กรุงโซล ณ ประเทศเกาหลี

มีซอยแห่งหนึ่งที่มีความพิเศษเป็นอย่างมากซึ่งอยู่ที่เขตยงซาน

ซอยนี้เป็นบ้านของเหล่าเวิร์คช็อปต่าง ๆ มากมาย

สำหรับ 30 ปีที่ผ่านมานี้ การพัฒนาการของอีเทอร์ได้สร้างเส้นทางสำหรับการถือกำเนิดของเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ในยุคปัจจุบัน

และเพราะว่าอย่างนั้นเอง อาชีพช่างตีเหล็กจึงได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาและซอยนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับสิ่งนั้น

ที่นี้มีตั้งแต่ช่างตีเหล็กเกรด 1 ไปจนถึงเกรด 3 คนที่จัดการกับวัตถุดิบที่มีราคาเป็นพันล้านวอน มีแม้กระทั้งช่างตีเหล็ก ‘เกรด 4’ ที่ไร้ใบอนุญาตที่สร้างสินค้าที่มีข้อบกพร่องขึ้นมา

พวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่นี้ ที่ศูนย์การค้าอีเทอร์ยงซาน

ราว ๆ 30 ปีก่อน พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นห้างสรรพสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ แต่ว่าตั้งแต่นั้นมามันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นสถานที่ที่ไว้ใช้จัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับอีเทอร์ และได้รับการมาเยี่ยมเยือนบ่อย ๆ โดยเหล่าฮันเตอร์คนที่ขาดแคลนเงินทุนแต่ต้องการใช้อุปกรณ์อย่างเร่งด่วน

เดือนธันวาคน

เป็นฤดูของหิมะและมีสภาพอากาศที่หนาวเย็น

ซอดัมเดินไปสภาพที่ใส่เพียงกางเกงวอร์มและเสื้อกันหนาวสีดำ

ซึ่งมีความแตกต่างเป็นอย่างมากกับเครื่องแต่กายที่ดูเหมาะสมกับสภาพอากาศของเซเลสเต้ที่กำดังเดินอยู่ด้านข้างของเขา

ดวงตาของเซเลสเต้เปล่งประกายออกมาในตอนที่กำลังมองดูไปที่ขบวนของของช่างตีเหล็กบนถนนนี้

พวกเขาแตกต่างไปเล็กน้อยจากช่างตีเหล็กในวันวานแต่มันก็ไม่ได้แตกต่างกันมาอย่างแท้จริงถ้าคุณมองไปในมุมที่ว่าเขาหลอมอีเทอร์และตีขึ้นรูปพวกมัน

“นี้เป็นครั้งแรกที่เธอมาได้ที่นี้ใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ ฉันไม่เคยมาที่นี้มาก่อนเลยค่ะ”

นี่เธอจะตามฉันไปตลอดทางเลยใช่ไหมเนี่ย?

ซอดัมมองไปที่เซเลสเต้คนที่ตามเขามาอย่างน่าสงสัย

ฉันไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนเลยแต่เธอดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก

เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับซอดัมคนที่ดูเหมือนคนทั่ว ๆ ไปที่พบเห็นได้ตามข้างทาง เซเลสเต้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าเยอะเลย

มันไม่สำคัญว่าชาวต่างชาติทั่ว ๆ ไปจะโดดออกมาจากคนเกาหลีหรือไม่ เพราะว่าความงดงามของเธอและผมสีบอล์นที่มันวาวก็ยังคงโดดเด่นออกมาอยู่ดีไม่ว่าจะเทียบกันใครก็ตามไม่ใช่แค่ในเกาหลีเท่านั้นแต่มันเป็นแบบนั้นไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม

และแม้ว่าจะมีการจองมองที่เต็มไปด้วยสงสัยมากจากซอดัม เซเลสเต้ก็ยังคงเดินตามเขาอย่างเงียบ ๆ ต่อไป

เซเลสเต้นั้นมีคำถามมากมายอยากจะถามซอดัมเกี่ยวกับเรื่องของเขา

ชื่อ,อายุ,บ้านเกิด,ญาติพี่น้อง,พ่อแม่,คุณไปเรียนรู้เพลงดาบพวกนี้มาจากที่ไหนกันค่ะ,ปกติคุณล่าที่ไหนกันค่ะ,คุณมีความสัมพันธ์ยังไงกับลอสเดย์หรือค่ะ,….

จริง ๆ แล้วมันเป็นความอย่างรู้อยากเห็นทั่ว ๆ ไป

กับฮันเตอร์แรงค์ F ที่ผิดปกติคนที่มีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าแม้กระทั้งแรงค์ S

สำหรับเซเลสเต้นั้น เธอเป็นคนที่เคยได้เห็นอัจฉริยะมามากมายในโลกใบนี้แม้จะด้วยอายุแค่ 17 ก็ตาม และรู้ว่าตัวตนของซอดัมนั้นพิเศษแตกต่างออกไป

‘อุปกรณ์ประเภทไหนกันนะที่คุณจะใช้?’

ในยุคที่เต็มไปด้วยคำสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต

อุปกรณ์ไม่ได้แตกต่างกันเลย

มันมีอุปกรณ์ชั้นเลิศมากมายที่สามารถหาซื้อได้ในร้านค้าออนไลน์ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ขายในราคาที่ต่ำและมีการรีวิวที่มากมายทำให้มันเป็นไปได้ที่จะสามารถนำสินค้าต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกัน

ดังนั้นแล้วผู้คนคนที่ซื้อสินค้าแบบต่อหน้าเช่นนี้โดยปกติแล้วจะแบ่งแยกได้สองประเภท

คือคนที่มีดวงตามที่คมกริบในการแยกแยะสินของซึ่งคนพวกนี้ไม่ต้องการข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมอีกเลยในเรื่องของอุปกรณ์ที่เข้ากำลังเลือกซื้อและอีกประเภทคือคนที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว

เซเลสเต้รู้ว่ามันไม่มีความแตกต่างกันมากเท่าไหรในเรื่องของราคาไม่ว่าจะทั้งในร้านค้าอีเทอร์หรือร้านค้าออนไลน์ สมาพันธ์พ่อค้ารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะร่วมมือกันโก่งราคาให้สูงขึ้น

ดังนั้นแล้วเธอเลยมีความอยากรู้อยากเห็นที่มากขึ้นไปอีก

ว่าดวงตาประเภทไหนกันที่ฮันเตอร์ซอดัมมีในตอนที่เขาเลือกซื้ออุปกรณ์ของเขา

“มันมีทางที่จะได้รับอุปกรณ์ที่ดีกว่าที่อื่นจากที่นี้หรือค่ะ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็รู้เรื่องนี้ตั้งแต่ที่พื้นที่ตรงนี้ยังคงเป็นศูนย์การค้าอิเล็กทรอนิกส์อยู่เลย”

มันมีวิธีการในการหาสินค้าที่ต้องการให้ได้ในทางที่พิเศษกว่าที่ตามจริงแล้วทุกคนรู้เกี่ยวกับมัน

วิธีการที่สามารถที่จะใช้ได้โดยใครก็ตามแต่ไม่มีใครคิดที่จะใช้มัน

ในกรณีนี้เองเช่นกันที่ทำให้วิธีการนี้ได้กลายมาเป็นตำนาน

ซอดัมเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เงียบสงบ

ที่นี้คือยงซาน

เป็นที่รู้กันดีว่าเปรียบเสมือน ‘ดันเจี้ยนอันดับที่สอง’

แต่จากแทนที่จะเป็นการเดิมพันด้วยชีวิต คนที่มาที่นี้จะเดิมพันกันด้วยเงินที่อยู่ในกระเป๋าตังของพวกเขาแทน

สถานที่ที่แสนน่าสะพรึงกลัวนี้เป็นที่ที่ถ้าคุณแค่ก้าวผิดไปแม้เพียงก้าวเดียวมันจะทำให้คุณแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัวเลยหละ

ยูซอดัมหยุดนิ่งและยืนตรงด้วยความมั่นใจ

“…”

มันเงียบเป็นอย่างมาก

เนื่องจากมันเป็นยามเช้าของวันธรรมดาทั่วไปที่ยังคงไม่มีลูกค้า

‘ว่าแต่ทำไมคุณถึงต้องหยุดลงในทันทีที่ถึงใจกลางของถนนด้วยหละค่ะ?’

เซเลสเต้คิดเกี่ยวกับมันในตอนเธอส่วมใส่เครื่องแปลภาษาอยู่ที่หูของเธอเพื่อที่จะแปลเป็นภาษาเกาหลี

ในทันใดนั้นเอง ยูซอดัมก็ได้ตะโกนขึ้นมา

“อินเตอร์เฟสโฟโต้ไดนามิกอีเทอร์ ที่ราคา 1.2 ล้านวอน!”

“หะ…?”

3,2,1.

เซเลสเต้คิด ‘นี้มันสถานการณ์บ้าอะไรกันค่ะเนี่ย?’

ในจังหวะที่เธอกำลังคิดเช่นนั้นเอง

“เฮ้ เรามี ๆ ยังอยู่ในสภาพที่ดีด้วย ที่ราคา 1.2 ล้านวอน”

“มีสินค้าที่ถูกใช้แล้ว ที่ราคา 1.17 ล้านวอน”

“อะไรนะ? นั่นมันมีค่ามากที่สุดก็แค่ 1.15 ล้านวอนเท่านั้นเองนะ!”

“1.1 ล้านวอนจ้า”

“…1.08 ล้านวอนเลยพวก”

“เฮ้ย! พวกแกนี้มันไร้ซึ่งจริยธรรมเลยจริง ๆ”

“1.05 ล้านวอนครับพี่”

“สำหรับสิ่งจิ๊บจ้อยเช่นนี้ ฉันขายที่ราคา 1.03 ล้านเลย”

เหล่าพ่อค้าทั้งหลายต่างพากันลังเลหลังจากที่ได้ยินราคาที่ 1.03 ล้านวอนและด้วยการตัดจบของซอดัมทำให้ธุรกิจกรรมนี้ได้สิ้นสุดลง

“1.03 ล้านวอน ดีล!”

“…”

เซเลสแสดงสีหน้าออกมาประมาณว่า ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันค่ะเนี่ย’ ในขณะที่กำลังมองดูไปที่ซอดัม แต่มันยังไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้นะสิ

“จุดรับส่งอีเทอร์ ระยะ 1,200 ฟุต ที่ราคา 1.2 ล้านวอน เริ่มต้นการเสนอราคาได้ครับ”

……………………………………………………..

ซอดัมได้ซื้อได้ซื้ออุปกรณ์ไปมากกว่า 12 ชิ้นจากที่นี้ เป็นเงินทั้งสิ้น 20 ล้านวอน

ทั้งที่มันควรจะมีราคาอยู่ที่ระหว่าง 25 ถึง 30 ล้านวอน ดังนั้นแล้วมันคงจะสามารถเห็นเขาได้ต่อราคาพวกมันลงไปมากเท่าไร

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นซอดัมก็ไม่ได้ซื้อสิ่งของแบบสุ่ม ๆ เพียงเพราะแค่ว่าราคาของมันถูก

ถ้าหากว่ามีแม้กระทั้งกระสุนหนึ่งนัดที่มันด้าน เขาจะตัดราคาสินค้าพวกนั้นไปมากกว่าเดิมอีกหรือไม่งั้นก็เอากระสุนมาเพิ่มอีก

เขาก็ยังตรวจดูสินค้าในกล่องอีเทอร์ที่ใช้เก็บพวกมันอย่างระมัดระวังและพิถีพิถันเช่นกัน

หลังจากการซื้อสินของต่าง ๆ ที่จำเป็นทั้งหมดแล้ว ซอดัมที่เต็มไปด้วยสีหน้าที่พึงพอใจก็พูดขึ้น

“ได้เวลาไปตามหาอุปกรณ์เกรด 2 กันแล้วหละในตอนนี้”

“…ค่ะ”

เซเลสเต้ได้สวมใส่เครื่องแปลภาษาเกาหลี ทำให้สามารถที่จะเข้าใจบทสนาต่าง ๆ ระหว่างซอดัมและเหล่าพ่อค้าแม่ค้าพวกนั้นได้ เลยทำให้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

พูดตามจริงแล้วในตอนนี้เธอเริ่มที่จะเหนื่อยนิดหน่อยแล้ว

เพราะว่านี้มันไม่ใช่อะไรก็ตามที่เธอเคยคิดไว้เลย

ดังนั้นแล้วเธอเลยไม่ได้คาดหวังมากนักในตอนที่เขาบอกว่าจะได้ตามหาอุปกรณ์เกรด 2

อย่างไรก็ตาม

ในจังหวะที่พวกเขาได้เข้าไปในร้านค้าของช่างตีเหล็กเกรด 1

เซเลสเต้ได้เห็นแววตาของซอดัมที่เปลี่ยนแปลงไป

มันเป็นดวงตาของฮันเตอร์ผ่านศึกที่กำลังจ้องมองลงไปที่สัตว์ร้าย

วูฟ!

หลังจากที่อีเทอร์ได้ถูกปล่อยออกมาจากดาบเหล็ก ซอดัมได้สะบัดดาบเบา ๆ ด้วยนิ้วมือของเขา

แล้วในขณะที่เขากำลังลูบมันอย่างช้า ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า

“เธอเคยคิดบ้างไหมว่าการเคลือบอีเทอร์นี้มันมากเกินไป?”

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่ค่ะ? ไม่ใช่ว่าคุณต้องการให้อย่างน้อยที่สุด ให้มันมากพอที่จะสามารถตัดผ่านมอนสเตอร์ได้ไม่ใช่หรือไงกันค่ะ?”

“แต่ถ้ามันถูกเปิดใช้งานนานกว่าสามชั่วโมงมันจะโอเวอร์ฮีทและหยุดการทำงานนะสิ ทำไมระบบหล่อเย็นของได้เจ้านี้มันห่วยแตกจังน้า?”

“นี่มัน…น่าจะเพื่อที่จะทำให้มันสามารถพกพาได้สะดวกมาขึ้นนะคะ”

“น้ำหนักเบาและมีขนาดเล็กมันเป็นแฟชั่นจากยุคก่อน ๆ นะสิ มันจำเป็นที่จะต้องลงอายุการใช้งานของอุปกรณ์ลงจริง ๆ ด้วยหรือไงกัน?”

ซอดัมในตอนนี้ได้มองดูไปที่อุปกรณ์ทุก ๆ ชิ้นที่ร้านนี้มีและตรวจสอบและวิจารณ์พวกมันอย่างละเอียดไปทีละชิ้น

จนในที่สุดแล้วช่างตีเหล็กคนนี้ก็เริ่มที่จะรู้สึกหมดกำลังใจ

ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ซื้อได้เพียงแค่กระสุนเท่านั้น

“…ทำไมคุณถึงซื้อของพวกนั้นด้วยหละค่ะ?”

“ราคาหลังก่อสงครามกับพวกพ่อค้ามันมักจะต่ำนะสิ”

“…”

สิ่งเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นกับช่างตีเหล็กคนอื่น ๆ

อุปกรณ์นั้นเป็นดังชีวิตของฮันเตอร์

นี้ยังไม่ต้องพูดถึงในเรื่องของอุปกรณ์ป้องกัน แค่เรื่องของอาวุธอย่างเดียวซึ่งถ้าหากอาวุธที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นฮันเตอร์ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็คงทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว

เซเลสเต้ในตอนนี้เหมือนคนที่ถูกอะไรสักอย่างมาดลใจ ได้เดินตามซอดัมไปรอบ ๆ ราวกับว่าเป็นลูกสุนัขตัวน้อย

เธอได้นึกย้อนคืนไปถึงอุปกรณ์ที่เธอเคยใช้เมื่อนานมาแล้ว

มันเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่ตระกูลได้เตรียมไว้ให้

เธอไม่ได้รู้ว่าพวกมันดียังไงและแค่ใช้พวกมันเท่านั้นเพราะว่าเธอถูกบอกมาว่าอย่างนั้น

สิ่งที่เธอไม่เคยได้รู้เลยเกี่ยวกับการใช้งานพวกมันอย่างเหมาะสม

ตอนนี้เธอได้เข้าใจมากขึ้นนิดนึงแล้ว

เธอในตอนนี้รู้สึกได้ว่าเธอสามารถที่จะจัดการกับอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่มากขึ้นแล้ว

ซอดัมได้รับกระสุนมามากว่า 12 ชนิดเข้าไปแล้วนับตั้งแต่ที่มาถึงและเวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งวันเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งเซเลสเต้ไม่แม้กระทั้งจะสังเกตเห็นเรื่องนั้นเลย

อย่างไรก็ดีในตอนนี้เอง ที่ข่าวลือในเรื่องวีรกรรมของพวกเขาได้แพร่กระจายออกไปและช่างตีเหล็กหลาย ๆ คนได้เริ่มที่จะปฏิเสธการให้บริการกับพวกเขาแล้ว

“ร้านเราไม่ขายครับ!”

“ทำไมหละ?”

“ฉันได้ยินมาหมดแล้ว ว่าแกไม่แม้แต่จะซื้ออะไรเลยและทำแต่เรื่องแย่ ๆ เอาไว้!”

‘คอยระวังไว้ในตอนนี้มีฮันเตอร์ที่น่าสงสัยกำลังเดินไปรอบ ๆ พร้อมกับเด็กสาวที่น่ารัก’

เหล่าช่างตีเหล็กที่ศูนย์การค้าอีเทอร์ยงซานแห่งนี้ ได้ตั้งป้อมกับพวกเขาเรียบร้อยแล้ว

ซอดัมที่มีสีหน้าจนปัญญาได้ผงกหัวลง

“อืม…ฉันจะทำอะไรดีน้าในเมื่อฉันจะไม่ได้เห็นสิ่งอื่น ๆ ที่ฉันชอบแล้ว? ไปดูที่อื่นกันดีกว่า”

มันไม่มีอะไรที่ฉันสามารถทำได้ถ้าพวกพ่อค้าได้รวมตัวกันต่อต้านฉันแล้ว

ในตอนที่ซอดัมได้ยอมแพ้ไปแล้วและกำลังคิดว่าจะไปจัดการธุระของเขาต่อที่อื่น ทันใดนั้นเองเซเลสเต้ก็ได้เอาสมาร์ทโฟนของเธอออกมาและเริ่มที่จะถ่ายคลิปวิดีโอของที่นี้รวมทั้งป้ายของร้านค้าต่าง ๆ

เหล่าช่างตีเหล็กสงสัยว่าสาวน้อยคนนี้กำลังพยายามที่จะทำอะไรกันแน่แต่โชคไม่ดีเลยที่เธอแค่ใส่เคยแปลภาษาไว้เท่านั้นและไม่ได้ให้มันแปลออกมา“นี่เธอถ่ายคลิปวิดีโอไปทำไมกันหนะ?”

“(ภาษาอิตาเลียน)”

“อ๊า นี่เธอกำลังจะโพสรีวิวลงบนบล็อกของเธออย่างนั้นหรอ?”

“(ภาษาอิตาเลียน)”

“นี่เธอกำลังโพสมันลงบนโซเชียลมีเดียใช่ไหมนะ? คิดดูดี ๆ ก่อนสิ ไม่ใช่ว่าเธอพึ่งจะสร้างบัญชีเมื่อไม่นานมานี้หรอกหรือ? อืม แต่ว่านั้นก็มากเกินพอแล้วนี่เนอะ เธอมีคนติดตามจำนวนมากแล้วนี่น่า งั้นเธอจะเริ่มข่าวปล่อยลื่อเกี่ยวกับที่นี้ว่าอย่างไรดีหละ?”

“(ภาษาอิตาเลียน)”

“หะ? ไล่ลูกค้าที่บริสุทธ์ออกจากร้านนะหรือ? ฉันว่านี้มันออกจะ…”

“เฮ้ คอยเดี่ยวก่อนครับ ร้านเราขายแล้วครับ! มาสิครับ! เชิญเข้ามาสิครับ!”

ในยุดศตวรรษที่ 21

มันเป็นยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปสำหรับคนทุกเพศทุกวัย

มันทำให้ไม่มีความลับอีกต่อไป

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในปัจจุบันนี้นั้นไม่ใช่ฮันเตอร์เหมือนอย่างซอดัมแต่เป็นบล็อกเกอร์ต่างหาก

……………………………………………………..

“นี้มันเป็นทริปการซื้อของที่ดีจริง ๆ เลยนะ”

“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

ในตอนช่วงเย็น ๆ

ซอดัมยิ้มออกมาอย่างต่อเนื่องไปให้กับถุงช็อปปิ้งที่มีเต็มไปหมดที่มือของเขา

ในท้ายที่สุดเขาก็ได้ซื้ออุปกรณ์เกรด 2 ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงมาสองชิ้นและยังคงมีเงินเหลืออยู่ แต่ไม่สามารถหาอะไรที่เขาต้องการที่จะซื้อได้แล้วสำหรับอุปกรณ์ชิ้นสุดท้าย

และเซเลสเต้คนที่ได้ตามซอดัมมาตลอดก็ได้พวกอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดมามากมายทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่เคยใช้มันเลย

“ฉันขอโทดนะ ดูแล้วฉันคงไม่ได้จะได้ซื้อชิ้นสุดท้ายแล้วหละแต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นะ”

ในขณะที่กำลังจะออกจากย่านการค้าในทันใดนั้นเองซอดัมก็ได้สังเกตเห็นสิ่งก่อสร้างเก่า ๆ ที่โดดเด่นออกมา

มันมีหลายสถานที่ที่จัดการกับอีเทอร์เช่นกันแต่สถานที่พวกตรงหน้านี้นั้นพิเศษออกไป

มันเป็นสถานที่ที่จัดการกับปืนเพียงอย่างเดียว

แม้ว่ามันจะไม่ได้มีที่เดียวที่เป็นสถานที่แบบนั้นก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นแล้วมันก็ยังเป็นสถานที่ที่หาได้ยาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นที่ศูนย์การค้าอีเทอร์แล้วด้วย

ป้ายเก่า ๆ ที่อ่านได้ว่าเกรด 3 นั้นได้ดึงดูดสายตาของเซเลสเต้เอาไว้แต่ในทางกลับกันซอดัมได้พุ่งตรงไปทางนั้นแล้วราวกับว่ากำลังถูกครอบงำอยู่

ในตอนที่ประตูกระจกเก่า ๆ ได้เปิดออก กลิ่นของดินปืนที่ตกค้างอยู่ในร้านได้จู่โจมไปที่จมูกของพวกเขา

ปืนที่เคยเป็นสิ่งที่ถูกใช้เพื่อจัดการกับมอนสเตอร์นั้นจะถูกบรรจุไปด้วยอีเทอร์ไม่ใช่ดินปืน

กล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือความสามารถพิเศษของช่างตีเหล็กของร้านนี้ไม่ได้อยู่ที่ปืนอีเทอร์เพียงเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงปืนยุคเก่าอีกด้วย

เขาคงจะเป็นหนึ่งในสองประเภทของคนที่ยังคงเหลืออยู่ในหมู่ช่างตีเหล็กในยุคนี้ที่ยังคงจัดการกับอาวุธปืนเช่นนี้อยู่

ถ้าไม่ใช่ช่างฝีมือแก่ ๆ คนที่ไม่สามารถที่จะลืมอดีตไปได้ก็ต้องเป็นช่างฝีมือแก่ ๆ ที่หลงใหลในปืน

ในความคิดเห็นของซอดัมเจ้าของสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นอย่างหลังจะมากกว่า

นี้เป็นเพราะว่าปืนอีเทอร์นั้นมันทำกำไรได้ดีกว่า

“นี่มันเป็น…ศิลปะ ไม่ใช่หรือไงกัน…?”

เขาค่อย ๆ ลูบไปที่ปืนที่แขวนอยู่บนผนัง

มันดูราวกับว่าเขากำลังชื่นชมผลงานศิลปะที่สวยงามอยู่ ซอดัมมองไปที่ปืนที่ถูกผลิตออกมาจำนวนมากแต่ละอันที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันจะต้องถูกผลิตขึ้นมาไว้เพื่อขายออกไปอย่างแน่นอน

“โอ้ว นายมีสายตาที่แหลมคมดีนะเนี่ย…..แต่ก็เป็นเรื่องปกติอะนะก็คนที่ไม่มีพลังพิเศษมักจะยอดเยี่ยมในเรื่องของการใช้ปืนอยู่แล้ว”

ชายแก่พูดขึ้น ในตอนที่เดินออกมาอย่างช้า ๆ จากด้านหลังของประตู

ซอดัมมองไปที่เขาและถามออกมาว่า

“คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันไม่มีพลังพิเศษ?”

“ทุกคนสามารถบอกมันได้หมดแหละเพียงได้เห็นนาย ผิวหนังที่ตายด้านแล้วก็ดวงตาของนายมันบอกฉันว่าพวกมันได้สู้รบผ่านสนามรบมามากมายและคนที่มีพลังพิเศษจะไม่ใช้ปืนซึ่งต่างจากนายที่ดูเหมือนว่าจะรู้ดีเป็นอย่างมากเลยเกี่ยวกับปืนไม่ใช่ว่านี้มันเป็นข้อที่บ่งบอกจุดอ่อนของนายแล้วหรือที่ว่าไม่มีพลังพิเศษนะ?”

กระสุนอีเทอร์นั้นก็ยังมีราคาที่แพง

ถึงอย่างนั้นก็แล้วแต่พวกยอดมนุษย์โดยลำพังแล้วก็ยังคงง่ายที่จะยับยั้งพลังของปืนอยู่ดี

ไม่เหมือนกับกระสุนมันยากที่จะคงสภาพพลังของดาบอีเทอร์ไว้ดังนั้นฉันเลยยากที่จะได้ใช้มันในสถานการณ์ที่ปกติ

แต่คนธรรมดาทั่ว ๆ ไปต้องปกปิดจุดอ่อนของตนเองจากการที่ไม่มีพลังพิเศษดังนั้นแล้วด้วยน้ำตาที่ไหลเป็นสายเลือดพวกเขาเลยต้องใช้ปืนที่มีราคาค่ากระสุนเป็นแสนต่อกระสุนหนึ่งนัด

เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพอพวกเขาคงจะตาย ฮันเตอร์ธรรมดาไม่ว่าจะทั้งคนที่เลิกเป็นฮันเตอร์แล้วหรือถ้ายังพวกเขาก็จะกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ปืน

และฮันเตอร์คนที่พวกที่เป็นกลุ่มหลังก็มักจะตายหลังจากนั้นไม่นาน

“ฉันไม่รู้ว่าที่นี่จะมีอะไรที่ฮันเตอร์อย่างนายจะสนใจมันหรือป่าวนะ…”

ชายแกพูด ในความเป็นจริงแล้วมันมีอยู่อันหนึ่งที่สะกดสายตาของเขาตั้งแต่ที่เขาเดินแล้วมาในร้านแล้ว

“นั้นคืออะไรครับ?”

ปืนที่ซอดัมได้ชี้ไปนั้นมีความยาวเทียบเท่ากับปืนสไนเปอร์ไรเฟิลและมีความหนาที่เหมือนกับปืนแมชชีนกัน

ฉันรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นมันที่ว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นมาจากวิทยศาสตร์เกี่ยวกับอีเทอร์แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างมันดูเหมือนว่าเป็นแค่การแต่งเสริมเท่านั้น

“มันคือ ‘ปืนยิงหน้าไม้ DK-001’ ที่ได้รับการดัดแปลงที่สามารถยิงได้ถึงหกนัดในเวลาเดียวกัน”

“บ-บ้าน่า ปืนยิงหน้าไม้…”

มันต้องเป็นอย่างน้อยก็เกรด 2

แต่มีปัญหาอยู่หนึ่งอย่างเกี่ยวกับมัน ปืนยิงหน้าไม้อันนี้นั้นหนักมากเกินไปสำหรับคนธรรมดาที่จะพกมันไปรอบ ๆ

มากไปกว่านั้นมันยังแม้แต่ได้รับการดัดแปลงให้ยิงได้ถึงหกนัด….

“ถ้าจะมีปัญหาอะไรหละ มันมีอยู่อย่างคือเจ้าสัตว์ประหลาดนี้มันยากที่จะใช้งานถ้าไม่ใช้สำหรับใครบางคนที่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพอย่างน้อยแรงค์ E”

มันอาจจะเป็นไปได้ที่จะพกมันไปรอบ ๆ และใช้มันในตอนที่ยังเป็นเพียงฮันเตอร์แรงค์ F

อย่างไรก็ตามบนสมานรบนั้นเป็นที่ที่คุณจำเป็นที่จะต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วในทุก ๆ สถานการณ์การพกของที่มีน้ำหนักเช่นนี้จะทำให้มันยากที่จะเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่ว

“ดังนั้นนี้มันเลยเป็นปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันไม่มีเหตุผลสำหรับพวกยอดมนุษย์ที่จะใช้ปืนและมันก็ยากสำหรับคนธรรมดาที่จะใช้มัน”

เขาพูดถูกต้อง

ยูซอดัมในตอนนี้มีทักษะระดับแรงค์ E แล้วในตอนนี้และถ้าเขาถือดาบอีเทอร์พร้อมด้วยทักษะเพลงดาบสีขาวและชำนาญดาบระดับ (A) เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเจ้าปืนสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่มหึมานี้

จะเป็นแบบนั้นก็ต่อเมื่อไม่นับการต่อสู้ใน ‘กรณีที่พิเศษมาก ๆ’ ไว้อะนะ

แต่ซอดัมไม่ได้ล่าแค่มอนสเตอร์อย่างเดียวมาสักพักแล้ว

เหยื่อรายต่อไปของเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักเวทย์และคนพวกนี้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้จากระยะไกล

แล้วคุณคิดว่าพวกเขาจะยอมให้คุณเข้าไปประชิดตัวพร้อมกับดาบหรือการยิงปืนพกนะหรอ?

พวกเขาก็ฉลาดมากพอที่จะมีวิธีการที่หลากหลายสำหรับปกป้องตัวเองจากการทำสิ่งต่าง ๆ เหมือนกัน

และเพื่อที่จะเจาะผ่านโล่เวทมนตร์ที่ไม่ธรรมดาที่ถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทย์ การโจมตีที่ทรงพลังจากระยะไกลจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

“…ฉันจะซื้อมัน”

……………………………………………………..

ทริปการช็อปปิ้งได้สิ้นสุดลงแล้ว

ฉันหายใจเข้าลึก ๆ และเปิดตาของฉัน

การตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดของฉันไม่เสร็จไปนานแล้ว

ในขณะที่ฉันได้ยอมแพ้ให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ยกเว้นแค่หนึ่งอันที่มีความสำคัญมากที่สุด ปืนที่มีชื่อเรียกว่า ‘เมก้าชูตเตอร์’ ได้ถูกติดไว้ที่หลังของฉัน

เสื้อโค้ทอีเทอร์ที่มีค่ายใช้จ่ายที่สูงพอ ๆ กับเมก้าชูตเตอร์,ดาบอีเทอร์ และอุปกรณ์เกรด 2 ที่ได้เตรียมไว้ใช้จัดการกับนักเวทย์

ตอนนี้กระเป๋าตังของฉันได้ฉีกอีกแล้วแต่ถ้าฉันสามารถที่ล่านักเวทย์คนนี้ไม่สำเร็จ การลงทุนทั้งหมดก็จะคุ้มค่าสำหรับมัน

“ส่งภารกิจต่อไปมาใช้ฉันที”

<…>

“เฮ้ คุณลูกค้า?”

<โทดทีค่ะ ฉันกำลังพักเบรกอยู่นะคะ>

“คุณต้องพักด้วยหรอ?”

เพราะไม่ว่าเมื่อไหรที่ฉันเรียกเธอก็มันจะตอบฉันเสมอดังนั้นฉันเลยคิดว่ามันเป็นบริการแบบ 24 ชั่วโมงต่อวันซะอีก

“ฉันพร้อมแล้ว”

นักเรียน_ที่_กลายมา_เป็น_นักเวทย์_อัจฉริยะ

แฟนตาซี ย้อนอดีต

แนวโรงเรียน ฮาเรม

[กำลังเดินทาง สู่ จักรวรรดิเวทมนตร์ วิเวียนด้า โลกของตัวเอกเลเวล 70 ฟิโอเลน]

[10…9…8…]

มุมมองการมองเห็นของฉันได้กระพริบไปมา และเมื่อฉันเปิดตาของฉันขึ้นอีกครั้ง

[2…1…0]

[การเดินทางเสร็จสมบูรณ์]

[คุณได้กลายมาศาสตราจารย์พิเศษด้านการต่อสู้ด้านเวทมนตร์ ที่สถาบันการศึกษาทางด้านเวทมนตร์ในระดับสูง วิเวียนด้า]

โลกใบใหม่ได้เข้ามาสู่สายตาของฉัน

“…!”

สิ่งแรกที่ฉันเห็นนั้นเป็นท้องฟ้า

ผ่านหน้าต่างออกไปเมฆสีฟ้ากำลังเคลื่อนที่ไปมา

ท้องฟ้าที่นี้ดูเหมือนว่าจะใกล้ไปหน่อยนะ

ดังนั้นฉันเลยเดินไปปิดหน้าต่างและเมื่อฉันมองลงไปด้านล่าง

สิ่งที่ฉันเห็นคือวิวของหน้าผาที่มองไม่เห็นก้นหลุมกำลังทักทายฉันอยู่

“บ้าน่า”

ในตอนนี้ฉันได้เห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ กำลังลอยอยู่กลางอากาศ

มีลูกแก้วคริสตัลและแม้กระทั้งกิ้งก่าที่มีปีกบางตัวกำลังร่อนไปมาในท้องฟ้า

ฉันก้าวถอยหลังไปอย่างช้า ๆ ไม่สามารถเก็บความงุนงงสับสนไว้ได้

มันไม่สำคัญว่าเวทมนตร์นั้นก็เหนือล้ำเพียงใดแต่นี้มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?

ฉันค่อย ๆ มองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ

มันเป็นห้องทำงานที่มีรูปแบบที่ไม่ปกติ

มีโต๊ะที่เต็มไปด้วยหนังสือที่มีปกหนังคลุมอยู่แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะเข้าใจมันแม้ว่าฉันจะสามารถอ่านมันได้ก็ตาม

[กฎของเวทมนตร์ข้อที่สามของเออร์เวน โดยย่อ (1098P)]

[การแก้ปัญหาการขัดแย้งกันของตรีโกณมิติโดย แฟรี่ เอเลเดน]

[แกนหลักของเวทมนตร์ (ตีพิมพ์ครั้งที่ 1)]

นี้มันอะไรกัน?

ฉันกำลังมองไปที่หนังสือพวกนั้นอย่างช้า ๆ ในตอนนั้นเองที่ประตูด้านหลังของฉันได้เปิดออกและใครบางคนได้เข้ามา

“ศาสตราจารย์ยู”

ชายคนนั้นพุ่งเข้ามาหาฉันในทันที

อะไรนะ?

นี้แกต้องการที่จะสู้กันใช่ไหม?

ด้วยเหตุนี้เองฉันได้วางมือของฉันไว้บนดาบอีเทอร์ของฉันเองแม้ว่าจะไม่ได้รับรู้ถึงความเป็นศัตรูใด ๆ จากเขาก็ตาม

“ศาสตราจารย์ คุณทำอะไรอยู่ที่นี้เนี่ย! การทดสอบการหมุนเวียนเวทมนตร์ของเด็กใหม่ได้เริ่มแล้วนะครับ!”

“ศาสตราจารย์หรอ?”

“ใช่ครับ”

“ฉันอะนะ?”

“ก็ใช่นะสิครับ!!”

ฉันได้แต่ตกตะลึงและพยายามที่จะปฏิเสธมันแต่ในทันใดนั้นเองชายคนนี้ก็ได้มาจับข้อมือของฉันไว้

“ศาสตราจารย์ เราต้องรีบแล้วครับก่อนที่คุณจะสายไปมากกว่านี้!”

“…?”

ใช่สินะ

ฉันได้กลายมาเป็นศาสตราจารย์ในโลกเวทมนตร์นี้ซะแล้วสิ