ในช่วงเวลาที่ฉันได้อยู่ที่สถาบันเวทมนตร์วิเวียนด้าสำหรับหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ฉันได้เรียนรู้ความจริงที่น่ามหัศจรรย์มาหนึ่งสิ่งว่า

ข้าวที่นี้นั้นโคตรอร่อยเลยหละ

มื้อเที่ยงวันนี้ฉันซัดไปสามจานหลังจากที่พึงจะมาถึงโรงอาหารวิเวียนด้าไม่นาน

ฉันมองไปที่เหล่าขุนนางที่กำลังกลืนอาหารในจานของพวกเขาลงไปอย่างยากลำบาก

หากเปรียบเทียบตัวฉันกับคนอื่น ๆ บนโลกใบนี้แล้วหละก็ ฉันคงเป็นคนที่มีสัมผัสการรับรสที่เหมือนคนปกติทั่ว ๆ ไปในขณะที่เหล่าขุนนางทั้งหลายพบว่าอาหารที่นี่นั้นไม่น่าพึงพอใจเอาซะเลย

มันเป็นอกไก่เลี่ยน ๆ ,สเต็กที่มีความสุขระดับมีเดี่ยม และชีสเค้กที่เมื่อได้กินเข้าไปแล้วสติแทบจะหลุดลอยไปดาวอังคาร

โรงอาหารแห่งนี้นั้นให้บริการในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์และคุณสามารถที่จะเอาอาหารมาใส่จานคุณได้มากเท่าที่คุณต้องการแต่ไม่มีใครสักคนด้านข้างฉันที่ทำแบบนั้นดังนั้น

ปกติแล้วฉันจะใช้เวลาอยู่ที่นี้นานมากพวกเพื่อที่จะได้กินอาหารหลาย ๆ รอบแทนการตักทีเดียวพูนจาน

และวันนี้ก็เหมือนอย่างเคยในตอนที่ฉันได้เดินไปเติมจานที่เจ็ดของฉัน ฉันได้เห็นนักเรียนคนที่ได้มาถึงในตอนที่สายแล้วเพื่อที่จะกิน

อาราเซลลี ไลน์แคร

เธอเข้ามาที่โรงเรียนด้วยการเป็นนักเรียนระดับท็อป แต่โชคร้ายที่เธอต้องไปเผชิญหน้ากับฟิโอเลนคนที่ขัดขวางเธอไว้ในทุก ๆ ทาง และแม้กระทั้งในตอนนี้เหล่าศาสตราจารย์ทั้งหลายก็ได้หันหลังให้กับเธอแล้ว

เธอดูอ่อนแอเป็นอย่างมากและแม้แต่การเคลื่อนไหวของเธอก็ยังเชื่องช้าเพราะงั้นแล้วฉันเลยสงสัยว่านี้มันใช่เด็กคนเดียวกันกับเมื่อหนึ่งเดือนก่อนจริงรึป่าวเนี่ย

“เธอ ตอนนี้มันเลยเวลาแล้วนะ”

“อ้า…”

อาราเซลลีถอนหายใจออกมาเบา ๆ ให้กับคำพูดของเชฟแล้วหยิบจานของเธอออกไป

ยังไงก็ตาม เธอเป็นคนที่ฝ่าฝืนกฎของช่วงเวลาการรับประทานอาหารเองดังนั้นแล้วมันเลยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ

เธอผงกหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วหันหลังกลับ

‘เยี่ยม…’

ฉันไม่ต้องใส่ใจเธอ

แต่เพราะอะไรบางอย่างฉันกลับรู้สึกเสียใจกับเธอนิดหน่อยแหะ

เด็กน้อยที่เป็นเหยื่อของตัวเอก

“อาราเซลลี”

“…ค่ะ?”

เธอหันหัวของเธอกลับไปในตอนที่เธอได้ยินเสียงฉัน

แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อย

เป็นเพราะว่าภายใต้ดวงตาที่ซ่อนอยู่ของเธอมันยังคงมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ลุกโชนอยู่

เยี่ยม จะเป็นไปได้ยังไงกันหละที่คนเราจะกลายมาเป็นคนตายซากได้หลังจากผ่านมาแค่เดือนเดียว?

ถึงแม้ว่าจะได้สูญเสียความมั่นใจจำนวนมากไป แต่อาราเซลลีก็ยังคงเป็นอาราเซลลี

เป็นคนที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศคนที่จะกลายมาเป็นจอมเวทย์ในตำนาน

“บังเอิญว่าฉันเอาข้าวมาเยอะไปหน่อยนะ มากินนี้แทนไหม”

ฉันยืนจานของฉันไปให้เธอ

ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดไปจริง ๆ นะ

ฉันเอามาเกินกว่าสิบจานซะอีกถ้านับเจ็ดจานที่ฉันกินไปก่อนหน้านี้ด้วยนะ

“อ้า…”

ฉันไม่รู้ว่าอาหารพวกนี้จะถูกปากเธอหรือป่าวแต่นั้นก็ยังดีกว่าที่จะทนหิวหละนะ

ในจังหวะที่เธอกำลังลังเลว่าจะรับจานนี้ไปดีหรือไม่ ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า

“รายงานเรื่อง ‘หลักการวงจรที่หก’ ที่เธอเคยเขียนไว้มันก็ดีนะ แค่ขัดเกลาอีกนิดมันก็จะ ‘งดงาม’ เลยหละ”

มันรู้สึกตงิด ๆ นะกับสิ่งที่ฉันพึ่งไปพูดไป

นี่ฉันใช่คำว่า ‘งดงาม’ กับรายงานเนี้ยนะ?

ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าในความเป็นจริงฉันไม่ได้เข้าใจเลยสักนิดว่ามันเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับอะไรกันแน่

อย่างไรก็ตาม

<หลักการวงจรที่หกจะได้เสร็จสมบูรณ์โดยตัวละครรองอาราเซลลีในอีกสามเดือนนับจากนี้>

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงได้พูดออกไปแบบนั้น

“ข….อบคุณค่ะ”

“ใช่แล้วหละ เธอควรจะกินมันเยอะ ๆ และเรียนตั้งในเรียนให้มากขึ้นนะฉันไปก่อนหละ”

ฉันหันกลับไปและออกไปจากโรงอาหาร

ด้วยเหตุผลบางประการ ฉันกลับรู้สึกไม่ค่อยดีเอาซะเลย

……………………………………………………..

หัวข้อหลักที่ฉันได้สอนในคลาสของฉันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เวทมนตร์การต่อสู้ และแทนที่จะสอนไปในทางทฤษฎี ฉันเน้นการสาธิตแบบจริง ๆ ซะมากกว่า

ทำไมทำงั้นนะหรือ?

ก็เพราะว่าฉันไม่เข้าใจทฤษฎีไงหละ

และนักเรียนที่นี้ก็เป็นมนุษย์เช่นกันจากเหตุผลทั้งหมดแล้วพวกเขาจะต้องชอบการลงมือปฏิบัติจริงมากกว่าการอ่านหนังสืออยู่แล้วนะซิ

ด้วยเหตุผลนี้ ฉันเลยเป็นศาสตราจารย์ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมเลยหละ

ฉันสันนิฐานได้ว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมครูสอนพละถึงเป็นที่นิยมมากที่สุดในโรงระดับประถมยังไงหละ

“ศาสตราจารย์! ในที่สุด เวลบัน ก็ยิงมานาได้แล้วครับ!”

‘บ้าน่า’

ในบางครั้งก็มีนักเรียนบางคนที่สร้างความประหลาดใจให้กับฉันหลังจากคาบการบรรยายของตัวฉันเองเพราะว่าพวกเขาได้ใช้เวทมนตร์ที่ดูเหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดจากการรวมของวิทยาศาสตร์

มันเหมือนกับที่ว่า ทำไมกล้องอีเทอร์ที่ใช้เก็บอุปกรณ์ของฉันที่ทำมาจากวิทยาศาสตร์แต่กลับดูเหมือนว่ามันเป็นของที่เกิดจากการรวมกันของเวทมนตร์แทน

แต่มันจะโอเคแน่หรือที่จะเผยแพร่วิทยาศาสตร์ในโลกของเวทมนตร์แบบนี้หนะ?

<มันจะไม่มีทางที่จะไม่มีปัญหาแน่นอนแต่มันก็ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความเสียหายที่ตัวเอกทำให้กับโลกใบนี้แน่นอน>

มันน่าโล่งในที่ได้ยินเป็นแบบนั้น

งั้นแล้วฉันเลยกำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะขโมยเวทมนตร์ไปจากที่นี่ได้และปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าหากฉันถูกจับได้

ยังไงซะฉันก็ไม่ได้จะกลับมาที่นี่อยู่แล้ว

ฉันค่อย ๆ หันกลับไปมองที่นักเรียนสี่คนที่กำลังฝึกฝนเวทมนตร์ที่ด้านข้างอย่างช้า ๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาหรือความบังเอิญที่อาราเซลลี,กูริม,เมซลอน และฟิโอเลนได้มาลงเรียนในคลาสของฉันกับทุกคนเลย

ดังนั้นแล้วในตอนที่ทำการบรรยายในคลาสมันเลยทำให้ฉันเครียดขึ้นมาเลยหละ

เพราะว่าฉันกำลังพยายามที่จะคาดเดาความสามารถในการต่อสู้ของฟิโอเลนออกมานะสิ

‘มันเป็นไม่ได้เลยที่จะยิงเขา’

ในตอนนี้มันมีวงจรเวทมนตร์ขึ้นที่ 4 บนหัวใจของฟิโอลอนไปเรียบร้อยแล้ว

ขั้นที่ 4 และวงจรเวทมนตร์ที่สูงกว่านี้จะถูกเรียกว่า ‘การร่ายเวทย์’ และสามารถที่จะเปิดการใช้งานได้ในทันที

ถ้าอ้างอิงกับคำพูดในยุคปัจจุบันหละก็ มันคงต้องพูดว่าเขาได้ ‘โหลด’ เวทมนตร์ไว้แล้ว

นักเวทย์ส่วนมากมีแนวโน้มที่จะร่ายเวทย์ป้องกันที่สามารถที่จะร่ายออกมาได้ในทันทีเมื่อได้รับการโจมตี

ตั้งแต่ที่ฉันไม่ได้มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องจากเจาะทะลุการป้องกันด้วยปืนของฉัน ฉันเลยยังไม่ได้ไปยุ่งวุ่นวายกับเขาตั้งแต่เริ่มแรก

เพราะถ้าฉันล้มเหลวในการที่จะฆ่าเขาแล้วหละก็ ฉันจะต้องเผชิญหน้ากับจอมเวทย์เลเวล 70 แบบตรงไปตรงมา

และที่มากไปกว่านั้นคือถ้าฉันไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาได้ ฟิโอเลนที่เป็นลูกรักของพวกศาสตราจารย์ทั้งหลายและเป็นพ่อเทพบุตรในสายตาของเหล่าเด็กสาวในโรงเรียนซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉันจะรับมือกับคนทั้งหมดนั้นด้วยตัวฉันเองได้

กลับมาคิดอีกที ฟิโอเลนในตอนนี้ก็ยังคงอยู่ท่ามกลางเด็กสาวเช่นกัน

“ไม่ใช่แบบนั้น การใช้วงจรเวทย์เกลียวตัดต้องทำแบบนี้”

“ตายแล้ว…”

ในตอนที่ฟิโอเลนจับไปที่แขนของเด็กนักเรียนหญิงและแกล้งทำเป็นสงบนิ่งในขณะที่ให้มานากับเธอ แก้มของเธอได้แดงขึ้น

นี้พวกเธอชอบผู้ชายแบบนี้จริง ๆ ดิ?

ฉันไม่สามารถมันเข้าใจได้เลยแต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะว่ามันเป็นพล็อตซ้ำซากเรื่องของตัวเอกอะนะ

ฉันกำลังจินตนาการไปว่าเด็กสาวพวกนั้นจะฆ่าฉันยังไงถ้าพวกเธอกลายมาเป็นศัตรู

ฟิโอเลนเป็นพวกคนประเภทที่ชอบโชว์ออฟดังนั้นถ้ามีนั้นเรียนคนใดที่มีปัญหาแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามเขาจะวิ่งตรงไปหาคนพวกนั้นและสอนพวกเขาโดยการใช้ความรู้จากในอนาคต

ในความเป็นจริงมันก็ไม่ผิดที่จะพูดว่านี้มันไม่ใช่คลาสของฉันแต่เป็นคลาสของฟิโอเลน

แน่นอนว่า ไอ้เจ้าฟิโอเลนนี้มันสอนแต่เด็กสาวเท่านั้นแหละ

และต้องเป็นเด็กสาวที่สวยด้วยนะ

ด้วยความที่ตัวเขาเป็นอัจฉริยะ

ที่มีอายุ 17 ปี เขาได้จัดการกับเวทมนตร์ที่แม้แต่ศาสตราจารย์ก็ยังคิดว่ามันยาก

โดยการผสมผสานความรู้จากอนาคต เขาใช้เวทมนตร์ได้ราวกับว่าเขาสร้างมันขึ้นมาเองในทันที

ฟิโอเลนมีความเก่งกาจในเวทมนตร์และมันเป็นธรรมชาติที่ในตอนนี้เขาจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับอาราเซลลี

เสียงอุทานดังออกมาเมื่ออาราเซลลียิงลูกศรสีขาวจากปลายนิ้วของเธอไปด้วนหน้าของเธอในระยะ 50 เมตร

นี้เป็นเพราะว่าเธอได้เล็งมันอย่างรวดเร็วและยังยิงไปแม่นยำอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในทันใดนั้นเองฟิโอเลนก็ได้สร้างลูกศรที่มีขนาดใหญ่กว่าขึ้นมาสามอันและยิงไปเป้าหมายที่ละนัด

เพราะแบบนี้เองเลยทำให้ความสนใจเปลี่ยนกลับมาที่เขาอีกครั้งหนึ่ง

“ฉันคิดว่าฟิโอเลนเก่งกว่าอีกนะเนี่ย”

“ลูกศรของเขาทรงพลังมากกว่าฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะยิงมันออกมาได้สามนัดภายในครั้งเดียว”

การแสดงออกทางสีหน้าของอาราเซลลีกลายเป็นคล้ำลงอย่างเป็นธรรมชาติ

โดยปกติแล้วฉันจะไม่เข้าไปยุ่งแต่ครั้งนี้ฉันได้ก้าวออกไปข้างหน้า

สงสารเธองั้นหรอ?

หรือว่าจะเขาข้างเขา?

ไม่มีทางซะหละ

เกมส์ของการสังเกตการอันยาวนานได้จบลงแล้ว

นับจากตอนนี้ฉันตั้งใจที่จะ ‘สร้างเส้นทาง’ เพื่อที่จะล่าแล้ว

อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ

ภาพลักษณ์และความมั่นใจของฟิโอลอนในสายตาของคนอื่น ๆ จะต้องถูกทำลายลงไปซะ

“ฟิโอลอน ในการสนามรบนะนายต้องการที่จะใช้มานาอย่างสูญปล่าวขนาดนั้นเลยหรอ?”

“อะไรนะครับ”

ดวงตาของฟิโอลอนเบิกกว้างเพราะว่าเขาไม่ได้คาดคิดไว้ว่าฉันจะเล็งเป้าไปที่เขา

แล้วการแสดงออกของเขาก็กลับมาสงบนิ่ง

สำหรับหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาได้ระวังตัวจากฉันตลอดเวลา มันน่าจะเป็นเพราะว่าในความทรงจำของเขาก่อนที่จะได้ย้อนเวลากลับมามันไม่มีฉันอยู่ที่นี้

ตั้งแต่ที่เข้าย้อนกลับมาจาก 20 ปีข้างหน้าในอนาคตเขาไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะจำศาสตราจารย์ทุก ๆ คนดังนั้นเขาเลยคิดว่าฉันน่าจะเป็นศาสตราจารย์คนที่ไม่ได้แสดงตัวตนออกมา

“นายใช้มานาไปมากกว่าสิบเท่าของที่ควรจะใช้เพื่อจัดการกับเป้าหมายเดียวเท่านั้น ถ้ามันไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดพลังของของตัวนายเองแล้วมันเพื่ออะไรหืม? นี่นายกำลังจะไปอวดเวทมนตร์ของนายต่อหน้าศัตรูในสนามรบจริง ๆ งั้นหรอ?”

“ผมแค่ฝึกฝนเพื่อที่จะใช้มันปราบศัตรูที่ผมได้พบอย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่ามันเป็นเพียงมีแค่เป้าหมายเดียว ผมก็จะฝึกมันเหมือนกับว่ามันเป็นสิบเป้าหมายครับ”

“มีประสิทธิภาพ? นี่นายคิดจริง ๆ หรือว่าเวทมนตร์ของนายมีประสิทธิภาพ?”

ฉันได้ชี้ไปที่เป้าอย่างช้า ๆ

“ใช่พลังทำลายของมันแข็งแกร่งมาก แต่ว่ามันใช้เวลากี่วินาทีในการที่จะร่ายเวทมนตร์นั้นออกมาหละ?”

“…มันใช้ไปหกวินาที”

มันเร็วพอแล้วหละ

แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติมันยังไม่พอ

“หกวินาทีนี้มากพอที่จะให้ผู้ใหญ่ที่ร่างกายแข็งแรงสักคนสมารถเข้าถึงตัวนายได้จากในระยะ 50 เมตร แล้วถ้ามันเป็นจอมเวทย์หรืออัศวินหละ? หัวของนายจะยังอยู่ติดกับตัวอีกไหม?”

“นี่มัน…”

“ดูไปที่อาราเซลลี จาการร่ายเวทย์ที่โจมตีไปบนเป้าหมายมันใช้เวลาน้อยกว่าสองวินาทีซะอีก”

ผู้ช่วยวิวลิสจากทางด้านข้างพูดเสริมขึ้นมาว่า

“อาราเซลลีมีประสิทธิภาพมากกว่าไม่ใช่แค่ในเรื่องของความแม่นยำเท่านั้นแต่ยังมีประสิทธิภาพในเรื่องของปริมาณการใช้มานาด้วยเช่นกัน”

ฉันไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรหมือนกันแต่มันก็น่าจะจริงนะ

“การสู้รบไม่ใช่การแสดง ไม่ต้องคิดว่าศัตรูจะคอยยืนยิ้มต้องรับรอพวกเธอแสดงเวทมนตร์ที่ตื้นขืนพวกนี้”

ทุก ๆ คนรอบฉันเริ่มที่จะเห็นด้วยความความคิดเห็นของฉัน

“ตามจริง ฉันเริ่มที่จะรู้สึกอายเล็กน้อยแล้วละสิที่ฉันดันคิดไปว่าเวทมนตร์ของฟิโอเลนดีกว่า”

“นายพูดถูกเลย การต่อสู้…เยี่ยม มันไม่เหมือนการนั่งในห้องเล็ก ๆ อ่านหนังสือและเขียนทฤษฎีเวทมนตร์”

ยังไงซะฉันก็มีภาพลักษณ์ของนักเวทย์สายต่อสู้ที่โดดเด่นอยู่แล้วไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตามดังนั้นฉันจะใช้มันให้เป็นประโยชน์

แม้ว่ามันจะเป็นภาพลักษณ์ที่จอมปลอมก็ตาม

เหล่าศาสตราจารย์ส่วนมากที่อยู่ที่นี้ไม่ได้มีประสบการณ์ต่อสู้จริงเลยต้องของขอบคุณที่เป็นอย่างนั้นความคิดที่ฉันได้แสดงออกไปเลยดูเหมือนว่ามันน่าจะเป็นไปได้

จริง ๆ แล้ว ฉันไม่ได้รู้จริง ๆ เกี่ยวกับเวทมนตร์เป็นอย่างดีหรอกแต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดไปจากที่ฉันพูดนิ

ในขณะที่การแสดงออกของอาราเซลลีค่อย ๆ กลับมาสดใสขึ้นกลับกันการแสดงออกของฟิโอเลนกลับเริ่มที่จะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ไอ้ห่านี้ แกน่าจะมีอายุมากกว่าฉันอย่างน้อยก็ 8 ปีนะ แต่แกกลับไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้เลยหรือไง?

นี้แกไม่สามารถที่จะรับความพ่ายแพ้ได้เลยใช่ไหมเนี่ย?

“…ศาสตราจารย์ คุณพิสูจน์ได้ไหมว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง?”

ฉันรู้เลย

เขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับความภาคภูมิใจของเขาเองที่ถูกทำให้มัวหมองและกับชื่อเสียงของเขาในสวนฮาเรมของเขาเอง

“ใช่สิ ฉันต่อสู้บนสนามรบมานานตั้ง 15 ปีเชียวนะ”

“ประสบการณ์มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือที่คุณพูดนะมันถูกหรือป่าว”

ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ฉันคงกำลังคิดกันว่า ‘โอ้วไม่นะ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะพูดแบบนั้นออกไปกับคนที่เป็นศาสตราจารย์เลยนะ’

การตอบสนองนี้ของทุกคนเกิดขึ้นในทันทีแต่ตัวเอกคงจะไม่มีเวลามาตอบสนองกับมันเพราะว่าฉันกำลังจะเพิ่ม ‘แครอท’ เข้าไปเป็นเหยื่อล่อเพิ่ม

“ในเมื่อฉันเป็นศาสตราจารย์มันดูจะไม่เป็นมืออาชีพสำหรับฉันที่จะดวลกับนายด้วยตัวเอง…ดังนั้นแล้วคิดยังไงเกี่ยวกับดันเจี้ยนเมลก้าหละ?”

เมลก้าดันเจี้ยน

มันเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนของวิเวียนด้าและศาสตราจารย์ได้ร่วมทีมกันเพื่อโจมตีดันเจี้ยนไปด้วยกัน

การแข่งขันระหว่างแต่ละภาควิชาเวทมนตร์และแต่ละชั้นปีนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก

มันเป็นเพราะว่าถ้าคุณทำได้ดีในดันเจี้ยนคุณจะกลายเป็นนักเวทย์ระดับแนวหน้าหรือไม่ก็ได้รับการเสนอให้ไปเป็นเด็กฝึกงานที่หอคอยเวทมนตร์

กล่าวได้อีกนัยหนึ่ง คือ ดันเจี้ยนเมลก้าเป็นเหมือนเวทีคัดเลือกสำหรับนักเรียนคนที่ไม่มีเส้นสายใด ๆ

แน่นอนว่าฟิโอเนลรู้ดีว่าดันเจี้ยนเมลก้านั้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่และต้องระวังทุก ๆ ‘สถานการณ์ที่ไม่ได้คาดไว้’ ที่จะเกิดขึ้นข้างใน

เพราะว่าเขาเป็นคนที่ย้อนกลับมาจากอนาคตไง

“ดันเจี้ยนเมลก้าหรอ?”

“ใช่ ถูกแล้วหละ ฉันจะกับคู่กับอาราเซลลีคนที่แสดงประสิทธิภาพได้ดีกว่าเธอตรงนี้เอง”

มุมปากของฟิโอเลนยกขึ้น

ช่ายเลย ฉันคิดเรื่องนี้มามากแล้ว

ฉันรู้มันดีเลยหละ

บางทีเขาอาจจะทนไม่ไหวแล้วมั้ง?

เขาต้องตื่นเต้นมากแน่ ๆ เลยเมื่อคิดว่ากำลังต่อสู้กับฉันอยู่ คนที่ทำให้เขาอับอายและได้รับชัยชนะด้วยความภาคภูมิใจ

นี้มันเป็นการแข่งขันที่ตัวเขาเองไม่สามารถที่จะแพ้ได้เพราะเป็นคนที่ย้อนเวลากลับมา

มีแค่คนที่ย้อนเวลาเท่านั้นที่จะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในดันเจี้ยน

“โอเค”

เมื่อมองไปที่ฟิโอเลนที่กำลังพยักหน้าด้วยความมั่นใจฉันได้แต่แอบหัวเราะอยู่ภายใน

เพราะว่า

[ตัวเอกฟิโอเลนได้เริ่มที่จะเข้าไปแทรกแซงกับเนื้อเรื่องของ ‘สัตว์นรกแห่งดันเจี้ยนเมลก้า (3)’]

[การเปลี่ยนแปลงได้ถูกตรวจพบในเนื้อเรื่องส่วนนี้]

อนาคตที่ฉันเห็นมันต่างออกไปนะสิ