ แต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงเหยาร้องไห้จนเหนื่อยแล้วถึงได้เอ่ยถามว่า “ชิงเหยา เจ้าช่วยเล่าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดท่านลุงถึงได้…”
เซี่ยชิงเหยาปิดหน้าพลางตะโกน “ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ…”
เจียงซื่อรีบปลอบ “จริงด้วย ข้าก็ไม่เชื่อว่าท่านลุงจะทำร้ายท่านป้าได้ลง ท่านลุงรักท่านป้าออกปานนั้น เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน”
เซี่ยชิงเหยารีบเอามือลง และร้องออกมาอย่างคนเสียสติ “ไม่ใช่หรอก ท่านแม่…ถูกท่านพ่อใช้เชิงเทียนแทงตายจริงๆ ข้าแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อาซื่อ ข้าคงกำลังฝันอยู่ ใช่หรือไม่”
เซี่ยชิงเหยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางคว้าข้อมือของเจียงซื่อมาจับไว้แน่น “บอกข้ามา ว่าข้ากำลังฝันไปใช่หรือไม่ เมื่อข้าตื่นจากฝันร้ายก็จะพบว่าท่านแม่ของข้ายังอยู่ดี…”
เจียงซื่อโผเข้ากอดเซี่ยชิงเหยาพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ชิงเหยา ตื่นเถิด ท่านป้าไม่อยู่แล้วจริงๆ”
“ฮือ…” เซี่ยชิงเหยาร้องออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ราวกับว่าการทำเช่นนี้จะช่วยระบายความเจ็บปวดที่ล้นอยู่ในใจได้
“ท่านลุงกับท่านป้ารักใคร่กันปานนั้น ไฉนเจ้าถึงได้ปักใจเชื่อว่าท่านลุงเป็นคนฆ่าท่านป้า ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่…”
“ไม่ใช่หรอก” เซี่ยชิงเหยาน้ำตาไหลพรากพลางยิ้มอย่างโศกเศร้า “ข้าอายเกินกว่าจะเล่าให้เจ้าฟังได้ ท่านพ่อป่วยด้วยอาการนอนละเมอ เพราะท่านไม่มีสติถึงได้ลงมือฆ่าท่านแม่…”