เวลาได้ผ่านไปสองสัปดาห์แล้วตั้งแต่ตอนที่แครอทได้ถูกห้อยไว้ตรงหน้าของฟิโอเลนและเหลืออีกแค่สามวันก็จะถึงวันที่ต้องแข่งขันกันที่ดันเจี้ยนเมลก้า

และถึงแม้ว่ามันจะยังเช้าเกินไปซะหน่อย แต่ฉันไม่สามารถที่จะนอนต่อได้แล้วเนื่องจากต้องไปเดินตรวจตราภายในสถาบัน

ฉันไม่ได้คิดไว้เลยว่าทางภาควิชาบ้านี้จะแม้กระทั้งมาของให้ฉันออกมาเดินลาดตระเวนในตอนรุ่งสางเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนทั้งหลายเหล่านี้

<เวลาของโลกในปัจจุบันได้รับการขยายออกเป็น….2.7021X>

มองไปที่ข้อความที่ได้ปรากฏขึ้นในหัวของฉันสิ่งที่ฉันเคยกังวลได้หายไปในทันที

เวลาของที่นี้เดินเร็วกว่าที่โลกประมาณ 2.7 เท่า

กล่าวได้อีกนัยหนึ่งก็คือสิบวันของที่โลกเทียบเท่ากับประมาณสี่สัปดาห์ของที่นี้

ฉันอยู่ที่นี้มาแล้วหกสัปดาห์

ฉันใช้เวลาไปมากกว่าที่ฉันคิดไว้แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องที่สำคัญจริง ๆ หรอก

ฉันไม่แม้แต่จะมีกิลด์ที่ต้องมาคอยส่งรางงายอีกต่อไปแล้ว

มันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ในครั้งแรกที่ฉันที่ฉันได้ถือปืนตอนอายุ 14 ปี ตอนนั้นไม่มีใครสักคนรอฉันกลับมาเหมือนกัน

บางทีถ้าจัดลำดับความสำคัญในตอนนี้การจัดการกับฟิโอเลนคงสำคัญที่สุด

ฟิโอเลนคนที่ได้รับการดูแลประหนึ่งว่าเป็นเอชของสถาบันทำให้มันไม่สามารถฆ่าได้เหมือนพวกคนชั่วทั่วไปได้

ฉันต้องคิดแผนการอย่างถี่ถ้วนและไร้ข้อผิดพลาดเพื่อที่จะทำลายพลังอำนาจและภาพลักษณ์ที่ฟิโอเลนมี

ดันเจี้ยนเมลก้า

ใช่เลย มันดีจริง ๆ ที่ฉันมีข้อมูลของอนาคต

แต่นอกจากนั้นแล้วฉันไม่สามารถคิดถึงวิธีการดี ๆ ที่ใช้มันได้เลย

ทางที่ดีที่สุดคือฉันจะต้องทำให้ดีกว่าฟิโอเลนในดันเจี้ยนเมลก้า

‘เยี่ยม พล็อตเรื่องนี้มันมีหลายตอนซะเหลือเกินหรือว่าฉันควรที่จะเล็งไปที่ตอนพิเศษแทนกันนะ’

ฉันกำลังเดินคิดไปเรื่อย ๆ อย่างเหม่อลอยในโถงทางเดินในตอนนั้นเองฉันก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งจากที่ไหนสักที่

สิ่งที่ระบุไม่ได้นี้คงจะจากไปโดยที่ฉันไม่ทันได้สังเกตเห็นถ้าหากเป็นตัวฉันก่อนหน้านี้

แต่ในตอนนี้ตอนที่ฉันมีสกิลสัมผัสที่หกแล้วนั้นฉันสามารถรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนเลย

‘ห้องอ่านหนังสืองั้นหรอ?’

ในช่วงเวลานี้พื้นที่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นห้องอ่านหนังสือ ห้องสมุดและห้องเรียนนั้นปิดอยู่

ฉันคิดว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ ดังนั้นแล้วฉันได้เปิดประตูออกอย่างช้า ๆ และเดินเข้าไปข้างใน

นั้นอะไรนะ?

อาราเซลลีกับดวงตาที่แดงก่ำกำลังมองไปที่บางสิ่งบางอย่างอยู่

“เอ่อ…ศาสตราจารย์?”

“นี่เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?”

“น-นี่ ฉันขอโทษค่ะ คือว่าฉันมีการประชุมสัมมนาที่กำลังจะมาถึงค่ะ”

“…”

ประชุมสัมมนาอิหยังหวะ?

<การตีความ : เวทีวิชาการที่นักเรียนต้องพรีเซนการค้นคว้าในเวทมนตร์ของพวกเขาที่จะเกิดขึ้นในทุก ๆ เทอมนะคะ>

อ้า เข้าใจแล้ว

“แต่ตอนนี้มันเวลาเคอร์ฟิวแล้วนะ”

“…ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ”

“งั้นก็กลับไปได้แล้ว”

ฉันตอบกลับไปแบบลวก ๆ แต่ดูเหมือนว่าอาราเซลลียังคงลังเลและได้พูดขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“แต่ว่า…”

“…?”

“ถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้ฉันจะพ่ายแพ้ลงในการประชุมอีกครั้งและในครั้งนี้ ฉ…ฉันไม่ต้องการที่จะทนกับมันอีกต่อไปแล้วค่ะ”

“หืม”

ความสิ้นหวังที่อยู่ภายในดวงตาของเธอ

ฉันคิดว่าฉันรู้เกี่ยวกับมันดีแต่ด้วยความสัจจริงแล้วฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

มันไม่เหมือนกับฉันคนที่พ่ายแพ้อยู่เสมอและคุ้นเคยกับความสูญเสีย เด็กคนนี้ก็แค่พึ่งจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้แพ้หลังจากที่ได้เดินเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชนะมาโดยตลอด

แต่ในท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเหมือนกัน

ยังมีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกับฉันอยู่ เด็กคนนี้คงต้องกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะดึงตัวเองขึ้นมาจากการเป็นผู้แพ้แน่นอน

เธอมองไปในตาของฉันและพูดออกมา

“จริง ๆ แล้ว ฉันไม่มั่นใจเลยค่ะ”

“…”

“ไม่ว่าจะอะไรก็ตามฉันไม่สามารถที่จะล้มฟิโอเลนได้เลยฉันรู้ว่านี้ยิ่งทำให้ฉันถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

เธอผิดแล้วหละ

“แต่ว่า…ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้แล้วฉันจะไม่ความมั่นใจที่จะเรียนเวทมนตร์อีกต่อไปค่ะ”

ถึงแม้ว่าฉันจะแพ้ก็ตามให้มันแพ้ในตอนที่ฉันทำดีที่สุดแล้วละกัน

นี่เป็นสิ่งที่อาราเซลลีคิดหลังจากที่ยอมรับว่าตัวเธอเองได้ตกลงสู่ความพ่ายแพ้แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงมีจิตใจที่แน่วแน่

ฉันถอนหายใจยาว ๆ

แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่สามารถให้เธอเป็นข้อยกเว้นได้

ทั้งหมดนั้นแหละที่เป็นปัญหา

มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายให้ต้องคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้ ดังนั้นแล้วฉันไม่สามารถที่ให้ข้อยกเว้นกับแค่นักเรียนคนเดียวได้

และในตอนนั้นเองในจังหวะที่ฉันกำลังจะไปบอกเธอให้เธอกลับไป

ฉันมองไปที่วิทยานิพนธ์ที่อยู่บนโต๊ะข้อความได้ปรากฏขึ้นในหัวของฉัน

<วิทยานิพนธ์นี้ถูกเขียนโดยอาราเซลลีที่จะเสร็จสิ้นในอีกหกเดือน>

‘เอ่อ…?’

ฉันเข้าไปหาอาราเซลลีและมองไปที่วิทยานิพนธ์ของเธอโดยที่ไม่สมัครใจ

มันมีสูตรเวทมนตร์ที่ถูกเขียนไว้บนวิทยานิพนธ์นี้และสูตรโปร่งแสงที่ซ้อนทับกับมันที่ปรากฏขึ้นในใจของฉัน

‘นี้มันอะไรกันนะ…?’

วิทยานิพนธ์ที่มาจากปัจจุบันและอนาคตของอาราเซลลีได้ซ้อนทับกันและกัน

ฉันไม่เคยเห็นบางสิ่งที่เหมือนอย่างนี้มาก่อนเลย

มีความเป็นไปได้หนึ่งอย่างได้เข้ามาในใจของฉัน

‘ไม่มีทางน่า หรือว่านี้เป็นผลจากการแทรกของฟิโอเลน?’

ไม่เหมือนกันคนที่ย้อนเวลากลับมา ฉันสามารถที่จะเห็นอนาคตในตอนไหนก็ได้

ฉันสามารถที่จะเห็นการซ้อนทับกันโดยการเปรียบเทียบการช่วงเวลาอันก่อนกับช่วงเวลาของไทม์ไลน์นี้ที่ตัวเอกได้เข้ามาแทรกแซง

ดังนั้นแล้วถ้ามันไม่เกี่ยวข้องกับฟิโอเลน วิทยานิพนธ์จากอนาคตคงจะไม่ซ้อนทับกับวิทยานิพนธ์ที่อยู่ตรงหน้าฉันแน่ ๆ

‘อนาคตได้ถูกเปลี่ยนแปลง’

ในไทม์ไลน์ก่อนมันเป็นวิทยานิพนธ์ที่จะต้องถูกตีพิมพ์ในอีกครึ่งปีข้างหน้านับจากตอนนี้แต่ดูเหมือนว่าฟิโอเลนจะกดดันอาราเซลลีมากเกินไปจนเธอก้าวไปข้างหน้าจากตัวเธอในอนาคต

‘เดี่ยวก่อนนะ นี่มัน…?’

ในอดีตตอนที่อียอนจุนได้อยู่ในวิกฤตเขาได้รับสกิลใหม่ในทันที

นี่เป็นเพราะว่าโลกได้แก้ไขความโชคร้ายของอียอนจุน

แต่อียอนจุนเป็นตัวเอกไม่ใช่ตัวละครรอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของคนที่ย้อนเวลา สกิลจะไม่ได้รับการให้ไปแบบฟรี ๆ

ตั้งแต่ตอนแรก คำว่า ‘ย้อนเวลา’ ด้วยตัวมันเองก็ไม่น่าที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว ดังนั้นแล้วมันน่าจะต้องมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่

‘เฮ้ คุณลูกค้า’

<ค่ะ>

‘จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้ย้อนเวลาตกอยู่ในวิกฤตหรือเผชิญหน้ากับความสูญเสีย?’

<เนื้อเรื่องในอนาคตของผู้ย้อนคืนจะถูกเปลี่ยนไปเป็นบทที่ตัวเอกสามารถเอาชนะได้หรือไม่ความสูญเสียในอนาคตของพวกเขาจะถูกบีบให้เล็กลงหรือไม่ก็ถูกลบออกไปค่ะ>

ว้าวว

งั้นมันก็เป็นแบบนั้นเองสินะ

ฉันได้รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกโน้มน้าวเมื่อได้ยินคำตอบของลูกค้า

อาราเซลลีน่าจะสามารถใช้งานได้

ฉันค่อย ๆ ดูวิทยานิพนธ์ของเธอ

มันเหมือนกับ ‘การจับผิดภาพ’

“ตรงนี้”

“ค-ค่ะ”

เธอตกใจในตอนที่ฉันชี้นิ้วของฉันไปที่ส่วนหนึ่งของสูตรบนวิทยานิพนธ์

“เธอเห็นอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับรูปทรงของมันไหม”

อาราเซลลีในอนาคตได้วาดสามเหลี่ยมในขณะที่อาราเซลลีในปัจจุบันได้วาดวงกลม

นั้นคือมากที่สุดแล้วกับสิ่งที่ฉันสามารถเข้าใจได้

ฉันไม่รู้หรอกว่าสัญลักษณ์พวกนี้มันคืออะไรก็ในเมื่อตัวตนของฉันทั้งหมดนั้นเหมือนคนแปลกหน้ากับโลกเวทมนตร์นี้เลยนี่น้า

“อ้า…!”

“ตรงนี้ ตรงนี้ และก็ตรงนี้ด้วย”

อาราเซลลีคนที่เฉื่อยชาเมื่อกี้มองมันแค่ประเดวเดียวแล้วก็รีบเอาปากกาของเธอออกมาและเริ่มที่จะตรวจสอบสิ่งที่ฉันได้ชี้ออกไป

รูปร่างหน้าตาของเธอดูซีดเซียว

ก็ในเมื่อเธอมีเรื่องให้กังวลมากมายมันก็เป็นธรรมดาที่ความเหนื่อยล้าจะตามมา

แต่อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งจากอาราเซลลีที่ทำให้เธอดูเหมือนว่ามีความสุขราวกับว่าเธอกำลังบินอยู่

“เธอเริ่มเรียนรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหรนะ?”

“อ้า…ก่อนที่ฉันจะเข้ามาที่สถาบันนี้ค่ะ”

อาราเซลลีตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ถ่อมตัว รู้สึกระอายที่เธอยังทำวิทยานิพนธ์เล่มนี้ไม่สำเร็จทั้งที่ให้เวลากับมันมานานมากเช่นนี้แล้ว

ฉันไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอก ดังนั้นแล้วฉันได้ถามอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับนั้นและก็นี่

มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากสำหรับฉันแต่มันไม่ได้สำคัญอะไรเพราะว่าเธอเข้าใจจุดสำคัญของมัน

สิ่งที่แม้แต่ผู้ย้อนกลับก็ไม่รู้

ฉันส่งเครื่องบันถึงเสียงให้กับอาราเซลลี

เครื่องบันทึกเสียงราคาถูกนี้ได้ถูกเรียกว่า ‘ไม้กายสิทธิ์ลึกลับที่มีแสง’ โดยเหล่าเด็กนักเรียน

“เอามันไปและไปที่ห้องของเธอจากนั้นก็เรียนมันอย่างเงียบ ๆ หละ”

“…อ้า! ข-ขอบคุณค่ะ”

ฉันไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้มันในตอนนี้แต่อาราเซลลีดูเหมือนว่าจะต้องใช้มัน

มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอได้พูดก่อนที่จะออกไปแต่ซอดัมไม่ได้ใส่ใจที่จะมองย้อนกลับไปที่เธอ

ฉันกำลังใช้งานอาราเซลลีอยู่เพราะงั้นฉันไม่สมควรที่จะมองเข้าไปในตาของเธอ

……………………………………………………..

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้วมันก็ได้ถึงวันแห่งการอภิปรายทางวิชาการ

เด็กใหม่ชั้นปีที่ 1 จะแสดงวิทยานิพนธ์ของพวกเขาให้กับคณาจารย์ที่มารวมตัวกันได้ดู

ตั้งแต่ที่มันเป็นสถาบันเวทมนตร์อันทรงเกียรติ พวกเขาต้องแสดงสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มาตั้งแต่ที่เข้ามาในรั้วของสถาบันนี้

ที่นี้ เมื่อยี่สิบก่อนในไทม์ไลน์เก่า ฟิโอเลนไม่ได้เขียนวิทยานิพนธ์มานำเสนอที่นี้

เหมือนดังเช่นสามัญชนทั่ว ๆ ไปเขาเกือบจะไม่สามารถที่จะเข้าประตูโรงเรียนมาได้ตัวซ้ำและฟิโอเลนมีเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นในการสะสมความรู้อันมีค่าเมื่อเทียบกับนักเรียนคนอื่น ๆ คนที่ได้รับการศึกษาเบื้องต้นไปก่อนหน้านี้แล้ว

ในตอนนี้ มันได้ต่างออกไป

มันเป็นเพราะว่าฟิโอเลนมีความรู้จำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้มาจากอนาคตและอันที่สำคัญที่สุดวิทยานิพนธ์ของอาราเซลลี ‘สมการรูปคลื่นอันดับที่ 4’ ซึ่งจะได้รับการกำหนดว่าเป็นหัวข้อที่ร้องแรงในครึ่งปีให้หลังและในตอนนี้มันก็ได้มาอยู่ในมือเขาแล้ว

โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลย

เป็นอีกหนึ่งครั้งในช่วงเวลานี้ที่เขาจะต้องพิสูจน์ความเป็น ‘อัจฉริยะ’ ของเขาบ่อนทำลายวิทยานิพนธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นของอาราเซลลี

มีเพียงแค่การทำแบบนี้ ที่ถ้าเขายังคงทำมันต่อไปเรื่อย ๆ

‘นางผู้หญิงคนนั้นคนที่ทำลายความภาคภูมิใจในตนเองของฉันจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี ครั้งนี้แหละที่ฉันจะ…’

แต่อย่างไรก็ตาม

ก็มีปัญหาเกิดขึ้น

“ต่อไปนี้จะเป็นการบรรยายโดยนักเรียนใหม่อาราเซลลี”

[สมการรูปคลื่นอันดับที่ 4]

มองดูไปที่ข้อความที่ลอยขึ้นมาในอากาศโดยเวทมนตร์ ฟิโอเลนเบิกตากว้างโดยที่ไม่รู้ตัว

‘มันมาได้…?’

มันชัดเจนเลยว่าอาราเซลลีจากตัวตนในอนาคตคนก่อนได้เผยแพร่วิทยานิพนธ์นี้

และมันก็ยอดเยี่ยมเช่นกันแต่จากมุมมองของฟิโอเลนคนที่มีความรู้มาจากอนาคต วิทยานิพนธ์นี้ไม่นับเป็นอะไรเลยนอกจากคำเลอะเทอะ

‘ฉันได้ทำงานมาอย่างหนักเพื่อที่จะมอบความพ่ายแพ้ให้กับอาราเซลลี’

‘ไม่สิ นั้นมันไม่ใช่ประเด็น’

ด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก ฟิโอเลนขย้ำรายงานในมือของเขา

มันเป็นเพราะว่าเขาก็ได้นำเอาวิทยานิพนธ์ที่มีหัวข้อเดียวกันมาเช่นกัน

‘ฉันควรจะทำยังไงดี?’

ในสถานการณ์เช่นนี้ มันเป็นข้อได้เปรียบที่จะเป็นคนแรกที่ได้นำเสนอ

การนำเสนอของอาราเซลลีเป็นไปตามหลักเหตุผลและมีความครอบคลุม ทั้งเสียงของเธอที่ได้เปล่งออกมายังมีเสน่ห์พอที่จะสั่นไหวหัวใจของผู้คนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“ขอบคุณค่ะ”

แปะ แปะ แปะ!

ในตอนที่เธอเสร็จสิ้นการนำเสนอเหล่าคณาจารย์ได้ยิงคำถามไปมากมาย

มันเป็นวิทยานิพนธ์ที่ดีอย่างแท้จริง

“…ต่อไป ฟิโอเลน”

‘ฉันควรทำยังไงดีหละ?’

“ฟิโอเลน?”

“…ครับ”

มันสายเกินไปแล้ว

เขาได้เอาวิทยานิพนธ์ที่เหมือนกับของอาราเซลลีมาและต้องนำเสนอมัน

‘หรือฉันจะไม่นำเสนอวิทยานิพนธ์เหมือนในอดีตอีกครั้ง?’

ไม่ได้

มันพึ่งเป็นแค่ช่วงต้นของชีวิตในสถาบันของเขาและเขาไม่ต้องการที่ได้รับประสบการณ์จากการโดนดูถูกโดยทุก ๆ คนจากการที่ไม่สามารถนำเสนอวิทยานิพนธ์จากการประชุมสัมมนาครั้งแรกได้

เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ต้องการที่จะแพ้ให้กับอาราเซลีไปมากกว่านี้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้น

เขาเลยได้ตัดสินใจ

“เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของอาราเซลลีผมมีความสงสัยว่ามันจะเป็นการคัดลอกงานของคนอื่นมาครับ”

แค่เพียงหนึ่งประโยคจากฟิโอเลนมันได้สร้างความปันป่วนขึ้นภายในหอประชุมทันที

อาจารย์ใหญ่ได้ยกมือของเขาขึ้นแล้วทุกคนก็ได้เงียบเสียงลง

การยกประเด็นเรื่องความสงสัยในการคัดลอกผลงานขึ้นมานั้น

มันเป็นเรื่องที่น่าละอายใจเป็นอย่างมากที่ไม่ได้เหมาะสมกับภาพลักษณ์ของสถาบันชั้นสูงแต่มันได้เกิดขึ้นครั้งหรือสองครั้งในทุก ๆ ปี

ดังนั้นถ้ามีคนที่มีความสงสัยในเรื่องนี้เกิดขึ้นมันต้องได้รับการพิสูจน์ ณ จุดนั้นในทันทีจนกว่ามันจะได้รับการแก้ไข

ว่าใครทำการลอกเลียนแบบใคร

เหล่าคณาจารย์ได้มองดูไปรอบ ๆ หอประชุมด้วยความสนใจ

พวกเขาเคยได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วสอง สามครั้งก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้มันเป็นอาราเซลลี นักเรียนที่ได้รับการยอมรับในระดับท็อปและฟีโอเลน คนที่ทำลายสถิติคนที่มีปริมาณมานามากที่สุดที่ได้มีการบันทึกไว้

ไม่ใช่ว่านี้มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นหรอกหรอ?

“ก่อนหน้าที่จะยกประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการลอกเลียนแบบ นักเรียนใหม่ฟิโอเลนเธอมั่นใจว่านี้เป็นงานของเธอเองใช่ไหม?”

“แน่นอนครับ มันต้องเป็นวิทยานิพนธ์ของผมอย่างแน่นอน”

“ฉันเข้าใจแล้ว คุณได้เขียนวิทยานิพนธ์นี้ขึ้นมาตอนไหนหละ?”

“ผมได้เขียนมันตั้งแต่ที่ผมได้เข้ามาที่สถาบันนี้ครับและผมสามารถที่จะพิสูจน์มันได้ครับ”

“แสดงหลักฐานของเธอออกมาสิ”

ในโลกของเวทมนตร์ การที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ขึ้นมาได้นั้นจะต้องมีความเข้าที่ถ่องแท้เกี่ยวกับสูตร

มันไม่มีคนที่ทำการลอกเลียนแบบผลงานคนใด ๆ ที่จะสามารถอธิบายสูตรพวกนี้เป็นสิบหรือเป็นร้อยสูตรได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดังนั้นแล้ววิธีการที่จะใช้แก้ปัญหาความน่าสงสัยของการลอกเลียนแบบผลงานคือดูที่ว่า ‘ใครที่สามารถอธิบายวิทยานิพนธ์ของพวกเขาได้ดีกว่ากัน?’

ฟิโอเลนนั้นมีความมั่นใจในแง่มุมนี้

ไม่สำคัญอาราเซลลีจะอธิบายอะไรออกไป ฟิโอเลนนั้นมีความรู้ที่มาจากอนาคต

เขาสามารถที่จะเพิ่มสูตรระดับมหาวิทยาลัยบางสูตรเข้าไปและทำให้มันดูมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและดูเสร็จสมบูรณ์มากกว่าได้

ฟิโอเลนได้ก้าวออกไปข้างหน้า แล้วเขียนลงสูตรลงไปบนกระดานดำที่ลอยอยู่ในอากาศอย่างราบรื่นโดยที่ไม่มีความตรึงเครียดใด ๆ เลยส่งผลให้เสียงอุทานก็ได้ระเบิดออกมาท่ามกลางหมู่คณาจารย์

สูตรเหล่านี้แม้แต่นักเรียนชั้นปีที่ 2 ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้

มันเป็นเช่นเดียวกันกับอาราเซลลีคนที่ตอนได้แต่ตัวซีดลงและซีดลงไปอีก

ทันใดนั้นเองที่ความสบสันวุ่นวายได้ระเบิดออกมาในหอประชุมเมื่อในจังหวะที่ฟิโอเลนได้เขียนสูตรที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อนำไปเทียบกับของที่มาจากอาราเซลลีสำเร็จ

“อะไรกัน? อย่าบอกฉันนะว่ามิสอาราเซลลีคัดลอกผลงานของเขามา…?”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย มันมีประสิทธิภาพมากกว่าอีก และมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า…”

มันชัดเจนเลยว่าอาราเซลลีได้ลอกผลงานมา

พวกเขาไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

ฟิโอเลนได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่น่าชื่นชมนี้ด้วยดวงตาที่ปิดสนิท

ความรู้สึกถึงความตื่นเต้นเร้าใจที่เขารู้สึกได้ในตอนที่เขาก้าวข้ามเหล่าอัจฉริยะที่อยู่ด้านบน

ช่างทำให้เบิกบานเสียจริง

มันเป็นความสุขที่เปี่ยมล้นที่ไม่สามารถเทียบได้กับอะไรก็ตาม

แล้วในตอนที่ฟิโอเลนนั้นกำลังเพลิดเพลินไปกับการได้รับมาซึ่งชัยชนะอยู่นั้นเอง

“อาจารย์ใหญ่ครับ ผมของพูดอะไรสักอย่างได้ไหมครับ?”

ศาสตราจารย์พิเศษของวิชาเวทมนตร์การต่อสู้ได้เปิดปากของเขา

แตกต่างไปจากปฏิกิริยาตอบสนองของฟิโอเลนที่แสนเชื่องช้าเพราะว่าเขากำลังจมอยู่ในช่วงเวลาที่แสนงดงามของเขาอยู่ อาจารย์ใหญ่ก็ได้พยักหน้าตกลง

ซอดัมที่ได้รับการอนุญาตแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาแล้วมองไปที่ฟิโอเลนจากนั้นก็พูดว่า

“อันดับแรกเลย ฉันขอแสดงความยินดีกับนายด้วย เด็กใหม่ ฟิโอเลน สมการของนายมันเป็นวิทยานิพนธ์ที่ชัดเจนในรายละเอียดเป็นอย่างมาก”

“ขอบคุ..”

“แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ตาม”

มันจะเป็นการยกย่องครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจากเขา

มันเป็นเพียงการแสดงความสุภาพแบบง่ายของฉันให้ผู้ชมได้เห็น

ในตอนนี้ที่ฉันได้รับความสนใจจากพวกเขามาแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะก้าวต่อไป

“มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อย…”

ซอดัมค่อย ๆ มองไปที่ตาของฟิโอเลนแล้วถามออกมา

“เด็กใหม่ฟิโอเลนสูตรอันไหนที่นายอ้างอิงถึงในย่อหน้าที่ 17 ‘พารามิเตอร์เศษส่วนฐานแปด?’”

“หะ?”

เขาไม่ได้คิดไว้ว่าจะต้องมาเจอกับคำถามแบบนี้ดังนั้นแล้วฟิโอเลนจึงดูลุกลี้ลุกลนในตอนนี้ แต่ในทันใดนั้นเขาก็ได้เคลียร์ลำคอของตนเองและพูดออกมา

“นี่…งานอดิเรกของผมคือการอ่านพวกรายงานวิทยานิพนธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ คุณคงไม่สามารถที่จะจดจำหนังสือทุกเล่มที่คุณอ่านได้เหมือนกันใช่ไหมครับ?”

ใช่

มันไม่มีอะไรเลย

คุณก็แค่ต้องแถต่อไปเรื่อย ๆ

“นี่มันแปลกๆ อยู่นะ”

ยูซอดัมเอียงหัวของเขา

“พารามิเตอร์เศษส่วนฐานแปด…ฉันแน่ในว่ามันเป็นสูตรแรกที่อาราเซลลีได้เขียนไว้ในการสอบเข้าของเธอ”

แล้วในตอนนั้นเอง

ที่ฟิโอเลนรู้สึกได้ว่าที่บรรยากาศภายในหอประชุมได้ดูน่าอึดอัดขึ้นมาในทันที

ริมฝีปากของฟิโอเลนกำลังสั่นพร้อมด้วยสีหน้าที่สับสนงุนงง

ผู้ย้อนกลับจะมีข้อมูลของอนาคต

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาไม่ได้รู้ไปซะทุกเรื่องหรอก

ซอดัมสามารถที่จะได้รับข้อมูลจากทั้งในโลกก่อนหน้าและในไทม์ไลน์ที่สองได้พร้อมกันและสามารถที่ค้นหาส่วนที่ขาดหายไปในข้อมูลของผู้ย้อนกลับได้

เป็นเพียงแค่หลักฐานชิ้นเล็ก ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่นับเป็นอะไรได้เลย

แต่หลักฐานชิ้นเล็กนี้ชัดเจนเลยว่ามันทำให้ฟิโอเลนถึงกับพูดไม่ออก

อาจารย์ใหญ่ค่อย ๆ หันหน้าของเขาไป

จากยูซอดัมไปที่อาราเซลลีและจบลงที่ฟิโอเลน

รู้สึกเหมือนนานเป็นนิรันด์ หลังจากที่ผ่านไปเพียงแค่ 30 วินาที

อาจารย์ใหญ่ได้เปิดปากของเขาออกอย่างช้า ๆ

“นักเรียนใหม่ฟิโอเลน ฉันแน่ใจว่าเธอเขียนวิทยานิพนธ์เล่มนี้หลังจากที่ได้เข้ามาในรั้วสถาบัน แต่เธอพอจะบอกฉันได้ไหมถึงเหตุผลที่ว่าทำไมสูตรของนักเรียนใหม่อาราเซลลีที่ได้เขียนไว้ในการสอบเข้า สูตรที่น่าจะมีเพียงแค่คณาจารย์เท่านั้นที่ควรจะรู้เกี่ยวกับมันถึงไปอยู่ในวิทยานิพนธ์ของเธอได้?”

ด้วยคำถามนี้เอง ฟิโอเลนได้กำหมันและกัดฟันของเขาแน่น

เขาต้องคิดหาข้อแก้ตัวไม่ว่าอะไรก็ตาม

เขาต้องพูดอะไรบางอย่างออกไป

ถึงอย่างนั้นผู้ย้อนกลับคนนี้ไม่ได้คาดว่าจะมีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

เจ้าอาชญากรและอัจฉริยะจอมปลอมคนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้เลยในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้

ผลสุดท้ายแล้วมีเพียงแค่หนึ่งทำตอบที่ฟิโอเลนสามารถให้ได้เท่านั้น

“…ไม่นะครับ ผมไม่ได้ทำ”

ระหว่างที่รอคำตอบจากเขา อาจารย์ใหญ่ก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง

“ในตอนนี้เราจะส่งต่อเรื่องนี้ให้กับคณะกรรมการวินัยไปจัดการมอบบทลงโทษที่เหมาะสมให้กับเด็กใหม่ฟิโอเลนในเรื่องที่เขาได้ทำการคัดลอกผลงานของผู้อื่นมา”

ที่เวลาเดียวกันนั้นเอง อาราเซลลีได้ทรุดลงไปกองกับพื้น

“ฮะฮะ..”

เธอไม่ได้ยอมแพ้

เธอได้พิสูจน์ความพยายามของเธอกับศาสตราจารย์

และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอสามารถเอาชนะฟิโอเลนได้

อาราเซลลีในตอนนี้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่เอ้อล้นของเธอได้อีกต่อไป น้ำตาได้ไหลออกมาโดยที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ตัว

และด้วยสิ่งนี้เอง

[วิกฤตได้ถูกตรวจพบสำหรับตัวเอกฟิโอเลน]

[เป้าหมายยูซอดัมได้ถูกกำหนดว่าเป็นวายร้าย]

[เนื้อเรื่องส่วนของ สัตว์นรกแห่งดันเจี้ยนเมลก้า (3) ในตอนนี้จะแสดงถึงความศัตรูกับวายร้าย]

อนาคตได้เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว