บทที่ 153 ครั้งแรกที่เอาใจใส่ผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้
พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ลี่จุนถิงเป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ
ลี่จีถองทำเรื่องแบบนี้ ลี่จุนถิงจึงเริ่มแก้แค้นเอาคืนเธอแล้ว
วันนี้ลี่จีถองไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้าที่ใส่เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ใส่ไปหมดแล้ว ตอนนี้เธอเล็งเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ไว้หลายชุด
“เสื้อผ้าพวกนี้ใส่ถุงให้ฉันด้วยนะ ยังมีนี่อีกสองตัว” ลี่จีถองพูดพลางวางเสื้อผ้าสองตัวที่ถืออยู่ในมือลงบนเค้าเตอร์ “ส่วนค่าใช้จ่ายเซ็นบิลไว้ก่อนละกัน”
ขณะที่ลี่จีถองกำลังจะเดินไปพักผ่อนด้านข้าง พนักงานก็ได้เรียกเธอเอาไว้ : “คุณลี่คะ รอสักครู่”
ลี่จีถองหันกลับไปอย่างหงุดหงิด : “มีอะไร?”
พนักงานรู้นิสัยของลี่จีถองดี เลยได้รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยพูดออกไปว่า : “คุณลี่ ที่นี่ไม่สามารถเซ็นบิลแล้วจ่ายทีหลังได้แล้วค่ะ”
ลี่จีถองเดินไปที่เค้าเตอร์ : “เธอพูดว่าอะไรนะ?”
พนักงานจึงได้พูดซ้ำอีกรอบ
“เธอไม่รู้จักฉันเหรอ?” ลี่จีถองจ้องหน้าพนักงานด้วยความโมโห “ฉันมาซื้อของที่ร้านพวกเธอตั้งกี่ครั้งแล้ว เธอไม่ได้จำเหรอ? ทำไมเหรอ? ไม่อยากให้ฉันมาอีกใช่ไหม?”
พนักงานพูดออกไปอย่างกลัว ๆ : “คุณลี่คะ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ยอมให้คุณเซ็นบิลนะคะ แต่เป็นเพราะเบื้องบนสั่งมาค่ะ”
เมื่อลี่จีถองได้ยินประโยคนี้ ก็เข้าใจได้ทันที ต้องเป็นฝีมือลี่จุนถิงแน่นอน : “ดี ดีมาก งั้นฉันไปซื้อร้านอื่น”
ร้านนี้ไม่ได้ก็ไปซื้อร้านอื่นได้นี่
ลี่จีถองได้ไปอีกร้านที่เธอไปบ่อย ๆ ปรากฏว่าทุกร้านต่างพูดเหมือนกันว่าไม่สามารถเซ็นบิลได้อีกแล้ว
ลี่จีถองเดินออกจากห้างฯ ไปอย่างโมโห ตอนนี้ความโกรธที่อัดแน่นอยู่เต็มอกเธอไม่รู้จะระบายออกมาได้ยังไง ทำได้เพียงกลับบ้านไปก่อน ค่อย ๆ คิดแล้วค่อยตัดสินใจ
แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่กี่วันหลังจากนั้น ชีวิตของลี่จีถองได้ผ่านไปอย่างปากกัดตีนถีบมาก บัตรเครดิตของเธอถูกระงับ ทรัพย์สินทั้งหมดที่ตระกูลลี่ให้ไว้ในชื่อของเธอถูกอายัดจนหมดสิ้น รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ด้วย
ดังนั้น ตอนนี้ลี่จีถองไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน
ที่น่าโมโหที่สุดคือตอนนี้แม้แต่เธอจะเดินทางไปไหนก็ลำบาก รถหรูหลายคันที่เป็นชื่อของเธอ ถูกยึดไปจนหมด ไม่อนุญาตให้เธอขับได้อีก
ถึงแม้ว่าลี่จีถองจะโกรธ แต่เธอก็ไม่กล้าไปต่อกรซึ่ง ๆ หน้ากับลี่จุนถิง
สุดท้ายแล้วไม่มีทางเลือกอื่น ลี่จีถองจึงตัดสินใจไปพักอยู่ที่บริษัทสักกี่วันก่อน
“ช่วงนี้บริษัทเป็นยังไงบ้าง?” ลี่จีถองมาถึงห้องทำงานก็เรียกผู้ช่วยเข้ามา ถามไถ่สถานการณ์ในบริษัท
เธอกลัวว่าบริษัทจะมีสภาพเหมือนกับตัวเองในตอนนี้
“ช่วงนี้บริษัทดำเนินการไปได้ดี ทุกแผนกทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบ”
ลี่จีถองพยักหน้าตอบรับอย่างพอใจ ก็ถือว่าไม่ได้ใจร้ายไปซะทุกเรื่อง ยังเหลือทางรอดไว้ให้ตัวเองทางหนึ่ง แต่เมื่อผู้ช่วยได้เอ่ยพูดต่อนั้น ลี่จีถองก็แทบจะล้มพับลงจากเก้าอี้
“แต่ว่าตอนที่สั่งซื้อสินค้า สินค้าเหล่านั้นถูกปรับราคาขึ้นสูงอย่างไม่มีเหตุผล พวกเราถูกบีบอย่างไม่มีทางเลือก ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี” ผู้ช่วยเอ่ยพูดอย่างลำบากใจ
ลี่จีถองสูดลมหายใจเข้า นิ้วนวดที่ขมับไปมา : “ฉันรู้แล้ว เธอออกไปก่อนเถอะ”
รอจนผู้ช่วยปิดประตูลง ลี่จีถองก็ได้ปัดของที่อยู่บนโต๊ะร่วงลงบนพื้น : “ลี่จุนถิงนะลี่จุนถิง ยังเห็นป้าอย่างฉันคนนี้อยู่ในสายตาบ้างไหม”
เมื่อได้ระบายความโกรธออกมาแล้ว ลี่จีถองก็รู้สึกอึดอัดใจน้อยใจ ร้อง “โว้ย” ฟุบลงบนโต๊ะแล้วร้องไห้ออกมา
เธอเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลลี่ที่ได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักมาจนโต ไม่เคยต้องเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะหลานชายแท้ ๆ ของตัวเองทำทั้งนั้น
ทันใดนั้น โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
ลี่จีถองร้องไห้ไปพลางหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าพลาง แล้วกดรับสาย
“ฮัลโหล มีเรื่องอะไร?” ตอนที่ลี่จีถองร้องไห้ออกมานั้นไม่เหลือความหยิ่งยโสอย่างเช่นเคยแล้ว ตอนนี้เหมือนหญิงสาวที่ถูกรังแกคนหนึ่งเท่านั้น
“คุณป้า ร้องไห้ทำไมกันคะ?” เมื่อรับสาย ส้งหวั่นหวั่นก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลี่จีถอง
ไม่ง่ายเลยที่จะหาคนร้องไห้ปรับทุกข์ด้วยได้ ทำให้ลี่จีถองร้องไห้เสียใจหนักขึ้นกว่าเดิม แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ส้งหวั่นหวั่นฟัง
“คุณป้า อย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้ยังมีทางเปลี่ยนแปลงได้” ส้งหวั่นหวั่นพูดปลอบใจ
ลี่จีถองยกมือขึ้นปาดน้ำตา : “จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อีกล่ะ ฉันกลายเป็นแบบนี้แล้ว”
ส้งหวั่นหวั่นเลิกคิ้วขึ้น : “ก็ไปตามทานปู่ลี่กลับมาสิคะ ขอแค่มีทานปู่ลี่อยู่ จุนถิงก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก”
“จริงด้วย พ่อรักฉันที่สุดแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” สีหน้าเศร้าหมองของลี่จีถองได้เปลี่ยนเป็นดูสดใสขึ้น เธอเช็ดน้ำตาแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจ
ขอแค่ทานปู่ลี่กลับมา วันเวลาที่ตัวเองลำบากก็จะสิ้นสุดลง
ณ โรงพยาบาล
“ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ซื้ออะไรมาบำรุงให้เธอเพิ่มดีไหม?” ลี่จุนถิงมองเจียงหยุนเอ๋อที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
เจียงหยุนเอ๋อส่ายหน้า : “นายไม่ต้องซื้อของบำรุงอะไรให้ฉันแล้ว ฉันกินอะไรไม่ลงแล้ว”
ลี่จุนถิงไม่ยอม : “ตอนนี้เธอต้องดูแลทะนุถนอมร่างกายของเธอให้ดีสิ จะเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้นะ”
“แต่ว่าฉันกินจนจะอ้วกแล้วนะ” เจียงหยุนเอ๋อพูดอย่างอึดอัด
หลายวันมานี้ลี่จุนถิงอยู่เฝ้าเจียงหยุนเอ๋อที่โรงพยาบาลตลอด เรื่องที่บริษัทก็ได้มอบหมายให้ผู้ช่วยคนเก่งของเขาจัดการแทนแล้ว
เจียงหยุนเอ๋อที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากลี่จุนถิงนั้น ทำให้อาการดีขึ้นมากแล้ว
ลี่จุนถิงยังให้คนรับใช้ซื้อของบำรุงที่มีประโยชน์ต่อคนท้องมามากมาย สลับสับเปลี่ยนให้เจียงหยุนเอ๋อกินทุกวัน
ก่อนหน้านี้เจียงหยุนเอ๋อก็ค่อนข้างชอบ แต่หลายวันมานี้เธอกินจนจะอ้วกแล้ว
“ก็ได้ ฉันรู้แล้ว ฉันค่อยจัดการตามสมควรละกัน” เห็นว่าเจียงหยุนเอ๋อไม่อยากกินจริง ๆ ลี่จุนถิงจึงได้คิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง
ในตอนนี้เอง หลันเยว่เฉินก็ได้เดินเข้ามา
“กินข้าวเที่ยงอยู่เหรอ?” หลันเยว่เฉินมองถ้วยที่อยู่ในมือของลี่จุนถิง
แต่เขาไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทของตัวเองเอาใจใส่ผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนี้มาก่อน
“เปล่า” ลี่จุนถิงวางถ้วยลง “นายมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
หลันเยว่เฉินเอือมระอากับท่าทีของลี่จุนถิง แต่ก็เอ่ยปากพูดว่า : “ตอนนี้ทารกในครรภ์ปกติดีแล้ว แกก็พาเธอกลับไปดูแลพักผ่อนได้ แต่ห้ามไม่ให้เกิดอะไรขึ้นอีกเด็ดขาดนะ ส่วนเรื่องอาหารการกิน ก็ต้องระวังให้ดี และไม่สามารถทำงานหนักได้”
หลันเยว่เฉินยังได้พูดข้อควรระวังอีกมากมายหลายเรื่อง
ลี่จุนถิงตั้งใจฟังอย่างละเอียด จดจำทุกข้อ
“ขอบคุณค่ะหมอหลัน” เจียงหยุนเอ๋อขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองเอาไว้
“ขอบใจนะ เพื่อนเกลอ” ลี่จุนถิงแสดงความขอบคุณกับหลันเยว่เฉิน
ลี่จุนถิงที่อยู่ ๆ ก็ขอบคุณขึ้นมาทำให้หลันเยว่เฉินรู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่ : “ไม่เป็นไร เป็นเพื่อนสนิทกัน มีอะไรก็บอกฉันได้เสมอ”
ลี่จุนถิงพยักหน้า หลังจากรอให้หลันเยว่เฉินออกไปแล้ว ลี่จุนถิงก็ส่งเจียงหยุนเอ๋อกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้าน ลี่จุนถิงก็ไปส่งเจียงหยุนเอ๋อที่ห้องก่อน
จากนั้นก็เรียกคนรับใช้ในบ้านมารวมตัวกัน แล้วสั่งให้พวกเขาเก็บกวาดจัดห้องของเจียงหยุนเอ๋อให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ชุดเครื่องนอนอะไรก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด
เจียงหยุนเอ๋อที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงของลี่จุนถิงที่กำลังพูดอยู่