วิลลิสคนที่ได้แนะนำตัวกับฉันว่าเป็นนักเวทย์สายต่อสู้ผู้ช่วยเกรด 1 ของฉัน ได้นำฉันไปที่ไหนสักที่ในขณะที่เขากำลังขยับปากของเขาอย่างต่อเนื่อง
เขาเป็นพวกช่างพูดชะมัดเลย
“ไม่ใช่ว่ามันน่าตื่นเต้นจริง ๆ หรือครับ? อัจฉริยะสามคนได้เข้ามาที่สถาบันวิเวียนด้าในเวลาเดียวกันเลยนะครับ!”
“อ้า ใช่เลย มันน่าตื่นเต้นมากเลยหละ”
แต่มันยังมีปัญหาอยู่อีกหนึ่งอย่าง
<สถาบันการศึกษาเวทมนตร์วิเวียนด้าได้ถูกต่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อ 500 ปีก่อนโดยผู้วิเศษไลน์แคร เขาได้สร้างโรงเรียนนี้บนโครงสร้างขนาดยักษ์เหนือจากระดับพื้นดิน 10 กิโลเมตรเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช้นักเวทย์เข้ามาได้>
มันไม่ได้มีคนพูดอยู่แค่คนเดียวในตอนนี้นะสิแต่เป็นสองคนที่กำลังพูดพร้อมกันอยู่
<…สถาบันนี้ได้รับพลังงานมาจากหินมานาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกนี้…>
‘เฮ้’
<อะไร มีอะไรก็พูดมาเลย>
‘ทำไมมันดูเหมือนอยู่ดี ๆ เธอก็พูดมากขึ้นมาทันทีเลยซะอย่างนั้นหละ?’
<ทักษะล่าตัวเอกของคุณในตอนนี้เป็นเลเวล 2 แล้ว ทำให้มันเป็นไปได้ที่จะเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกใบนี้ในพล็อตเรื่อง>
จริงดิ?
แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรสักหน่อย
‘โอเค งั้นพอแล้ว เงียบซะ’
ถ้ามีสองคนที่กำลังอธิบายสิ่งต่าง ๆ พร้อมกันมันจะดีกว่าที่จะฟังคนที่อธิบายข้อมูลที่มีประโยชน์มากกว่า
ในขณะที่คุณลูกค้ากำลังอธิบายประวัติศาสตร์ที่ไร้ประโยชน์ของโรงเรียนนี้ ผู้ช่วยวิวลิสก็กำลังอธิบายสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นมันชัดเจนว่าใครคือคนที่ฉันควรจะฟังอะนะ
<…โอเคค่ะ>
อย่างไรก็ตามคุณลูกค้าคนนี้คนที่ดูเหมือนว่าจะไร้อารมณ์ตลอดเวลาได้ซ่อนตัวตนของเธอเองไปแล้วเหมือนกับว่าเธอได้อารมณ์เสียไปซะแล้วหละสิ
“นี่เป็นเรื่องที่ว่าทำไม…ศาสตราจารย์ครับ? นี่คุณกำลังฟังผมอยู่รึป่าวครับ?”
“นี่มันน่าสนใจมาก ๆ เลยหละ”
“อะไรนะครับ? มันน่าสนใจที่วิกผมของอาจารย์ใหญ่มาทาลานีตกลงมาระหว่างการบรรยายนะหรือครับ?”
“ต่างคนก็ต่างหาสิ่งที่ตนเองสนใจแตกต่างกันไปนะ”
“อ้า เข้าใจแล้วครับ”
วิวลิสผงกหัวอย่างรวดเร็วแล้วก็อธิบายต่อไป
“ดังนั้นแล้วคุณคิดว่าใครจะได้คะแนนสูงที่สุดใน ‘การหมุนเวียน’ ครั้งนี้ครับ?”
ฉันไม่ได้เข้าใจอะไรเลยเพราะงั้นแล้วฉันเลยตัดสินใจที่จะโยนคำถามกลับไปแทน
“แล้วนายคิดว่าเป็นใครหละ?”
“อืมม…ผมคิดว่ามันคงจะเป็นกูริมคนที่ได้รับที่สองจากการสอบเข้าถึงแม้ว่าเขาจะอ่อนแอในเรื่องทฤษฎีก็ตามที การหมุนเวียนมานาของเขาที่ได้รับการสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้นยอดเยี่ยมมาก ศาสตราจารย์ไม่คิดงั้นหรอครับ?”
ฉันไม่รู้โว้ย ไอ้ห่านี้
อย่างแรก อะไรคือการหมุนเวียนฟระ?
“เอ้อ เมซลอน คนที่ได้ที่ 3 ก็ดูเหมือนว่าจะดีนะครับ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าคนที่มาจากตระกูลที่ร่วงหล่นจะสามารถสำเร็จในการหมุนเวียนขั้นที่ 2 ได้ เขานี้เป็นอัจฉริยะจริง ๆ ถ้าตระกูลนี้ยังคงเหมือนเดิมอยู่หละก็ตำแหน่งบนสุดก็คงจะไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเขาแน่นอนครับ”
“ฉันเห็นด้วยนะ”
“แน่นอนว่าสำหรับส่วนที่เหลือพวกเขาก็ทำได้ดีมาก…”
เขายักไหล่และหัวเราะออกมา
“แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของทฤษฎีหรือการปฏิบัติแล้วนั้นพวกเขาไม่สามารถเทียบได้กับอาราเซลลีเลยครับ เธอเป็นคนที่ได้คะแนนที่สมบูรณ์แบบและได้เกรดสูงสุดจากความสามารถอันเหลือล้นของเธอเองครับ”
อันดับที่ 1 อาราเซลลี
อันดับที่ 2 กูริม
อันดับที่ 3 เมซลอน
ชื่อของตัวเอกคือ ‘ฟิโอเลน’ ดังนั้นมันไม่ใช่หนึ่งในคนพวกนี้
อย่างไรก็ตาม ตัวเอกอาจจะใช้ชื่อปลอมก็ได้เพราะงั้นแล้วฉันไม่ต้องการที่จะกำจัดความเป็นไปได้โดยสมบูรณ์แบบที่ว่าหนึ่งในสามคนนี้เป็นตัวเอกตั้งแต่ที่มีคำว่า ‘อัจฉริยะ’ เป็นแฮชแท็กของโลกนี้
“ไม่แน่ว่าเรากำลังจะได้บันทึก ‘คะแนนเวทมนตร์’ ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบันเวทมนย์วิเวียนด้าในวันนี้ก็ได้ครับศาสตราจารย์”
ในขณะที่พวกเรากำลังคุยกันอยู่นั้นเอง ฉันและวิวลิสได้มาถึงที่ทางเข้าขนาดใหญ่ที่จุดสิ้นสุดของโถงทางเดินแล้ว
มันมีเด็กหนุ่มสาวหลาย ๆ คนที่สวมใส่เสื้อคลุมแบบแปลก ๆ อยู่
ฉันเดาว่าพวกเขาคงจะเป็นนักเรียนของสถาบันนี้นั้นแหละ
“ไปกันเถอะ”
เมื่อประตูได้เปิดออก
หอประชุมขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของฉัน
“เอ่อ…”
หอประชุมนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสนามกีฬาโอลิมปิกที่ได้ถูกจัดเรียงไว้ให้เป็นเหมือนเกลียว
ที่จุดศูนย์กลางของมันเป็นคริสตัลสีฟ้าและที่นั่งที่ดูคล้ายกับโคมระย้าได้ลอยขึ้นอยู่ตรงกลางอากาศ
“ที่นั่งของคุณอยู่ตรงนั้นครับศาสตราจารย์”
วิวลิสพูดออกมาแล้วรีบจากไป
บ้าไปแล้วนี้มันสูงโคตร ๆ เลยนะ
ฉันเดินอย่างเบา ๆ ไปที่สิ่งที่มีดูมีลักษณะเหมือนกับบันไดเลื่อนและนั่งลงไปบนที่นั่งนั้น
หลังจากที่นั่งลงไปประมาณห้านาทีศาสตราจารย์ทั้งหมดก็ได้นั่งลงจนครบทุกคน
ฟิ้ว!
“ถึงเวลาแล้วสมควร ทุกคนเงียบ!”
ในตอนที่ฉันมองลงไปนักเวทย์อาวุโสคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลางได้ดึงดูดความสนใจของฉันไป
เสียงของเขานั้นทรงพลังมากมากจนมันสะท้อนไปมาผ่านหอประชุมนี้ถึงแม้จะเขาจะพูดแบบเบา ๆ ก็ตาม
“ถึงเวลาที่เหล่าเด็กใหม่ในปีนี้ทุกคนจะได้เริ่มการหมุนเวียนของตนเองแล้ว”
หลังจากที่เสียงปรบมือดังขึ้นพักหนึ่งแล้วหยุดลง
นักเรียนที่อยู่ในชุดคลุมสีเขียวก็ได้เริ่มเดินลงไปจากบันไดวนที่ละคนที่ละคน
ในตอนนี้เองที่ฉันได้เข้าใจว่าการหมุนเวียนมันคืออะไรกันแน่
มันก็แค่เหมือนกับการตรวจร่างกายเพื่อหาปริมาณของพลังงานที่มีอยู่ของยอดมนุษย์คนนั้น ๆ บนโลก การหมุนเวียนเป็นทางที่ใช้ในการวัดมานาที่มีอยู่ของนักเวทย์ในโลกนี้
และเหมือนกับฮันเตอร์ที่มีการทดสอบร่างกายในการสอบเข้าในแต่ละที่และในตอนพีธีจบการศึกษาระหว่างช่วงมัธยม
มานาของนักเวทย์นั้นก็สามารถวัดได้โดยทั่วไปเช่นกันด้วยการใช้ลูกแก้วคริสตัลสีฟ้าตรงหน้าฉันนี่แหละ
“ชั้นปีที่ 1 ภาควิชา ทฤษฎีเวทมนตร์ ซานเดไรท์ มีมานา 31”
ว้าวว…
เสียงที่แสดงถึงความประหลาดใจระเบิดออกมาจากนักเรียนโดยรอบ
แสงสว่างที่เปล่งจากลูกแก้วคริสตัลดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องทั่วไปสำหรับฉันแต่เห็นได้อย่างชัดเลยว่ามานานั้นค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
เพราะตั้งแต่ที่ผ่านมาเมื่อกี้นักเรียนคนอื่น ๆ ได้วางมือของพวกเขาลงไปบนลูกแก้วคริสตัลได้จำนวนเฉลี่ยที่อยู่ในช่วงระหว่าง 10 ถึง 20 เท่านั้นเอง
ทันใดนั้นรอบข้างก็ได้เริ่มที่จะกระซิบกระซาบกันอย่างเงียบท่ามกลางพวกเขาเอง
“ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี้แล้วสินะ”
“นั้นใช่ลูกของเมซลอนใช่รึป่าวหนะ?”
“มันน่าจะเป็นแบบนี้นะ”
เด็กชายที่มีหน้าตาที่คมเข้มได้เดินขึ้นไปและวางมือของเขาลงบนลูกแก้วคริสตัลนั้น
“ชั้นปีที่ 1 ภาควิชา เวทมนตร์การต่อสู้ เมซลอน เวอร์ริธ มีมานา 46”
ความสบสันวุ่นวายก็ได้ระเบิดออกมาทันที
“โอ้มาย…นี่ไม่ใช่ว่ามันพอที่จะเป็นการหมุนเวียนในขั้นที่ 3 เรียบร้อยแล้วงั้นงั้นหรอ?”
“เหลือเชื่อจริง ๆ”
เมซลอนคนนี้น่าจะเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเขาก็ยังไม่ใช่ตัวเอก
นี้เป็นเพราะว่าไม่มีแฮชแท็กปรากฏขึ้นมาเหนือหัวของเขา
หลังจากที่นักเรียนผ่านไปอีกราว ๆ สามสิบคน ผู้ต้องสงสัยคนที่สองก็ได้ปรากฏตัวออกมา
นักเรียนคนนี้คือกูริม
บางสิ่งที่อยู่บนใบหน้าของเขาทำให้เขาดูเป็นคนเจ้าเล่ห์และโหดร้าย
“ชั้นปีที่ 1 ภาควิชา เวทมนตร์การต่อสู้ กูริม แฮนบูล มีมานา 49”
แล้วก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่หอประชุมนี้เต็มไปด้วยเสียงดังระงม
“หะ…หลาย ๆ ปีที่ผ่านมานี้มันหาได้ยากมากเลยนะที่จะเห็นนักเรียนสักคนหนึ่งมีมานาเกินกว่า 30 ที่ได้รับการลงทะเบียน นี้มันเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนชุดนี้กันแน่เนี่ย…!”
แม้จะมันจะทำให้เกิดการพูดคุยกันขึ้นในหมู่ศาสตราจารย์ด้วยกันเองแต่กูริมก็ยังคงไม่ใช่ตัวเอกอยู่ดี
แล้วนักเรียนอีกหนึ่งร้อยคนก็ได้ขึ้นมาและออกไปอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดผู้ต้องสงสัยคนสุดท้ายก็ได้ปรากฏตัวออกมา
คน ๆ นี้มาพร้อมกับผมตรงยาวสีดำ และเธอเป็นหญิงชาวที่มีใบหน้าดูมีชีวิตชีวา เธอได้วางมือของเธอลงไปบนลูกแก้วคริสตัล
[ตัวละครรอง อาราเซลลี ได้ใช้สกิล การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีลำดับที่ 2 (C)]
มันคืออะไรนะ?
ตัวละครรองหรอ?
ในจังหวะที่คำถามมากมายได้พุดขึ้นมาในหัวของฉัน
“ชั้นปีที่ 1 ภาควิชา เวทมนตร์การต่อสู้ อาราเซลลี ไลน์แคร มีมานา 52”
ส่งผลให้เกิดความปั่นปวนขึ้นซึ่งมันไม่สามารถเทียบได้เลยกับก่อนหน้านี้ ได้ดังระงมไปทั่วทั้งหอประชุมแห่งนี้
แม้แต่ตัวของพวกศาสตราจารย์เองก็ดูเหมือนว่าจะประหลาดใจและถึงกับพูดไม่ออกเช่นกัน
“จริงรึเนี่ย…ข่าวลือที่ว่าเป็น ‘อัจฉริยะในรอบหนึ่งพันปี’ ก็ไม่ได้โกหกสินะ”
“มีข่าวลืออื่นด้วยนะว่าเธอได้รับการสืบทอดทางสายเลือดมากจากมหาจอมเวทย์ลินแคร”
“แต่ที่เธออายุเพียงแค่ 17 ปี แล้วมีมานา 52 นี้ก็ขัดกับหลักสามัญสำนึกมากพอแล้วนะร่างกายของเธอไม่น่าจะทนรองรับมานาพวกนั้นไหวด้วยซ้ำ เธอไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย?”
เหมือนที่คาดไว้เลย แม้ว่าอาราเซลลีเป็นนักเรียนระดับในระดับหัวกะทิที่มีมานาสูงที่สุดแต่โชคไม่ดีเลยเธอก็ยังไม่ใช่ตัวเอกที่ฉันตามหาอีกเช่นกัน
‘…เมื่อกี้นี้อะไรนะ?’
ไม่รู้ว่าเธอสัมผัสถึงความกระวนกระวายใจของฉันได้หรือยังไงกันอาราเซลลียึดไหล่ของเธอขึ้นเหมือนกับว่าได้รับชัยชนะ
ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นประเภทของคนที่ความภาคภูมิใจในตนเองน่าดูเลยนะ
แต่ฉันไม่สนใจหรอก
ฉันสนแค่ตัวเอกเท่านั้น
แล้วในตอนนั้นเอง
ทั้งหมดทั้งมวลของหอประชุมก็เกิดเสียงดังขึ้นในทันใด
เด็กชายที่สกปรกได้เดินเข้าไปใกล้ลูกแก้วคริสตัล
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นสามัญชนที่น่าสงสารเสียจริง ที่ได้เป็นคนต่อไปหลังจากอาราเซลลี”
“เหอะ เขามีมานาด้วยรึป่าวเถอะ?”
“ฉันไม่เชื่อเลยนะเนี่ยว่าจะมีคนเช่นนี้เข้ามาในโรงเรียน”
ฉันสามารถที่จะได้ยินเสียงกระซิบเหล่านั้นของนักเรียนแต่ส่วนใหญ่ฉันก็ไม่ได้สนใจมันสักเท่าไหร
เพราะว่าฉันเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยหละในตอนนี้ มันมีแฮชแท็กลอยขึ้นมาอยู่เหนือหัวของเด็กชายคนนั้น
นักเรียน_ที่_กลายมา_เป็น_นักเวทย์_อัจฉริยะ
แฟนตาซี ย้อนอดีต
แนวโรงเรียน ฮาเรม
ชื่อของเขาก็ไม่ใช่อะไรนอกไปจาก ฟิโอเลน
ตัวเอกของโลกใบนี้
‘เขาเป็นตัวเอกงั้นหรอ?’
“ฟิโอเลนโปรดวางมือลงบนลูกแก้วคริสตัลด้วยไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะมองมันหรือไม่ก็ตาม”
แล้วในตอนนั้นเองที่แสงสีฟ้าได้เปล่งประกายออกมามากมายจนไม่คู่ควรแม้แต่จะนำไปเทียบกับคนก่อน ๆ เลย
[ตัวเอก ฟิโอเลน ได้ใช้สกิล การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีลำดับที่ 40 (SS)]
ข้อความลึกลับได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของฉัน
ตอนนั้นนั่นเอง ศาสตราจารย์ที่รับหน้าที่ดูแลลูกแก้วคริสตัลได้แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงสุดขีด
“ชั้นปีที่ 1 ภาควิชา เวทมนตร์การต่อสู้ ฟิโอเลน มีมานา…”
ศาสตรจารย์มองไปที่ตัวเลขอีกครั้งเพราะกลัวว่าเขาจะมองมันผิดไป
แต่ลูกแก้วคริสตัลนั้นแม่นยำเสมอมา
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือตัวเลขที่น่าเหลือเชื่อนี้มันเป็นเรื่องจริง
“…โอ้วไมจริงน่า 70…”
หอประชุมแห่งนี้ได้กลับกลายมาเป็นเงียบสงบลงอย่างไม่เป็นธรรมชาติแทน
อาราเซลลียังคงอยู่ในอาการตกตะลึงในขณะที่อาจารย์ใหญ่ได้พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
ฟิโอเลนยิ้มออกมา
นี้มันดูเหมือนกับสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับฉันเลยเพราะว่าฉันได้อาศัยอยู่ในสนามรบมานานกว่า 10 ปีแล้ว
ไอ้รอยยิ้มที่น่ารังเกียจของไอ้พวกคนที่ได้ขโมยบางอย่างมาจากคนอื่น
……………………………………………………..
<ฟิโอเล่นได้ย้อนเวลากลับมาจากช่วงเวลา 20 ข้างหน้าในอนาคต>
<สกิล การหมุนเวียนมานาของอาราเซลลีลำดับที่ 40 (SS) ที่พึ่งจะถูกใช้ไปเมื่อกี้นี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยจอมเวทย์อาราเซลลีในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าหลังจากที่ได้ผ่านการลองผิดลองถูกมามากมายนับไม่ถ้วน>
มันเป็นการพัฒนาการที่คาดเดาได้
อาราเซลลี ไลน์แคร
อัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากคนที่ได้ถูกกล่าวขวัญว่ามีความสามารถทางเวทมนตร์ก้าวล้ำพื้นฐานทางเวทมนตร์ของโลกใบนี้ไปหลายร้อยปี ในอีก 20 ข้างหน้านับจากตอนนี้
เธอดูเหมือนกับว่าจะเป็นคนที่ได้รับพรโดยโลกใบนี้แต่เธอกลับได้ใช่ตัวเอกนะสิ
เป็นแค่ตัวละครรองที่มีหน้าที่สนับสนุนตัวเอกเท่านั้นเอง
ยี่สิบปีหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จอะไรก็ตามที่อาราเซลลีจะได้รับในตอนนี้มันได้จากไปแล้ว
ตัวของอาราเซลลีเองคงไม่คิดหรอกว่าจะมีสิ่งไหนบ้างที่เธอจะประสบความสำเร็จในอนาคต แต่ตัวฟิโอเลนที่ย้อนเวลากลับมารู้ทุกสิ่งทุกอย่างนะสิ
และฉันเองก็รู้เหมือนกัน
<นักล่าตัวเอก เลเวล 2 ได้รับการเปิดใช้งานเนื่องจากเกิดเปลี่ยนแปลงในพล็อตเรื่องของโลกไปนี้>
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งก่อน อาราเซลลีได้อันดับแรกในการทดสอบเบื้องต้นนี้
แต่ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งที่ 2 ฟิโอเลนได้เอาชนะอาราเซลลีและแย่งที่หนึ่งมาแทน
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งก่อน อาราเซลลีได้จุดประกายแนวคิดในเรื่องของ ‘เครื่องมือจักรกลแปลก ๆ ’ ในตอนที่ยังเป็นนักเรียนอยู่
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งที่ 2 ฟิโอเลนก็ได้ประดิษฐ์เครื่องมือจักรกลแปลกนี้ขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งก่อน อาราเซลลี่ได้ถูกรับเลือกให้เข้าแข่งขันในกีฬาเวทมนตร์ ‘ซอกเกอร์อากาศ’
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งที่ 2 ฟิโอเลนได้รับตำแหน่งของอาราเซลลีมาแทนเนื่องจากการอาการบาดเจ็บของเธอ
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งก่อน อาราเซลลีมีสูตรเวทย์ระดับมหาวิทยาลัยมากมายและได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากเหล่าศาสตราจารย์ทั้งหลาย
ในช่วงไทม์ไลน์ครั้งที่ 2 ฟิโอเลนได้ปราบปรามอาราเซลลีอย่างสุดขั้วโดยการขโมยสูตรทั้งหมดของเธอมา
สิ่งที่น่าตลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือสูตรเวทมนตร์ที่ฟิโอเลนใช้ในการทำให้ตัวเองเหนือกว่าอาราเซลลีในครั้งนี้
<สูตรที่ได้รับการใช้งานโดยตัวเอก ฟิโอเลนในตอนนี้จะได้รับการสร้างขึ้นในโดยอาราเซลลีในอีกสามปีนับจากนี้>
พูดได้อีกอย่างก็คือ ฟิโอเลนกำลังขโมยความสำเร็จทั้งหมดมาจากอาราเซลลีในอนาคตโดยการกลับมาในอดีตและเป็นการทำลายเธอโดยตรง
เขาเป็นประเภทของคนที่ชั่วร้ายที่แม้ว่าจะเป็นตัวฉันเองคนที่ชอบเอาข้าวของของคนอื่นไปยังไม่สามารถทนรับมันได้
และมันไม่ใช่แค่กับอาราเซลลี
“ฮิยาน เวทมนตร์น้ำแข็งนั้นเหมาะกับเธอมากกว่าเวทมนตร์ไฟซะอีกนะ”
“ม-ไม่มีทางน่า! ครอบครัวของฉันได้เรียนรู้เวทมนตร์ไฟส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว”
“เชื่อฉันสิ ถ้าเธอต้องการที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองอะนะ”
ตั้งแต่ที่มันเป็นสถาบันที่เหล่าขุนนางจำนวนมากได้มารวมตัวกัน ทำให้มีสาวสวยมากมายได้มารวมกันที่นี้ และฟิโอเลนได้พูดคุยกับเด็กสาวที่น่ารักทุก ๆ คนในสถาบันแห่งนี้
“เอ้ย ฟิโอเลน! นี่นายรู้ได้ยังไงกันเนี่ยว่าฉันชอยลาเต้คาเฟ…มันทำให้ฉันนึกถึงที่บ้านขึ้นมาเลย”
“ขอบคุณนะฟิโอเลน! ฉันทำตามคำแนะนำของนายแล้วและมันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วยสิ”
“อ้า ฟิโอเลน นายรู้ด้วยหรือว่าที่นี้เป็นสถานที่ที่ฉันชอบ? ฉันดีใจนะที่ฉันมาที่นี้ด้วยตัวฉันเอง”
…ทุกบทสนทนาทั่ว ๆ ไปนั้นเต็มไปด้วยความเป็นหนุ่มเป็นสาว
วิธีการที่เขาใช้ในการพูดคุยก็พิเศษเป็นอย่างมากเหมือนกับว่าเขากลัวว่ามันจะดูเหมือนกับพวกผู้ดี
การมองเห็นภาพเช่นนี้ คุณคงจะคิดว่าเชคสเปียร์ได้กลับมาเกิดใหม่เป็นแน่
ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนเศษ ๆ ที่ฟิโอเลนได้สร้างอาณาจักรฮาเรมของเขาขึ้นในขณะที่อาราเซลลีได้ค่อย ๆ ถูกทำลายลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กสาวคนนี้คนที่เคยมีความมั่นใจในตัวเองเมื่อหนึ่งเดือนก่อนในตอนนี้ได้ห่อไหล่ของเธอลงในตอนที่ถูกผู้คนพูดถึง
มันออกจะน่าสงสารเล็กน้อยนะแต่มันไม่ใช่อะไรที่ฉันจะสามารถแก้ไขได้
ฉันคิดว่ามันจะถูกแก้โดยธรรมชาติด้วยตัวมันเองในตอนที่ฉันประสบความสำเร็จในการล่าฟิโอเลนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ในตอนที่ฉันยังคงอยู่ในช่วงเตรียมการสำหรับการล่าฟิโอเลนอยู่นั้นเอง ฉันได้ลองพยายามที่จะเรียนรู้เวทมนตร์บางอย่าง
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
เวทมนตร์ต้องการอย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจในระดับวิทยาลัยและอย่างแรกเลยคือพื้นฐานการศึกษาของฉันที่ผ่านมาในอดีตที่บนโลกนั้นฉันไม่แม้กระทั้งจะจบมัธยมต้นเลยด้วยซ้ำ
แต่ในโลกใบนี้และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิทยาลัยเวทมนตร์แบบนี้มันก็ยังเป็นไปได้ที่จะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ และเรียนเวทมนตร์
เวทมนตร์
มันยากเป็นอย่างมาก ทั้งลึกลับ และน่าอัศจรรย์ใจกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก
มีความคิดบางอย่างเข้ามาในหัวของฉัน
มีวิทยาศาสตร์และพลังพิเศษบนโลกแต่กลับไม่มีเวทมนตร์
มีเวทมนตร์ที่นี้แต่กลับไม่มีวิทยาศาสตร์หรือพลังพิเศษซะงั้น
แล้วถ้าฉันรวมสองอย่างเข้าด้วยกันหละ
มันจะเกิดอะไรขึ้น?
“ศาสตราจารย์ยู ได้โปรดบรรยายต่อด้วยครับ”
ในตอนที่ฉันกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เสียงของใครบางคนก็ได้ดังขึ้นมาดึงฉันออกไป
ใช่แล้ว ฉันกำลังบรรยายเวทมนตร์การต่อสู้สำหรับนักเรียนชั้นปีที่ 1 อยู่
แต่ตัวฉันเองกลับไม่รู้เวทมนตร์อะไรเลย โชคยังดีที่ผู้ช่วยของฉันวิวลิสได้ดูแลทุกสิ่งทุกอย่างแล้วดังนั้นฉันจึงไม่ต้องทำอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม
“ศาสตราจารย์! แสดงให้พวกเราดูอีกครั้งสิครับ ‘การยิงเวทย์เข้มข้นสูง’ ที่คุณแสดงให้พวกเราดูในครั้งที่แล้วนะครับ”
“นะครับ/น้าค่ะ”
เหล่านักเรียนพวกนี้ถามฉันด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
การยิงเวทย์เข้มข้นสูง
ในความเป็นจริงแล้วมันก็แค่ฉันยิงปืนพกของฉันเองและมันไม่ใช่เวทมนตร์อะไรเลย
ฉันเอาปืนพกออกมาจากเอวของฉันและใส่ที่เก็บเสียงแล้วยิงไปสามนัดต่อเนื่องกันขึ้นไปบนฟ้าแล้วในตอนนั้นเองที่นกกระจอกสามตัวได้ตกลงมาจากท้องฟ้าลงมาบนพื้น
“ว้าวว…สุดยอดไปเลย คุณยิงมันด้วยระยะที่ไกลขนาดนั้นได้ยังไงกันครับศาสตราจารย์?”
“มันเป็นเวทมนตร์ที่ถูกใช้โดยที่ไม่ต้องมีบทร่ายนะ”
“ผมอยากที่จะเรียนมันจริง ๆ เลยครับ”
เพื่อนตัวน้อยเอ้ย ฉันขอโทดนะ
แต่ทั้งหมดมันเป็นแค่เรื่องโกหกเท่านั้นเอง
และก็ไม่ได้มีเพียงแค่เหล่านักเรียนเท่านั้นนะที่ตกหลุมรักในเวทมนตร์ของฉัน
เมื่อตอนที่ฉันได้แสดงทริกการใช้อุปกรณ์อีเทอร์ของฉันเล็กน้อย เหล่าศาสตราจารย์ก็ได้พุ่งเข้ามาที่คลาสของฉันด้วยความหวังที่ว่าจะได้สังเกตการณ์
ราว ๆ หนึ่งเดือนให้หลังจากตอนนั้นเลยกลายเป็นว่าศาสตราจารย์ทุก ๆ คนคนที่ไม่ได้มีคลาสสอนและมีเวลาว่างก็จะมาดูการสอนนอกสถานที่ของฉัน
ดังนั้นแล้วมันเลยทำให้มีจำนวนของศาสตราจารย์มากกว่าจำนวนของนักเรียนในคลาสของฉันซะอีก
นี่ไม่ใช่ว่าศาสตราจารย์พวกนี้มองแผนการหลอกลวงอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนนี้ของฉันออกแล้วนะ?
ฉันเริ่มกังวลว่ามันจะเป็นแบบนั้นซะแล้วสิ
“เวทมนตร์ของศาสตราจารย์นั้นสุดยอดจริง ๆ เลยครับ”
“ยอดเยี่ยมไปเลยนะครับ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันไม่รู้สึกถึงการอัดฉีดมานาเข้าไปเลย…”
“เราต้องเรียนเวทมนต์ประเภทไหนกันน้าถึงจะทำแบบนี้ได้กัน?”
“เหมือนที่คาดไว้เลย ว่าการเรียนรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ ฉันต้องการที่จะอ่านวิทยานิพนธ์ของศาสตราจารย์ยูขึ้นมาเลยหละ”
‘ไม่นะครับ ศาสตราจารย์ ได้โปรดอย่าทำแบบนั้นกับฉันเลย’