ตอนที่ 155 การตายของหย่งชังปั๋วฮูหยิน

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 155 การตายของหย่งชังปั๋วฮูหยิน
“อาซื่อ เจ้าจำได้ไหมว่าข้าไปที่บ้านของเจ้าเมื่อวันก่อน ที่ข้าบอกว่าหมู่นี้ท่านแม่ดูแปลกไป”

เจียงซื่อพยักหน้า

เซี่ยชิงเหยาปาดน้ำตา “ตอนนั้นข้าคิดว่าท่านพ่อคงมีบ้านเล็กบ้านน้อยตามที่เจ้าเตือนข้า แต่ครั้นกลับถึงบ้านก็พบว่าสาเหตุที่ท่านแม่กลุ้มใจเป็นเพราะท่านพ่อมีพฤติกรรมผิดแผกไปจากปกติ ท่านแม่คิดว่าท่านพ่อคงโดนบางอย่างเข้าสิง จึงอยากเชิญหลิวเซียนกูมาทำพิธี แต่เมื่อหลิวเซียนกูมาตายจากไป สภาพจิตใจของท่านแม่ก็ย่ำแย่ลงกว่าเก่า ข้าเลยโน้มน้าวให้ท่านเชิญหมอเก่งๆ มาดูอาการท่านพ่อ แต่เมื่อเชิญหมอชื่อดังมาแล้วถึงได้รู้ว่าท่านพ่อมิได้ถูกเข้าสิง แต่เป็นอาการนอนละเมอ…”

เจียงซื่อฟังเงียบๆ พลางขมวดคิ้ว

“นี่ก็มิใช่เรื่องน่ายินดี ข้าถึงไม่กล้าเล่าให้เจ้าฟัง ท่านพ่อเริ่มทานยาที่หมอจัดให้ แต่ใครจะคาดคิดว่า…” เซี่ยชิงเหยาพูดต่อไม่ไหว ยกมือขึ้นปิดปากพลางปล่อยโฮ

“ไม่ใช่สิ…” เจียงซื่อขมวดคิ้วเป็นร่องลึกกว่าเดิม

ตอนนี้ในชาติที่แล้วหย่งชังปั๋วก็ป่วยด้วยโรคนอนละเมอเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เชิญหมอมารักษา หนำซ้ำยังละเมอเข้าไปนอนในเล้าหมูจะกลายเป็นเรื่องขบขัน หรือต่อให้หย่งชังปั๋วเข้าไปนอนในเล้าหมู เขาก็ไม่เคยฝันว่าฆ่าหย่งชังปั๋วฮูหยินเลยสักครั้ง

ในชาตินี้หย่งชังปั๋วได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคละเมอเดินตั้งแต่เนิ่นๆ อีกทั้งยังทานโอสถที่หมอจ่ายให้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่น่าจะพลั้งมือฆ่าภรรยาทั้งที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้

“ไม่ใช่อะไรรึ” เซี่ยชิงเหยาหยุดร้องไห้ ใบหน้าขาวซีดหันไปมองเจียงซื่อ

“บ่าวรับใช้เห็นท่านลุงฆ่าท่านป้ากับตางั้นหรือ”

ขนตาของเซี่ยชิงเหยาไหววูบ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงแหมะ “ท่านพ่อกับท่านแม่นอนห้องเดียวกัน โดยปกติแล้วตอนเช้าจะมีบ่าวรับใช้สองสามคนเข้าไปช่วยพวกท่านล้างหน้าล้างตา เช้าวันนี้พวกนางก็เข้าไปตามปกติ และเห็นท่านพ่อนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ร่างของท่านแม่ เชิงเทียนในมือท่านพ่อเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ส่วนท่านแม่ก็…”

เจียงซื่อพยายามจับใจความสำคัญ “แต่พวกนางก็ไม่เห็นตอนที่ท่านลุงเอาเชิงเทียนแทงท่านป้า จริงไหม”

เซี่ยชิงเหยาผงะไป “อาซื่อ เจ้าหมายความว่าอย่างไง”

เจียงซื่อบีบมือเซี่ยชิงเหยา “ชิงเหยา จริงอยู่ที่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น แต่บางครั้งตาของคนเราก็ถูกหลอกได้เช่นกัน บ่าวรับใช้พวกนั้นเห็นว่าท่านป้าถูกทำร้าย แต่ท่านลุงที่ถือเชิงเทียนเปื้อนเลือดกลับนั่งอยู่เฉยๆ ดูเผินๆ ก็คงคิดว่าท่านลุงฆ่าท่านป้า แต่หากคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว พวกนางก็มิได้เห็นตอนที่กำลังลงมือฆ่านี่หน่า”

เซี่ยชิงเหยาฉงนหนัก “แต่ในขณะนั้นมีเพียงท่านพ่อกับท่านแม่สองคนเท่านั้น คนอื่นจะลอบเข้าไปท่ามกลางสายตาคนมากมายได้อย่างไร…”

แน่นอนว่านางเองก็ไม่อยากเชื่อความจริงอันโหดร้ายที่ว่าบิดาเป็นคนฆ่ามารดา เพราะเรื่องนี้ยากเกินจะรับไหว หลังจากที่บิดาได้สติก็พยายามจะฆ่าตัวตายเพื่อเป็นการชดใช้ หากไม่มีคนค่อยห้ามไว้ ป่านนี้คงได้ปลิดชีพตามมารดาของนางไปแล้ว…

เมื่อเซี่ยชิงเหยาคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกสิ้นหวังจนอยากจะร้องไห้

ความเจ็บปวดของนางและพี่ชายมิใช่เพียงการสูญเสียมารดาเท่านั้น แต่ยังมีความเจ็บปวดแสนสาหัสอีกอย่างคือบิดาของพวกเขาเป็นคนฆ่ามารดา

สิ่งที่เจียงซื่อกำลังจะบอกนางคือท่านพ่ออาจจะไม่ใช่คนที่ฆ่าท่านแม่?

เซี่ยชิงเหยาเชื่อไม่ลงแต่ก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ความหวังนั้นทำให้นางยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนมากขึ้น ดวงตาจ้องมองไปที่เจียงซื่อพลางถาม “อาซื่อ ไฉนเจ้าถึงพูดเช่นนั้น”

เจียงซื่อสงบนิ่ง

ยามต้องเผชิญหน้ากับสภาพของเพื่อนสนิทในตอนนี้ นางทำได้เพียงสงบนิ่งเข้าไว้

“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคนอนละเมอ คนที่ป่วยด้วยโรคนี้จะมีพฤติกรรมแปลกๆ ขณะที่กำลังหลับ บ้างก็จะตื่นขึ้นมาแล้วออกไปเดินเตร่อยู่ข้างนอก หรือบ้างก็มีพฤติกรรมบางอย่าง แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นจากภาพในความฝันของคนผู้นั้น แม้ดูเหมือนเขาไม่รู้สึกตัว แต่พฤติกรรมที่เกิดจากจิตใต้สำนึกจะสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจ ชิงเหยา หรือเจ้าคิดว่าท่านลุงมีความคิดที่จะฆ่าท่านป้าอยู่แล้ว”

“ไม่มีทาง!” เซี่ยชิงเหยาบอกปัดโดยพลัน “ท่านพ่อท่านแม่รักกันปานนั้น ท่านพ่อไม่มีทางคิดอะไรเช่นนั้นแน่!”

“มีผลก็ย่อมต้องมีเหตุ ในเมื่อพวกเราต่างก็คิดว่าท่านลุงไม่น่าจะมีความคิดที่จะฆ่าท่านป้า ดังนั้นผลที่ท่านป้าถูกทำร้าย ก็มิควรปัดเหตุไปตกที่ท่านลุง…”

เจียงซื่อยังไม่ทันไตร่ตรองให้เรียบร้อย เซี่ยชิงเหยาก็คว้ามือทั้งสองของเจียงซื่อมาจับไว้แน่นด้วยความตื่นเต้น “อาซื่อเจ้าพูดถูก ท่านแม่ต้องไม่ได้ถูกท่านพ่อฆ่าแน่นอน! ดีจริงๆ ดีจริงๆ…”

เจียงซื่อถอนหายใจเบาๆ

จากการวิเคราะห์ของนางในตอนนี้ แหล่งอ้างอิงที่สำคัญที่สุดคือความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างชาตินี้กับชาติที่แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จริงแท้แน่นอน หย่งชังปั๋วฮูหยินถูกหย่งชังปั๋วฆ่าตายหรือไม่นั้น สุดท้ายแล้วก็ต้องอ้างอิงจากหลักฐาน

เซี่ยชิงเหยารีบปาดน้ำตา นางอยากออกไปข้างนอกจนเต็มแก่

เจียงซื่อรีบเข้ามาห้ามนางไว้ “ชิงเหยา นี่เจ้าจะไปไหน”

“ข้าจะไปบอกท่านพ่อว่าท่านพ่อมิได้พลั้งมือฆ่าท่านแม่ ฆาตกรต้องเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน!”

“ชิงเหยา หากเจ้าไปบอกกับท่านลุงตอนนี้ ท่านคงคิดว่าเจ้ากำลังปลอบใจท่านอยู่เป็นแน่”

เซี่ยชิงเหยาสับสนเล็กน้อย “หากท่านพ่อไม่เชื่อจะทำอย่างไร อาซื่อ เจ้าช่วยข้าด้วยนะ ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องกับท่านพ่อด้วยอีกคน ข้าสูญเสียท่านแม่ไปแล้ว ข้ามิอาจเสียท่านพ่อไปอีกคน”

เจียงซื่อครุ่นคิดและกระซิบว่า “ชิงเหยา เจ้าพาข้าไปดูห้องที่ท่านป้าถูกทำร้ายหน่อยจะได้ไหม”

เซี่ยชิงเหยาตัวสั่นเทิ้มแต่แล้วก็พยักหน้าตกลง “ได้ เจ้าตามข้ามา”

สองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วอาศัยอยู่ในเรือนหลัก ยามนี้ศพของหย่งชังปั๋วฮูหยินถูกทำความสะอาดและย้ายไปที่ศาลาสำหรับพิธีไว้อาลัยเรียบร้อยแล้ว ในยามนี้ห้องนอนของนางจึงเงียบสงัด มีเพียงบ่าวรับใช้ยืนเฝ้าเพียงสองคนเท่านั้น

“คุณหนูใหญ่” เมื่อเห็นเซี่ยชิงเหยาเดินมา บ่าวรับใช้ทั้งคู่ก็รีบเอ่ยทักทาย

ปกติแล้วเซี่ยชิงเหยาจะสุภาพกับบ่าวในเรือน แต่ในยามนี้นางกลับเพิกเฉย ครั้นเดินมาถึงหน้าประตูแล้วก็ทำทีจะเอื้อมมือไปผลักบานประตู

สาวรับใช้นางหนึ่งเอ่ยท้วงอย่างช่วยไม่ได้ “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณชายสั่งไว้ว่าไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเจ้าค่ะ…”

เซี่ยชิงเหยาปรายตามองสาวรับใช้แวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอยไป!”

เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของเซี่ยชิงเหยา บ่าวรับใช้ก็รีบถอยหลบไปด้านข้างทันที นางเปิดประตูและเดินนำเจียงซื่อเข้าไปในห้อง

ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าไปในห้อง กลิ่นฉุนคาวเลือดก็พุ่งตรงมาปะทะใบหน้าของผู้มาเยือน

เจียงซื่อย่นจมูก

กลิ่นคาวเลือดแรงขนาดนี้ เกรงว่ากลิ่นอื่นๆ คงถูกกลบไปหมดแล้ว

เมื่อเข้าไปในห้องกลิ่นนั้นก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ฉากกั้นล้มกองอยู่ที่พื้น ม่านสีครามที่เปื้อนเลือดถูกม้วนขึ้นไปลวกๆ ผ้าห่มแพรไหมถูกขยำจนยับยู่ยี่กองอยู่มุมเตียง ผ้าปูที่นอนกลายเป็นสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นกะทันหันและน่าสะพรึงจนทำให้ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาทำความสะอาด

“ท่านแม่คงจะนอนริมนอก” เซี่ยชิงเหยาชี้ไปที่รอยเลือดฝั่งหนึ่งบนเตียงและร้องไห้ออกมา

“โดยปกติแล้ว ท่านลุงเลือกนอนริมนอกหรือเปล่า” เจียงซื่อถามขึ้น

หลังจากที่นางแต่งงานกับอวี้ชี ไอคนเลวนั่นไม่เคยนอนที่ห้องหนังสือเลยสักครั้ง พอตกดึกก็จะกลับเข้ามาในห้อง ตอนนั้นเขาบอกนางว่า เขาจะนอนด้านนอก เพราะหากเขาตื่นกลางดึก นางจะได้ไม่ถูกรบกวน…

“ข้าไม่รู้” เซี่ยชิงเหยามองไปที่เจียงซื่อด้วยสายตาว่างเปล่า “เรื่องนี้ต้องถามบ่าวรับใช้ที่เข้ามาดูแลท่านแม่ช่วงกลางคืน”

ใบหน้าของเจียงซื่อร้อนผ่าว

ดูเหมือนว่านางจะรู้อะไรเยอะเกินไป…

“เรื่องนี้สำคัญหรือเปล่า” เซี่ยชิงเหยารีบถามด้วยความใคร่รู้ แล้วรีบเรียกสาวรับใช้ที่เฝ้าประตูเข้ามา “ชุนฟาง ปกติท่านแม่นอนด้านนอกหรือด้านใน”

“ฮูหยิน…” ชุนฟางลุบตาลงมองที่เตียงโดยไม่รู้ตัว รอยคราบเลือดนั้นทำให้ปากของนางเริ่มสั่น “เดิมทีท่านฮูหยินนอนด้านในเจ้าค่ะ แต่ต่อมา…”

นางเหลือบมองเจียงซื่อแวบหนึ่ง ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเล่าหรือไม่