ตอนที่ 156 เบาะแส
ความลังเลของชุนฟางทำให้เซี่ยชิงเหยาหมดความอดทน นางเอ่ยอย่างเย็นชา “มีสิ่งใดก็พูดมา!”

มาถึงตอนนี้แล้วยังมีสิ่งใดต้องปิดบังอีกหรือ

“แต่ต่อมาหมอได้วินิจฉัยว่านายท่านป่วยด้วยอาการนอนละเมอ ฮูหยินเกรงว่านายท่านจะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วละเมอจนเกิดอันตรายจึงย้ายมานอนริมนอกเจ้าค่ะ หากนายท่านลุกขึ้นมา ฮูหยินก็จะได้ยินเสียงขยับตัวเจ้าค่ะ…” ชุนฟางรับใช้หย่งชังปั๋วฮูหยินมาเป็นเวลาหลายปี ครั้นพูดถึงตรงนี้นางก็เริ่มสะอึกสะอื้น

เซี่ยชิงเหยาน้ำตาไหลนอง นางยกมือขึ้นมาปิดหน้าพลางเอ่ย “อาซื่อ ท่านพ่อท่านแม่ของข้าดีต่อกันขนาดนี้ แล้วเหตุใดถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น…”

เจียงซื่อเพ่งพิจารณารอยเลือดบนที่นอน

ในกรณีที่คนฆ่าหย่งชังปั๋วฮูหยินเป็นคนอื่น และหากหย่งชังปั๋วฮูหยินนอนอยู่ริมนอก การลงมือฆ่าก็อาจไม่ได้รบกวนหย่งชังปั๋วที่กำลังหลับอยู่ และเมื่อฆ่าเสร็จแล้ว ฆาตกรก็นำเชิงเทียนไปวางไว้ใกล้มือของหย่งชังปั๋ว เมื่อหย่งชังปั๋วตื่นขึ้นมาเห็นภาพภรรยาที่ตายอย่างอนาถ ปฏิกิริยาแรกของเขาคงจะหยิบเชิงเทียนที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา…

แน่นอนว่าข้อสันนิษฐานนี้อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าหย่งชังปั๋วไม่ใช่ฆาตกร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถตัดข้อสันนิษฐานที่ว่าหย่งชังปั๋วเป็นฆาตกรออกไปได้ เนื่องจากคนที่มีอาการนอนละเมออาจทำสิ่งที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน

เจียงซื่อหลับตาลงพลางสูดกลิ่นเหม็นเข้าจมูกเบาๆ

นางต้องหาว่าท่ามกลางกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งนี้มีกลิ่นผิดปกติอื่นอีกหรือไม่

หย่งชังปั๋วฮูหยินโปรดปรานเครื่องหอม เจียงซื่อค่อยๆ สูดดมกลิ่นนั้น มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกล้วยไม้ตลบอบอวลไปทั่วห้อง เมื่อหันไปดูก็พบว่ามีแจกันที่ปักดอกกล้วยไม้สี่ฤดูเอาไว้

มีกลิ่นอะไรเป็นพิเศษอีกไหมนะ

เจียงซื่อพยายามแยกกลิ่นอย่างสุดความสามารถ และในที่สุดนางก็สัมผัสได้ว่ามีกลิ่นหอมหวานจางๆ ปนมากับกลิ่นเหม็นเหล่านั้น

กลิ่นนั้นบางเบามากจนแทบจะไม่ได้กลิ่น ฉะนั้นเจียงซื่อจึงคิดว่าการที่นางได้กลิ่นนี้นับว่าเป็นเพราะโชคช่วย

นางหลับตาและค่อยๆ เดินตามกลิ่นนั้นไป

เซี่ยชิงเหยาคว้าตัวของนางไว้ “อาซื่อ เจ้าเป็นอะไร”

เจียงซื่อลืมตาขึ้น กลิ่นจางๆ ที่แทบจะไม่ได้กลิ่นนั้นหายไปแล้ว เมื่อมองไปที่ข้างเท้าของตัวเองก็พบว่ามันคือเชิงเทียนที่เปื้อนเลือด

หากนางก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งก็จะเหยียบเชิงเทียนนั้นพอดี

ในบริเวณนั้นนอกจากจะมีเชิงเทียนเปื้อนเลือดแล้ว ยังมีรอยเท้าเปื้อนเลือดที่สะเปะสะปะไปมาด้วย เห็นได้ชัดว่าคงเป็นรอยเท้าของพวกสาวรับใช้ที่วิ่งพล่านหลังจากเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

เจียงซื่อไม่ได้ฟังสิ่งที่เซี่ยชิงเหยาพูด พยายามรวบรวมสติเพื่อแกะรอยกลิ่นนั้นอีกครั้ง เมื่อนางเริ่มได้กลิ่นที่สุดแสนจะบางเบานั้นแล้วก็ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินตามกลิ่นนั้นไป

เมื่อเดินอ้อมฉากกั้นที่ล้มอยู่ที่พื้นและรอยคราบเลือดที่เปรอะอยู่เต็มพื้นไปแล้ว เจียงซื่อก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า

ตู้นั้นแบ่งออกเป็นตู้ด้านบนและด้านล่าง ด้านบนมีฝาตู้ทั้งหมดสี่บาน ด้านล่างมีลิ้นชักทั้งหมดแปดช่อง แบ่งเป็นด้านซ้ายและด้านขวาอย่างสมมาตร บนตู้เสื้อผ้าแกะสลักด้วยภาพปักษาและบุปผานานาพันธุ์อย่างวิจิตรงดงาม

ตู้ลักษณะดังกล่าวสามารถพบเห็นได้ตามเรือนของเหล่าขุนนางและเศรษฐีทั่วไป วัสดุไม้ที่ใช้ทำตู้ก็ถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันซึ่งก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

“อาซื่อ เจ้าดูอะไรอยู่รึ” เซี่ยชิงเหยาถามด้วยความสงสัย

เจียงซื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางเอื้อมมือไปเปิดประตูตู้ทั้งสองบาน

ด้านในตู้นั้นมีไว้สำหรับจัดเก็บอาภรณ์ แต่ก็ไม่ได้มีมากจนล้นตู้ ชุดต่างๆ ถูกพับวางซ้อนกันไว้ด้านในสุด

เซี่ยชิงเหยาเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะขมวดคิดอย่างอดไม่ได้

ชุดที่อยู่ด้านบนสุดยับยู่ยี่ เห็นได้ชัดว่าพวกบ่าวรับใช้ที่เห็นผ้าชิ้นนั้นก็ดูไม่สบายใจเช่นกัน

เจียงซื่อสูดอากาศเข้าปอดเบาๆ

ที่แท้กลิ่นนั้นก็ลอยมาจากในนี้

แม้ว่าในตอนแรกนางจะเดาไม่ออกว่ามันคือกลิ่นอะไร แต่ในตอนนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่าคือกลิ่นของซวินอี[1]ที่มักจะใช้พรมบนอาภรณ์

“อาซื่อ เจ้ากำลังพบบางอย่างเข้าแล้วใช่ไหม” พฤติกรรมแปลกๆ ของเจียงซื่อทำให้เซี่ยชิงเหยางงงงวยยิ่งกว่าเก่า

เจียงซื่อมองดูในตู้อย่างพินิจพิเคราะห์ และทันใดนั้นนางก็เหลือบไปเห็นรอยนิ้วมือสองนิ้วที่บริเวณมุมตู้

แม้ว่ารอยนั้นจะไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อปรากฏอยู่บนผิวตู้ที่เรียบเงาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เจียงซื่อหรี่ตามองโดยพลันพลางชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ

จากมุมและตำแหน่งของรอยนิ้วมือไม่มีทางเกิดขึ้นจากการที่บ่าวรับใช้จัดเก็บอาภรณ์ใส่ตู้อย่างแน่นอน

“ชิงเหยา เจ้ามาดูนี่” เซี่ยชิงเหยามองไปยังรอยนิ้วมือตามทิศที่เจียงซื่อชี้

“ชิงเหยา เจ้ารู้หรือเปล่าว่านี่หมายความว่าอย่างไร”

เซี่ยชิงเหยาส่ายหัวพร้อมสีหน้าว่างเปล่า

“อาซื่อ ในหัวของข้าตอนนี้พันกันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว คิดอะไรไม่ออกหรอก”

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ความคิดของเด็กสาวที่แสนร่าเริงนิ่งสนิท ความเฉลียวฉลาดแสนรู้หายไปโดยพลัน

“เคยมีคนซ่อนตัวอยู่ในตู้นี้” เจียงซื่อเอ่ยสรุป

ดวงตากลมโตของเซี่ยชิงเหยาเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า “เจ้าว่าอะไรนะ”

ไม่ทันรอให้เจียงซื่อตอบ ปฏิกิริยาของเซี่ยชิงเหยาพลันเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น “จะมีใครเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าได้อย่างไร”

และในตอนนั้นเองนางก็ได้คำตอบว่า คนที่เข้าไปซ่อนในตู้ก็คือฆาตกรอย่างแน่นอน!

เซี่ยชิงเหยารีบคว้าข้อมือเจียงซื่อมาจับ “อาซื่อ มีฆาตกร นี่เป็นหลักฐานว่าท่านแม่ไม่ได้ถูกท่านพ่อฆ่าใช่หรือไม่”

เจียงซื่อจับไหล่ของเซี่ยชิงเหยาพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ก็ใช่น่ะสิ”

การพบเบาะแสคราวนี้ทำให้นางแน่ใจว่าคนที่ฆ่าหย่งชังปั๋วฮูหยินต้องเป็นคนนอก

แม้ว่าเดิมที่ข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่อย่างไรแล้วก็ต้องมีหลักฐานมายืนยัน และการที่มีคนเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในตู้ก็คือหลักฐานชั้นเยี่ยม

เพียงแต่ว่า กลิ่นนั้นคือกลิ่นอะไรกันแน่

“ข้าจะไปบอกท่านพ่อและท่านพี่!” เซี่ยชิงเหยาตื่นเต้นจนเก็บไว้ไม่อยู่ รีบลากเจียงซื่อออกไปทันที

ไม่ทันไร สาวน้อยผู้นี้ก็ได้ยึดเจียงซื่อเป็นเสาหลักของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

เจียงซื่อไม่ได้เดินตามนางไป “ชิงเหยา ข้ามีอะไรจะเสนอ…”

เซี่ยชิงเหยาชะงักฝีเท้า “ว่ามา”

“แจ้งความเถอะ ใต้เท้าเจินที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการในขณะนี้สามารถตัดสินคดีได้ราวกับเป็นเทพเจ้า เขาเคยคลี่คลายคดีที่ฉังซิงโหวซื่อจื่อสังหารหญิงสาวกว่าสิบราย รวมไปถึงการตายของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ ด้วย ให้ท่านลุงเชิญเขามา เขาจะได้ช่วยหาฆาตกรและคืนความยุติธรรมให้แก่ท่านป้า”

ในตอนนี้หย่งชังปั๋วกำลังถูกพุ่งเป้า และเซี่ยชิงเหยาก็เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ หรือต่อให้มีเซี่ยอินโหลว เจียงซื่อก็ไม่คิดว่าเขาจะช่วยหาตัวฆาตกรได้

เมื่อพิจารณาดูแล้ว การเชิญใต้เท้าเจินให้ช่วยเข้ามาสืบคดีน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

แต่ก็แน่นอนว่าในเมื่อผู้ตายคือฮูหยินในจวน คนในบ้านจึงไม่ต้องการให้ทางการเข้ามาเกี่ยวข้อง เหล่าตระกูลสูงศักดิ์รักษาเกียรติเป็นที่สุด พวกเขามิอาจอดทนต่อการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่จากทางการได้ และสิ่งที่รับไม่ได้ยิ่งกว่านั้นคือการที่ฝ่ายชันสูตรศพต้องเข้ามาตรวจสอบผู้ตายที่มียศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่า

เมื่อเจียงซื่อเอ่ยเช่นนั้น ใบหน้าของเซี่ยชิงเหยาจึงผงะไปทันที นางมิได้ตอบสนองใดๆ

เจียงซื่อจึงโน้มน้าว “จะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการคืนความบริสุทธิ์ให้กับท่านลุง เพื่อที่ท่านลุงจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับความผิดว่าตนคือคนฆ่าภรรยา และจะได้หาฆาตกรมารับผิดเพื่อเป็นการล้างแค้นให้ท่านป้า”

เซี่ยชิงเหยาเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากฝัน “เจ้าพูดถูก ข้าจะไปบอกท่านพ่อและท่านพี่!”

เมื่อเห็นเซี่ยชิงเหยาวิ่งออกไปแล้ว เจียงซื่อเหลือบมองไปที่สาวรับใช้ทั้งสองที่เฝ้าประตูแวบหนึ่งก่อนจะสั่งอาหมาน “เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ก่อนแล้วกัน”

ในเมื่อฆาตกรเป็นคนนอก จะทราบได้อย่างไรว่าบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติหย่งชังปั๋วฮูหยินเป็นผู้บริสุทธิ์ เพื่อความปลอดภัยจึงสั่งให้อาหมานเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน หลักฐานที่นางเพิ่งค้นพบจะได้ไม่ถูกทำลาย

ในขณะนั้นหย่งชังปั๋วถูกมัดอยู่กับเก้าอี้จนขยับไปไหนไม่ได้ เขาไม่กระดุกกระดิกราวกับคนที่ตายแล้ว

เจียงอันเฉิงมองไปที่เพื่อนบ้านที่ดูแก่ลงไปมากพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน

“ท่านพ่อ!” เซี่ยชิงเหยายกชายกระโปรงปรี่เข้ามา แต่เนื่องจากวิ่งเร็วเกินไป ร่างของนางจึงถลาลงไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าหย่งชังปั๋ว “อาซื่อเจอหลักฐานที่จะบอกว่าคนที่ฆ่าท่านแม่เป็นคนนอกเจ้าค่ะ!”

เซี่ยอินโหลวที่ยืนนิ่งอยู่นานหันขวับไปมองเจียงซื่อ

——————————————-

[1] ซวินอี คือกลิ่นลาเวนเดอร์