ตอนที่ 157 เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องตามจีบ
จากประโยคของเซี่ยชิงเหยาเมื่อสักครู่ ทำให้สายตาจำนวนมากมองมาทางเจียงซื่อ
เจียงซื่อยืนอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาสงบนิ่ง
หย่งชังปั๋วเหลือบตามอง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ชิงเหยา เจ้าอย่าพูดพล่อยๆ!”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าไม่ได้พูดพล่อยไป อาซื่อพบว่าคนที่ฆ่าท่านแม่คือคนอื่น การตายของท่านแม่ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อเจ้าค่ะ!”
หย่งชังปั๋วที่ยืนกรานขอตายเพื่อใช้โทษ รู้สึกตกใจกับคำพูดของบุตรสาวอันเป็นที่รักซึ่งถูกเลี้ยงอย่างตามใจมาแต่เล็กจนโต
เมื่อเห็นว่าบิดาไม่เชื่อ เซี่ยชิงเหยาก็เริ่มกระวนกระวาย นางตะโกนไปทางเจียงซื่อว่า “อาซื่อ เจ้ารีบเล่าให้ท่านพ่อข้าฟังสิ!”
เจียงซื่อเดินตรงเข้าไปหาหย่งชังปั๋วย่อเข่าคารวะเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างผ่าเผยว่า “ท่านลุงเจ้าคะ เมื่อครู่ข้าและชิงเหยาเข้าไปในห้องนอนของท่านป้า พบรอยนิ้วมือสองนิ้วจากในตู้เสื้อผ้า ดูจากตำแหน่งและมุมแล้วน่าจะไม่ใช่เป็นรอยนิ้วมือที่สาวรับใช้เข้าไปจัดเก็บเสื้อผ้า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็ชะงักลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อไปอย่างหนักแน่นว่า “ดังนั้นหลานจึงวิเคราะห์ว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเคยมีคนหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้านั้นจึงได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้”
“จริงงั้นหรือ” หย่งชังปั๋วดวงตาเป็นประกาย
การที่เขาต้องสูญเสียภรรยาที่อยู่ร่วมกันมานานหลายปีไปแน่นอนว่ามันช่างเจ็บปวดหัวใจเป็นที่สุด แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะให้ตัวเขาซึ่งบัดนี้ลูกๆ ล้วนเติบโตเป็นหนุ่มสาวแล้ว ถึงขนาดทุกข์ใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาไม่อาจยอมรับได้ว่าตนจะลงมือทำร้ายภรรยาจนถึงแก่ความตาย
หากว่าเขาเป็นฆาตกรจริง นับแต่นี้ไปไม่เพียงแต่เขาจะไม่อาจเผชิญหน้ากับตนเองได้ คงไม่อาจเผชิญหน้ากับลูกทั้งสองได้ด้วย นี่คือเหตุผลที่เขาต้องการตายเพื่อที่จะได้ปลดปล่อยสักที
บัดนี้เมื่อมีคนบอกกับเขาว่าแท้จริงแล้วฆาตกรคือคนอื่น หย่งชังปั๋วจึงรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
“หลานก็เพียงแค่ทำการคาดเดาเท่านั้นเจ้าค่ะ ส่วนความจริงเป็นเช่นไรคงจะต้องให้ผู้ชำนาญการ เข้ามาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง” เจียงซื่อไม่กล้าเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนนัก ได้แต่บอกเป็นนัยๆ ว่าให้หย่งชังปั๋วให้เชิญผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครมาตรวจสอบคดี
เซี่ยชิงเหยารีบตามเข้าไปติดๆ “ท่านพ่อ พวกเราไปร้องทุกข์เถิดเจ้าค่ะ จะให้ท่านแม่ถูกคนอื่นทำร้ายจนเสียชีวิตเช่นนี้ ส่วนท่านแบกรับความผิดโทษฐานเป็นคนฆ่าท่านแม่แบบนี้ไม่ได้ จะปล่อยให้ผู้ร้ายตัวจริงลอยนวลอยู่ด้านนอกได้อย่างไร!”
หย่งชังปั๋วขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นค่อยๆ ลุกยืน
การหาตัวคนร้ายให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างแน่นอน แต่หากจะเชิญเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมา ก็จำเป็นจะต้องให้พวกเขาตรวจสอบร่างกายของภรรยาตนตามใจชอบอย่างนั้นหรือ
หย่งชังปั๋วเพียงแค่คิดก็ยังไม่อาจรับได้
เจียงอันเฉิงส่งสายตาไปทางเจียงซื่อ
เมื่อเจียงซื่อเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปอยู่ข้างกายท่านพ่อ
สิ่งที่นางควรทำนางก็ทำไปทุกสิ่งแล้ว อะไรที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว ท้ายที่สุดเขาจะเชิญใต้เท้าเจินมาหรือไม่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของจวนหย่งชังปั๋วแล้ว
เจียงอันเฉิงดึงเจียงซื่อมาไว้ด้านหลัง
ซื่อเอ๋อร์ก็ช่างมีจิตใจงดงามเหลือเกิน เพื่อบุตรสาวตระกูลเซี่ย นางกล้าเข้าไปตรวจดูในห้องที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้
เฮ้อ มองดูแล้วคงจะต้องซื้อขาหมูตุ๋นให้บุตรสาวสักสองขาเพื่อปลอบใจนางสักหน่อย
“ท่านพ่อ…” เซี่ยชิงเหยาเห็นว่าหย่งชังปั๋วไม่กล่าวอะไรออกมา นางก็ร้องไห้น้ำตานองหน้า
หย่งชังปั๋วยังคงลังเลนิ่งเงียบไม่อาจตัดสินใจได้
เซี่ยอินโหลวหันไปมองดูบิดาและน้องสาว ก่อนจะหันไปจ้องมองเจียงซื่อแล้วหันหลังเดินจากไป
“อินโหลว เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปที่ศาลาว่าการพระนครเพื่อร้องทุกข์!” เซี่ยอินโหลวชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปตอบคำถามของบิดา
“เจ้าจงกลับมาบัดเดี๋ยวนี้!” หย่งชังปั๋วออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเขายังคงรู้สึกลังเลไปมา แต่เมื่อบุตรชายตัดสินใจอย่างกะทันหันเช่นนั้นจึงทำให้เขาสับสนวุ่นวาย จนกระทั่งออกคำสั่งให้หยุดการกระทำลงโดยสัญชาตญาณ
เซี่ยอินโหลวหันกลับมาสบตากับหย่งชังปั๋ว
“อินโหลว เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้ บัดนี้เรื่องในจวนยังไม่จำเป็นให้เจ้ามาตัดสินใจ!” หย่งชังปั๋วกล่าวออกมาด้วยความโมโห
เจ้านี่ปีกกล้าขาแข็งเหลือเกิน เมื่อครู่เขาเพิ่งจะร่วมมือกับท่านเจียงจับตนมัดไว้ บัดนี้ยังกล้ามาทำตามอำเภอใจตนเองอีก!
เซี่ยอินโหลวคุกเข่าลงแล้วก้มหัวคารวะหย่งชังปั๋ว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันไปกำชับอย่างไม่รีบร้อนว่า “ชิงเหยา ดูแลท่านพ่อให้ดี พี่จะรีบกลับมา”
เมื่อกล่าวจบ เซี่ยอินโหลวก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
ท่าทางอันหนักแน่นของเซี่ยอินโหลวทำให้ในใจลึกๆ ของเจียงอันเฉิงรู้สึกหดหู่ ดูบุตรชายของคนอื่นเข้าสิ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวหนักหนาเพียงนี้ แต่ก็ยังคงตั้งมั่นและมั่นคง ลองหันกลับไปดูบุตรชายของเขาผู้ใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ นั่นสิ หากนำมาเปรียบเทียบกันจริงๆ เขาคงจะโมโหเสียจนบ้าตายแน่!
แต่เมื่อหันกลับไปดูเจียงซื่อ หัวใจของเจียงอันเฉิงก็รู้สึกถึงความเท่าเทียมกันขึ้นมาบ้าง
โชคดีเหลือเกินที่บุตรสาวของเขาไม่แย่ไปกว่าคนอื่นเลย
“เซี่ยอินโหลว!” หย่งชังปั๋วร้องเรียกด้วยความโมโห
เซี่ยชิงเหยารีบเข้ามาปลอบโยนโน้มน้าวบิดาของตนว่า “ท่านพ่ออย่าได้โกรธท่านพี่ไปเลยเจ้าค่ะ ความคิดของลูกและพี่ชายนั้นตรงกัน จะให้ท่านแม่ถูกผู้ใดก็ไม่รู้ฆ่าตายโดยคลุมเครือเช่นนี้ไม่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วหากสามารถจับตัวผู้ร้ายได้จริงละก็ จะไปกลัวเสียหน้าเพื่อเหตุใด ลูกเชื่อว่าท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์คงจะไม่ถือโทษที่พวกเราทำเช่นนี้แน่เจ้าค่ะ”
หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าท่านพ่อฆ่าท่านแม่ จะไม่แย่ไปกว่าเดิมหรือ
แม้ว่ากฎหมายของราชวงศ์ต้าโจวในด้านนี้จะยังค่อนข้างหละหลวม การที่บิดาของนางละเมอและฆ่ามารดาของนางจนถึงแก่กรรม สถานการณ์เช่นนี้อาจไม่ต้องได้รับโทษ แต่ทางญาติฝ่ายมารดาก็คงจะตัดขาดความสัมพันธ์กับบิดาอย่างแน่นอน อีกทั้งผู้คนภายนอกจะพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปอีกนานเท่าใดก็ยากจะคาดเดา
ในเมื่อล้วนจะต้องอับอายขายหน้า คงไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าทำให้มารดานอนตายตาหลับ
แม้ว่าเซี่ยชิงเหยาจะค่อนข้างไร้เดียงสา แต่นางก็แยกแยะออก นางพยายามโน้มน้าวใจหย่งชังปั๋วจนถึงที่สุด
หย่งชังปั๋วครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเขาจึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แก้มัดเชือกให้ข้าเถิด”
เซี่ยชิงเหยาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางเจียงอันเฉิง
เจียงอันเฉิงมองไปทางเพื่อนบ้านชราผู้นี้ด้วยความระมัดระวังและไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด
หย่งชังปั๋วจึงหัวเราะออกมาอย่างหดหู่ “นายท่านเจียง ตอนนี้ต่อให้ท่านสั่งให้ข้าตาย ข้าก็คงไม่อยากตายแล้ว ข้าจะต้องหาตัวคนร้ายที่ฆ่าภรรยาของข้าให้พบและแก้แค้นแทนนาง!”
เจียงอันเฉิงจึงได้เดินหน้าเข้ามาแก้มัดเชือกให้กับหย่งชังปั๋วแล้วตบลงบนบ่าเขาอย่างหนักแน่น
……
ณ ศาลาว่าการพระนคร ในวันนี้ค่อนข้างสงบเงียบ เนื่องจากเพิ่งจะจัดการกับคดีที่จู่ๆ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ ก็สิ้นชีวิตลงได้เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่แต่ละคนตั้งแต่หัวหน้าจนถึงลูกน้องล้วนรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
เจินซื่อเฉิงตัดสินคดีความได้อย่างแม่นยำดุจดั่งเทพเจ้า เขาไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ใดทั้งสิ้น แต่เขาก็ไม่ใช่ขุนนางที่ทะนงตัวอวดรู้ การที่เห็นลูกน้องผ่อนคลายเช่นนี้ เขาเองเข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี
การตัดสินคดีของ ‘หยางกั๋วจิ้ว’ ที่จู่ๆก็สิ้นใจลงนั้นใช้เวลาอยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว หลังจากจัดการคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การที่พวกเขาทั้งหลายจะรู้สึกผ่อนคลายก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังควรจะสนับสนุนให้กำลังใจด้วย
การที่ต้องการให้ม้ามีกำลังวังชา แต่กลับไม่ให้มันกินหญ้านั้น เป็นวิธีที่เขาไม่แม้แต่จะคิด
หลังจากที่เจินซื่อเฉิงจัดการเรื่องที่ได้รับแรงกดดันเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยืดเอวบิดขี้เกียจเดินตรงออกไปด้านนอก
ก่อนจะสูดหายใจรับอากาศบริสุทธิ์เข้าไป จึงทำให้สมองปลอดโปร่งก่อนจะลงมือจัดการเรื่องอื่นๆ ต่อไป
ขณะที่เจินซื่อเฉิงกำลังเดินผ่อนคลายสบายใจอยู่นั้น หางตาก็เหลือบไปพบกับบุตรชายคนโตนามว่าเจินเหิงเข้า
ชายหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีเห็นจะได้ เขาสวมชุดสีครามยาว มองไปช่างสะอาดสะอ้านสดชื่นดุจดั่งหยกใส
เมื่อเห็นบิดาของตน ชายหนุ่มก็รีบลดศีรษะต่ำลงทำท่าทางเหมือนต้องการจะหลบซ่อน
“เจินเหิง!” เจินซื่อเฉิงตะโกนออกมาด้วยความดุเดือด
ตอนที่อยู่ด้านนอกนั้นเขามักแสดงกิริยาท่าทางอันสูงส่งยากเกินคาดเดา แต่เมื่ออยู่ในบ้านของตน ต่อหน้าบุตรชายเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเสแสร้งต่อไป
เจ้าหมอนี่กล้าหลบเขาเชียวรึ!
จากขนบธรรมเนียมเดิม คนในศาลาว่าการพระนครจะต้องเข้าอาศัยในบ้านพักจวนขุนนาง ครอบครัวของเจินซื่อเฉิงก็ไม่มีการละเว้นเช่นกัน
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปด้วยท่าทางยอมรับชะตากรรม
“เจ้าเตรียมตัวจะไปที่ใดอีก”
“มีสหายชวนลูกไปว่ายน้ำขอรับ”
“อากาศร้อนเพียงนี้จะไปว่ายน้ำที่ใดกัน” เจินซื่อเฉิงทำสีหน้าเคร่งขรึม
หากว่ามีเวลาว่างเพียงนั้น ก็ควรจะหาวิธีไปทำความรู้จักกับแม่นางที่เขาชื่นชอบมิใช่หรือ
เจินเหิงมองไปทางบิดาของตนที่มีท่าทางดุดัน หัวของเขาก็เริ่มปวดขึ้นมาทันใด
หากรู้ว่าเขาเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงแล้วจะถูกท่านพ่อบีบบังคับให้ไปพบกับภรรยาในอนาคตเช่นนี้ สู้เขาเดินทางกลับบ้านไปอ่านหนังสือยังดีกว่า
“ถ้าเช่นนั้นลูกคงต้องขอตัวกลับไปอ่านหนังสือก่อน” เจินเหิงตั้งใจจะหนีไป
“นอกจากว่ายน้ำกับอ่านหนังสือแล้ว เจ้าไม่อยากจะทำอย่างอื่นบ้างหรือไร”
สีหน้าของเจินเหิงยิ้มออกมาอย่างว่าง่าย “ไม่ทราบว่าสิ่งที่ท่านพ่อพูดถึงนั้นหมายถึง…”
เจินซื่อเฉิงกระแอมออกมา แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “พ่อถูกชะตากับสตรีอยู่นางหนึ่ง เจ้าจงไปหาวิธีให้นางแต่งเข้ามาในตระกูลเราเสีย”