แล้ววันนี้ก็มาถึงวันที่จะมีการแข่งขันที่ดันเจี้ยนเมลก้าเกิดขึ้น

อาราเซลลีและฉันคนที่อยู่ทีมเดียวกันในตอนนี้ได้ยืนอยู่ที่ด้านหน้าของหลุมดำที่เป็นหนึ่งในทางเข้าไปสู่ดันเจี้ยน

มีอยู่ทั้งหมดสิบหกคู่ที่ยืนอยู่ตรงนี้

ทั้งหมด 16 คู่ที่จะต้องแข่งขันกันเพื่อที่จะหาว่าใครสามารถโจมตีดันเจี้ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ,มีความชำนาญ และรวดเร็วมากกว่ากัน

มันเป็น ‘ดันเจี้ยนแรก’ สำหรับนักเรียนเหล่านี้ มันเลยทำให้พวกเขารู้สึกตรึงเครียดสำหรับเหตุการณ์ที่พิเศษเช่นนี้

ที่จะมีศาสตราจารย์มากถึง 16 คนที่จะร่วมมือไปกับนักเรียนเพื่อที่จะเข้าโจมตีดันเจี้ยนนี้

ตัวละครรองทั้งสามคนจะเป็นคนที่เข้าไปในลำดับที่หนึ่ง,สอง,สามตามอันดับสอบเข้าเช่นเดียวกันกับฟิโอเลนคนที่ได้รับคะแนนสูงสุดระหว่างการทดสอบเบื้องต้น

ฟิโอเลนที่ตามจริงแล้วจะต้องถูกลงโทษโดนคณะกรรมการทางวินัยก็ยังคงสามารถที่จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ได้ไม่ว่าเขาจะถูกตัดสินว่าผิดหรือไม่ก็ตาม

มันไม่ได้น่าแปลกใจเลยและควรเป็นแบบนี้อยู่แล้วมันเป็นผลลัพธ์ที่เป็นตามธรรมชาติ

เพราะมันจะขัดกับหนักสามัญสำนึกนะสิถ้าตัวเอกไม่สามารถแม้แต่จะเข้าร่วมเหตุการณ์หลักในโลกของพวกเขาได้

เห็นได้ชัดเลยว่าพล็อตเรื่องจะต้องถูกบิดเบือนไปบางส่วน

พอคิดไปอย่างนั้นแล้ว ไม่รู้ว่าฟิโอเลนไปเกลี้ยกล่อมอีท่าไหนศาสตราจารย์สาวอายุ 20 ปลาย ๆ คนนี้ถึงได้ยอมรวมทีมกับเขากันได้นะ?

ฉันไม่อยากจะเชื่อและอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เลย

นี่เขาหมกมุ่นแต่กับเรื่องผู้หญิงมากแค่ไหนกันเนี่ย?

“เอิ่ม…ขอบคุณครับ ที่จริงแล้วตอนนี้ศาสตราจารย์คนอื่นไม่ได้ชอบผมเหมือนเมื่อก่อนแล้วดังนั้นผมเลยกังวลว่าจะไม่มีใครที่จะมาร่วมทีมลงดันเจี้ยนเมลก้าด้วยกันกับผมนะครับ”

“ขอบคุณนะครับ ผมสามารถที่จะเข้าร่วมได้เพราะศาสตราจารย์เลยครับ”

“อะไรนะ? อย่างงั้นหรอ?”

ทันใดนั้นเอง เธอก็ได้กำหมัดแน่น

“ฉันมั่นใจเลยว่าพวกเราจะต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีแน่”

ฉันรู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้เห็นว่าอาราเซลลีนั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

ปิปิปิ-

แฟรี่สีดำสามตนปรากฏตัวออกมาจากอากาศ

แฟรี่เหล่านี้น่าจะมีหน้าที่ในการถ่ายทอดสดเหตุการณ์ในครั้งนี้

ฉันรู้สึกว่านี่มันก็สมกันดีนะ ถ้าคิดว่านี้คือโลกเวทมนตร์ที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีใด ๆ เลย

เหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในดันเจี้ยนจะถูกไลฟ์ถ่ายทอดสดไม่ใช่แค่ในสถาบันเท่านั้นแต่ยังไปถึงเหล่าชนชั้นสูง,หอคอยจอมเวทย์ และทุกคนที่มาที่นี้เพื่อรับชม

มันบ่งบอกได้โดยไม่ต้องพูดว่ากิจกรรมนี้มันใหญ่แค่ไหนสำหรับนักเรียนและตัวเอกเอง

หลังจากนั้นไม่นานเหล่าแฟรี่ก็ได้พูดขึ้น

[การลงดันเจี้ยนจะเริ่มในอีกหนึ่งนาทีนะคะ]

เวลาหนึ่งนาทีได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วและในตอนนั้นเองที่แฟรี่ได้พูดออกมา ‘เริ่มต้นการโจมตีดันเจี้ยนได้ค้า’ ฉันได้เอาปืนเมก้าชูตเตอร์ของฉันออกมา

“เจ้าของอันใหญ่นี้มัน…?”

“ไม้กายสิทธิ์ของฉันเองนะ”

คลิ๊กคลิ๊ก!

……………………………………………………..

การตะลุยดันเจี้ยนสำหรับฉันนั้นมันง่ายมาก

มันเป็นสิ่งที่ฉันทำเป็นประจำอยู่แล้วและอย่างแรกเลยก็คือการแข่งขันนี้จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของนักเรียนดังนั้นมันไม่ได้อันตรายมากมายอะไรอยู่แล้ว

เจอกับดัก -> ก็พังทิ้ง

เจอมอนสเตอร์ -> ก็กำจัดซะ

ก็แค่ทำลายมันซะทุกอย่างก็พอแล้ว

ตัวตรวจจับคลื่นความถี่ยังสามารถที่จะตรวจจับกับดักเวทมนตร์ได้และอาวุธปืนอีเทอร์ก็ยังมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมากในการใช้จัดการกับมอนสเตอร์ที่นี้

เดิมที ฉันเครียดนิดหน่อยเมื่อได้ยินว่ามันเป็นดันเจี้ยนที่ถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทย์แต่มันกลับกลายเป็นว่าฉันกังวลไปเองอย่างนั้นแหละ

“ว้าวว..นี้มันมหัศจรรย์มากเลยค่ะ”

นี้เป็นพลังของอุปกรณ์อย่างนั้นหรือ?

พูดแบบตรงไปตรงมาเลยว่าฉันเคยต้องการที่จะใช้ดาบแต่ฉันไม่สามารถที่จะใช้มันได้เนื่องจากนี้เป็นโลกของนักเวทย์

กระสุนแต่ละนั้นที่ได้ใช้ไปนั้นคิดเป็นเงินจำนวนมาก แต่ทำไงได้ฉันต้องรักษาภาพลักษณ์ของนักเวทย์จนกว่าเหตุการณ์นี้จะจบลง

“ไปที่ต่อไปกันเถอะ”

มันมีทั้งหมดสามด่าน มีแปดทีมที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านด่านแรกได้และจะมีสี่ทีมที่ได้รับอนุญาตให้ผ่านด่านที่สอง

ซึ่งหมายความว่าทีมที่สามารถเคลียร์ได้เร็วกว่าจะได้เปรียบและมีแค่สี่ทีมเท่านั้นที่สามารถที่จะเข้าสู่ห้องบอสได้

ดังนั้นแล้วจึงจะปล่อยให้เวลาเสียปล่าวไม่ได้

ในขณะที่วิ่งตรงไปพร้อมกับอาราเซลลีทันใดนั้นเองก็มีแสงสีแดงส่องสว่างออกมาจากผนังกำแพงและของเหลวที่มีความร้อนสูงก็ได้ถูกพ่นออกมา

“โอ้มายก็อด…!”

ฉันรีบยกข้อมือของฉันขึ้นมาเพื่อสร้างเกราะและป้องกันสิ่งนั้น

ความทนทานของเกราะลดลงไปครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“น-นั้นอะไรนะค่ะ?”

‘หืม’

ตั้งแต่ที่มันเป็นดันเจี้ยนสำหรับนักเรียนเช่นนั้นแล้วมันไม่ควรที่จะมีกับดักที่อันตรายอยู่

ดังนั้นมันต้องเป็นเพราะว่าเรื่องนั้นแน่

[เนื้อเรื่องส่วนของ สัตว์อสูรนรกแห่งดันเจี้ยนเมลก้า (3) ในตอนนี้จะแสดงถึงความศัตรูกับวายร้าย

มันเป็นหลักฐานที่ว่าโลกนี้ค่อย ๆ เริ่มที่จะถูกบิดเบือนเพื่อช่วยเหลือตัวเอกแล้ว

มุมปากของฉันยกขึ้นในตอนที่ฉันมองไปในอากาศ

ในตอนที่เริ่มมันมีแฟรี่ที่ถ่ายวิดีโอแค่สามตนเท่านั้นแต่ในตอนนี้มันได้เพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบตนแล้ว

นั้นหมายความว่ามันมีผู้ชมจำนวนมาก

ในเมื่อพวกเราได้ทะลวงผ่านดันเจี้ยนด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อทำให้ผู้คนจำนวนมากเริ่มที่จะสังเกตเห็นพวกเราแล้ว

“อะ หึม”

หลังจากที่เคลียร์ลำคอของตัวเองแล้วฉันมองได้ที่แฟรี่แล้วพูดขึ้นว่า

“สวัสดีครับทุก ๆ คน ผมคือยูซอดัม ศาสตราจารย์ในภาควิชาเวทมนตร์การต่อสู้”

อาราเซลลี เห็นพฤติกรรมของฉันที่เปลี่ยนไปแบบกลับด้านก็งุนงงและถามขึ้น

“…นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่ค่ะ?”

“พูดคุยกับเหล่าคนดูนะ”

“หา?”

เจ้าเด็กน้อยเอ้ย

เธอจะไปรู้อะไรหละ?

ศาสตราจารย์ทั้งหมดและเหล่านักเรียนทั้งหลายของสถานับนี้เป็นเหล่าชนชั้นสูงดังนั้นแล้วพวกเขาไม่ชอบที่คบค้าสมาคมกับพวกคนธรรมดา

ในอีกความหมายก็คือ ฉันน่าจะเป็นคนแรกในโลกนี้ที่ทำได้

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เรามาเริ่มวิเคราะห์ดันเจี้ยนนี้ไปด้วยกันเถอะครับ”

……………………………………………………..

ฟิโอเลนค่อย ๆ เรียกคืนเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นภายในดันเจี้ยนนี้จากความทรงจำของเขา

ด่านแรก เป็นมอนสเตอร์และกับดัก

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำจากเมื่อ 20 ปีก่อนความทรงจำนี้ก็ยังคงชัดเจนเป็นอย่างมากสำหรับฟิโอเลน

เขาไม่เคยลืมวันนี้เลย

มันเป็นเวทีแรกของเขาที่เป็นเพียงแค่นักเวทย์สามัญชน

นักเวทย์อาวุโสในหอคอยเวทมนตร์ที่มาจากทั่วทุกทิศทางทั่วทั้งโลกกำลังดูเหตุการณ์ภายในดันเจี้ยนในตอนนี้อยู่ เช่นเดียวกันกับเหล่าชนชั้นสูงและศาสตราจารย์ทั้งหลายจำนวนนับไม่ถ้วน

เพื่อที่จะได้เห็นฟิโอเลน นักเวทย์สามัญชนอัจฉริยะได้รับชัยชนะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่ว่า…

‘ทำไมถึงได้มีแฟรี่น้อยอย่างนี้?’

ในความทรงจำของเขามันควรที่จะมีมากกว่านี้สิ

แน่นอนว่า 20 ปีก่อนมีแฟรี่ที่ตามถ่ายวิดีโอให้เขาเพียงแค่หนึ่งตนเท่านั้นต่างจากอาราเซลลีที่มีหลายสิบตนไม่ก็เป็นร้อยตนติดตาม

นั้นหมายความว่าเขาควรที่จะมีมากอย่างนั้นสิ

แต่ในตอนนี้กลับมีแฟรี่แค่ 20 ตนเท่านั้นกำลังตามถ่ายเขาอยู่

“…ทำไมกันหละ?”

[วิกฤติได้ถูกตรวจจับสำหรับตัวเอกฟิโอเลน]

ครื้นครื้น…!

ทันใดนั้นเองเสียงที่ดังก้องก็ดังมาจากที่ไหนสักที่

แต่ฟิโอเลนก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากเท่าไรนัก

เพราะว่าเขาคิดว่ามันคงเป็นแค่ใครบางคนที่กำลังเจอกับการต่อสู้ที่ยากลำบากอยู่

‘ถ้าฉันจำได้ไม่ผิดหละก็สัตว์อสูรนรกนั้นยังไม่ได้ปรากฏตัวในตอนนี้’

ด่านที่สอง เป็นการผ่านเขาวงกตที่เต็มไปด้วยวงจรเวทมนตร์ที่สลับซับซ้อน

ด่านแรกใช้เพื่อทดสอบความสามารถด้านการต่อสู้และความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

ถึงอย่างนั้นแล้วมันดูเหมือนว่าจะมีทีมที่เร็วยิ่งกว่าเขาเสียอีก

อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้สำหรับคนอื่น ๆ ที่จะเร็วยิ่งกว่าเขาในด่านที่สอง

ที่แต่ละทีมจะต้องแยกแยะและตีความโครงสร้างเวทมนตร์ผ่านเขาวงกตที่ขัดขวางพวกเขาจากการก้าวไปข้างหน้าและหาคำตอบ

ในขั้นตอนนี้นั้นต้องทำซ้ำกันไปมาหลายสิบครั้ง

ซึ่งสำหรับฟิโอเลนแล้วมันไม่ได้ยากอะไรเลย

เป็นเพราะว่าเคยผ่านเขาวงกตนี้มาก่อนแล้ว

ดังนั้นเขาเลยแกล้งทำเป็นว่าสามารถแก้ไปวงจรเวทมนตร์ได้อย่างรวดเร็วโดยการอาศัยทางลัดและตั้งใจอย่างแนวแน่เพื่อที่จะรับเอาอันดับที่หนึ่งในด่านที่สองนี้

แต่ว่าอย่างไรก็ตาม…

‘ทำไมมันถึงยังมีแฟรี่น้อยแบบนี้อยู่อีกหละ?’

แต่มันก็ยังดี

เพราะว่าในท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน

หลังจากที่มาถึงทางเข้าเพื่อการรอคอยสำหรับการเข้าไปสู่ด่านที่สามในที่สุด ฟิโอเลนหาที่นั่งตรงมุมของลานในห้องนี้

“เยี่ยมไปเลยนิ ฟิโอเลน นี้มันยอดเยี่ยมมากเลย…นายมาถึงเร็วอย่างนี้ได้ยังไงกันเนี่ย?”

ยูซอดัมถามขึ้นด้วยความประหลาดใจในน้ำเสียงที่ต้องการคำตอบ

เดิมทีเหล่าศาสตราจารย์และนักเรียนที่จับคู่กันจะจัดการกับเขาวงกตในด่านที่สองด้วยกัน

ฟิโอเลนผ่านมันมาเพียงคนเดียวและยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

ฟิโอเลนยิ้มและตอบกลับไปอย่างง่าย ๆ

“ผมมีทางของผมนะ”

เขาไม่เคยที่จะเปิดเผยความลับที่ว่าตัวเองมากจากอนาคตและจะให้มันลงหลุมไปพร้อมกันเขา

นั้นเป็นทางเดียวสำหรับเขาที่จะโดดเด่นเสมือนกับว่าเป็นอัจฉริยะได้

นอกจากนี้แล้ว มันมีประโยชน์อะไรที่จะบอกคนอื่นว่าเขากลับมาจากอนาคตด้วยหละ?

ฟิโอเลนคิดเช่นกันเอง

ในตอนที่เวลาค่อย ๆ ผ่านไปคนอีกหลายคู่ได้ถยอยกันมาถึงลานแห่งนี้หลังจากผ่านด่านที่สองมาแล้ว

มีเพียงแค่สี่ทีมเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ผ่านด่านที่สองไปได้

เป็นอย่างที่คิดไว้เลยว่า ดูริมและเมซลอนเป็นอันดับที่สองและอันดับที่สามที่มาถึงในด่านที่สาม

แต่ว่ามันแปลกอยู่นะที่เขาไม่ได้เห็นอาราเซลลีอยู่ที่นี้

‘นี้มันแปลกมาก ในเนื้อเรื่องก่อนอาราเซลลีได้ร่วมมือกับศาสตราจารย์ของเธอในการเคลียร์ด่านที่สองได้อย่างรวดเร็วกว่าใครทุกคนในที่นี้อีกนะ’

ในตอนที่คิดอย่างนั้น อาราเซลลีก็มาถึงเทียบจะในทันทีเลยด้วยอันดับที่สี่

เธอดูหมดเรียวหมดแรงด้วยเหตุผลบางอย่าง

“ฟิ้ว ศาสตราจารย์ค่ะ…ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณจะปล่อยฉันไว้คนเดียว…”

“ฉันต้องการที่จะเห็นความสามารถของเธอนะ”

ยูซอดัมโกหกออกไปด้วยสีหน้าที่จริงใจ

ความจริงแล้วซอดัมช่วยอะไรในด่านที่สองไม่ได้เลยต่างหาก

เขาไม่สามารถที่จะมองเห็นอนาคตได้อย่างถูกต้องดังนั้นแล้วเขาเลยแทบที่จะหาเส้นทางที่ถูกต้องไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ในทางกลับกัน อาราเซลลีนั้นสามารถที่จะทะลวงผ่านเขาวงกตนี้ได้ด้วยตัวความแข็งแกร่งของตัวเธอเอง

หาทางที่จะสามารถค้นหาคำตอบที่ถูกต้องของสูตรระดับสูงหลังจากการดิ้นรนนี้ทำให้เหล่าคนดูนั้นทั้งหวาดเสียวและตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน

“เธอนี่เป็นระดับดาราทีวีเลยนะ”

“ค่ะ?”

อาราเซลลีไม่ค่อยที่จะเข้าใจเลยว่าซอดัมกำลังพูดอะไรแต่บางทีมันก็ฟังดูเหมือนว่าจะเป็นคำชมดังนั้นเธอเลยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

[ทั้ง 4 ทีมที่ได้มาถึงด้านสุดท้ายแล้ว ในตอนนี้ให้เราได้แสดงให้พวกคุณเห็นห้องบอสที่ถูกทิ้งให้รอคอยอย่างยาวนาน]

บอสมอนสเตอร์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นมอนสเตอร์หรอก

พวกมอนสเตอร์ที่เราได้เผชิญหน้าในทางที่ผ่านมานั้นถูกสร้างขึ้นผ่านการเล่นแร่แปรธาตุและบอสมอนสเตอร์นี้ก็ไม่ต่างกัน

ดังนั้นแล้วการโจมตีทั่ว ๆ ไปใส่บอสมอนสเตอร์นั้นไม่ใช่ทางที่จะล้มมันลงได้

และเพื่อที่จะล้มมันลง เราจะต้องเข้าใจและวิเคราะห์รูปแบบและเทคนิคที่มันใช้ทั้งหมด

และ

ฟิโอเลนก็รู้ว่าบอสมอนสเตอร์ที่จริงแล้วนะเป็นของปลอม

เมื่อใดก็ตามที่มันถูกล้มลง มอนสเตอร์จากนรกที่ถูกเรียกว่า ‘สฟิงซ์นรก’ จะปรากฏตัวออกมา

นั้นแหละถึงจะเป็นจุดไฮไลต์ของเรื่องที่แท้จริง

[ดำเนินการเข้าสู่ห้องบอส]

ศาสตราจารย์ 4 คน และนักเรียนใหม่ 4 คน

ด้วยพลังที่เกิดจากการรวมมือกับของพวกจอมเวทย์ระดับสูง บอสมอนสเตอร์ตนนี้ที่ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับสถานการณ์นี้ได้สูญเสียความแข็งแกร่งของมันลงไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่ถูกอัดเด้งไปรอบ ๆ เหมือนกับว่าเป็นลูกบอลจากคนทั้งสี่คู่

จุดประสงค์แรกที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่า มันเป็นกลไกที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนทั่วไปทำอะไรไม่ถูกเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์และเด็กใหม่คนที่ได้ที่ 1 , ที่ 2 และที่ 3

ฟิโอเลนจงใจที่จะไม่ใส่เต็มแรงในการต่อสู้กับบอสมอสเตอร์

และในท้ายที่สุดเสียง ‘เปาะ’ ก็ดังขี้น

[บอสมอนสเตอร์ได้ถูกปราบปราม]

ทุก ๆ คนได้เข้าหาบอสมอนสเตอร์ตนนี้เพื่อเก็บชิ้นส่วนของมัน

ฟิโอเลนได้จับไปที่ข้อมือของศาสตราจารย์ที่อยู่ในทีมเดียวกันกับเขา ศาสตราจารย์สาวที่เขาได้พามาด้วย

“ค่อยเดี่ยวก่อนครับ ผมรู้ว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ อยู่”

“หะ? แปลกหรอ?”

สิ่งที่แปลก ๆ นะหรอ?

มันไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก

เขาแค่พูดไปเพราะว่าเขารู้อนาคตเท่านั้นเอง

“บางอย่าง…”

ในจังหวะที่ฟิโอเลนจงใจที่จะพูดอย่างช้า ๆ เพื่อให้เขาพูดไม่จบประโยคดี

ร่างกายของบอสมอนสเตอร์ก็ได้ระเบิดออก

มันได้กระจายไปทุกทิศทุกทาง ลายเส้นสีแดงแปลก ๆ ได้ปรากฏออกแล้วกลายมาเป็นวงเวทย์ที่แปลกตา

เป็นเวทมนตร์ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงและเติบโตขึ้นผ่านความตาย

มันคือ ‘เวทมนตร์ดำ’ ที่เป็นเวทมนตร์ต้องห้ามในโลกเวทมนตร์

ฟิโอเลนรู้ว่าใครคือคนที่ใช้เวทมนตร์นี้

อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญในตอนนี้

ในตอนนี้เอง

ที่เวทีสำหรับมันได้ถูกจัดตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว

สฟิงซ์นรก

สัตว์ร้ายจากนรกที่มีพลังมานาจำนวนมหาศาลที่มีอย่างน้อยก็เกิน 150

เหล่าศาสตราจารย์และนักเรียนใหม่ นั้นที่ไม่เคยได้ต่อสู้กับมันก็ไม่สามารถที่จะปราบมันลงได้

หลังจากที่มีคนตายไปเป็นจำนวนมากแล้ว อาราเซลลีจากอีก 20 ปีในอนาคตได้จัดการค้นหาจุดอ่อนของสฟิงซ์นรกจนเจอและเอาชนะมันมาได้หลังจากที่ได้รวบรวมนักเวทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นจำนวนมาก

ในตอนนั้นตอนที่โลกทั้งใบกำลังเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมของเธอ เธอได้ลองพยายามที่จะคาดเดาว่าสัตว์อสูรนรกแรงค์ S ตนนี้นั้นปรากฏตนขึ้นมาได้ยังไง

แต่ในครั้งนี้ สปอตไลท์ได้ส่องสว่างลงไปที่ฟิโอเลน

“อ๊าก!”

[บ-บ้าเอ้ย!]

[ฉุกเฉิน! ฉุกเฉิน!]

ในโลกที่ดูน่ากลัวที่เต็มไปด้วยสีแดง นักเวทย์ 7 คนได้มองดูไปรอบ ๆ ด้วยความวิตกกังวลแล้วในตอนนั้นเองฟิโอเลนก็ได้พูดออกมาอย่างสงบ ๆ

“ทุกคนครับ ได้โปรดฟังผมสักแปบหนึ่งผมมีแผนครับ”

“หะ? นี่เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?”

“เฮ้! ฟิโอเลน! แกมันเป็นแค่สามัญชนนะ เพราะงั้นหยุดพูดอะไรที่มันไร้สาระได้แล้ว!”

“…ฟังที่เขาพูดก่อนเถอะ”

แน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องมีพล็อตเรื่องซ้ำซากแบบนี้อยู่

คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความสงสัย อีกคนพยายามที่จะทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากยิ่งขึ้น และส่วนอีกคนก็พยายามที่จะมองโลกในแง่ดี

อย่างไรก็ตามฟิโอเลนไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนใหม่นั้นพูดดังนั้นแล้วเขาจึงค่อย ๆ เปิดปากของเขาเพื่อที่จะพูด

“สฟิงซ์นรกมีรูปแบบและเทคนิคที่เหมือนกับบอสมอนสเตอร์ที่เราพึ่งได้เผชิญหน้าไปครับ”

“จ-จริงอย่างงั้นหรอ? แล้วแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

“ฉันอ่านมันในหนังสือก่อนหน้านี้ ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นมันที่นี้”

ฟิโอเลนค่อย ๆ อธิบายจุดอ่อนของสฟิงซ์นรกอย่างสงบ ๆ ในขณะที่จ้องมองไปที่ยูซอดัม

ศาสตราจารย์น่ารำคาญคนที่ได้ทำให้แผนของเขาพังทลายลง

เขายังคงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคน ๆ นี้

ในอีกความหมายก็คือ มันหมายความว่าเขาไม่ได้เป็นตัวตนที่สำคัญและเป็นแค่ตัวละครเสริมที่ตายอยู่ตรงที่ไหนสักที่

ถึงอย่างนั้นแล้วเขาไม่ได้ต้องการที่จะเห็นตัวแปรเช่นนี้มีอยู่ต่อไป

‘เขาจะต้องตายในวันนี้’

ฟิโอเลนจงใจที่จะวางตำแหน่งของยูซอดัมในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละคน

ช่างบังเอิญเสียจริงที่ การจู่โจมต่อกรกับสฟิงซ์นรกนั้นเป็นไปได้ด้วยคนจำนวนแปดคนเท่านั้นพร้อมด้วยการที่แต่ละคนจะต้องรับบทบาทที่สำคัญแตกต่างกันไป อย่างเช่น เป็นตัวชนในแนวหน้า ตัวโจมตีสฟิงซ์นรก หรือไม่ก็คนที่คอยวาดวงเวทย์

กว้ากกกก…!!!

เสียงคำรามของสฟริงซ์นรกได้ดังขึ้นมา ฟิโอเลนได้ส่งสัญญาณให้กับทุกคนและตะโกนออกมา

“ตอนนี้แหละ!”

การสั่งการของฟิโอเลนนั้นสมบูรณ์แบบ

นี้เป็นเพราะว่าเขาได้ทำการเตรียมการณ์สำหรับช่วงเวลานี้มาตั้งแต่ที่เขาได้ย้อนเวลากลับมา

ด้วยความคิดที่ทุก ๆ คนคงจะมีอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขา

‘โถ้เอ้ย ถ้าฉันได้กลับไปนะ ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้และทำตัวให้ต่างออกไป’

แม้ว่าก่อนที่จะย้อนกลับมาฟิโอเลนได้จินตนาการถึงมันอย่างต่อเนื่องว่าอะไรที่ได้ซ่อนอยู่ในรองเท้าของอาราเซลลี

นั้นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงสามารถที่จะคัดลอกงานของอาราเซลลีได้อย่างง่ายได้กว่าคนอื่น ๆ

‘ฮ่าฮ่า นี่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความพยายามของฉันเอง’

สัตว์อสูรนรกแรงค์ S

มอนสเตอร์ที่แสนทรงพลังที่ถ้าได้ปล่อยมันเข้าไปในเมืองเล็ก ๆ เมืองไหน เมืองนั้นคงได้หายไปจากแผนที่แน่นอน

แต่ในตอนนี้ภายใต้การสั่งการของฟิโอเลน พวกนักเรียนและศาสตราจารย์ทุกคนได้รวมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบในการโจมตีสัตว์อสูรนรกแรงค์ S ตนนี้

โดยไม่มีคนตายเลยสักคน

ราวกับว่ามันได้ถูกวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว

มันช่างเป็นการจู่โจมที่สะอาดและสมบูรณ์แบบ

ตึง!!

ในจังหวะที่สฟิงซ์นรกได้ล้มลง

ฟิโอเลนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปและหายใจเข้าลึก ๆ

มันช่างหน้าเบิกบานใจเสียจริง

มันไปถึงจุดที่ร่างกายทั้งร่างของเขาสั่นทึมและความรู้สึกที่แสนสดชื่นได้เอ่อล้นออกมาจากใจของเขา

เขาได้จินตนาการถึงช่วงเวลานี้อย่างต่อเนื่อง

ว่าถ้าแค่เขาสามารถที่จะกลับไปในอดีตพร้อมด้วยความรู้จากอนาคตเขาได้หละก็ เขาจะทำมันให้ดีกว่าเดิม

นี่เป็นก้าวแรกของเขาในการที่จะกลายมาเป็นนักเวทย์ดังนั้นเขาได้เคยคิดเกี่ยวกับความคิดนี้อย่างสิ้นหวังมากแล้ว

นักเรียนใหม่ชั้นปีที่ 1 คนที่ปราบสัตว์อสูรนรกแรงค์ S ได้สำเร็จโดยปราศจากความช่วยเหลือใด ๆ

ด้วยจุดนี้เองที่ชื่อของฟิโอเลนจะได้รับการบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์

….นี่เป็นผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวที่น่าจะเป็นไปได้

‘…หืม แล้วแฟรี่ไปอยู่ไหน…?’

มันแปลก

เขาเป็นคนที่สั่งการในสถานการณ์นี้และมันควรจะเป็นตำแหน่งของเขาเองที่น่าจับตามองมากกว่าทุก ๆ คนสิ

แต่ทำไมถึงไม่มีแฟรี่ที่คอยถ่ายวิดีโอเหลืออยู่สักตนเลยหละ?

ด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดก็ตามเขามีความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง

เขาหันหน้ากลับไปมองที่ยูซอดัม

ซอดัมได้ถ่ายทอดสดทุก ๆ อย่างตั้งแต่วินาทีที่มันเริ่มจนถึงในตอนที่สฟิงซ์นรกได้ถูกปราบลงต่อหน้าของแฟรี่นับร้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“ในตอนนี้เรามั่นใจได้แล้วว่าความผิดปกติทั้งหมดที่เราได้พบในดันเจี้ยนนี้รวมทั้งสัตว์อสูรนรกแรงค์ S สฟิงซ์นรกนี่มาจากที่ไหน”

หะ?

ในช่วงเวลาสั่น ๆ หลังจากนั้นเอง

“…นักเรียนใหม่ฟิโอเลนมันชัดเจนเลยว่านี้เป็นฝีมือของนาย”

นี่….

ฟิโอเลนพร้อมด้วยสีหน้าทีสับสนได้หันหน้าของเขากลับไป

เหล่าศาสตราจารย์และนักเรียนใหม่คน ๆ อื่นที่พึ่งจะฟังคำสั่งการของเขาไปโดยปราศจากคำถามใด ๆ เลยได้ชี้ไม้กายสิทธิ์ของตนเองมาที่ตัวของฟิโอเลนในขณะที่ถอยห่างออกไป

เขาได้เขาใจในในสิ่งที่ตัวเขาเองลืมไปก็ตอนนี้เองว่า

ความจริงที่มีศาสตราจารย์คนหนึ่งได้ถ่ายทอดสดความผิดปกติที่เกิดขึ้นในดันเจี้ยนนี้อย่างต่อเนื่องไว้

เขาไม่เคยคิดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย

เพราะว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในความทรงจำของเขา

ผู้ย้อนกลับไม่สามารถที่จะรับมือกับอะไรก็ตามที่เขาไม่รู้ได้เลย

“เดวก่อนครับ คอยเดี่ยว ผมได้ทำงานหนักกว่าทุกคนที่นี้เพื่อที่จะเอาชนะเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ซะอีกนะ”

“…งั้นเธอรู้เกี่ยวกับสฟิงซ์นรกมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”

ศาสตราจารย์ได้ถามออกมา

มันเป็นคำถามเล็ก ๆ น้อย ๆ

ภายใต้สถานการณ์ที่ปกติคำถามนี้เป็นธรรมดาที่จะต้องตกลงไปในไดอาล็อกที่ซ้ำซากของการถามตอบที่เกิดขึ้นจาก ‘การแก้ไขของตัวเอก’ แน่

แต่อย่างไรก็ตามที่ตรงนี้มีตัวละครลับบางตัวที่สามารถที่จะต่อต้าน ‘การแก้ไข’ ของตัวเอกได้

ยูซอดัม

เขาได้พูดถึงความสงสัยของเขาอย่างต่อเนื่องในขณะที่ได้โจมตีดันเจี้ยนนี้

[ทำไมความผิดปกติพวกนี้ถึงได้เกิดขึ้นได้ในดันเจี้ยนที่ปลอดภัยเช่นนี้กัน?]

[มีบางอย่างที่น่าสงสัยกำลังเกิดขึ้นแน่]

[สถานะของดันเจี้ยนนี้มันแปลกออกไป]

ที่ละเล็กที่ละน้อยที่ความสงสัยเหล่านั้นได้เริ่มที่จะก่อตัวขึ้นเป็นคำถามที่อยู่ภายในใจของทุกคน

ราวกับว่าได้รับคำตอบของคำถามเหล่านี้ในตอนที่สฟิงซ์นรกปรากฏตัวขึ้นมา

มันเป็นตอนที่หน้าใหม่คนนี้ได้โจมตีสฟิงซ์นรก บางสิ่งที่พวกเขาไม่แม้แต่กระทั้งจะเคยได้ยินมาก่อนที่มันดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันช่างดูสมบูรณ์แบบไปหมดเลยสำหรับคนคนเดียว

ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นมันก็คงจะเต็มไปด้วยความสงสัยเหมือนกัน

พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากได้แต่ต้องสงสัย

“ย-ยาฮิเรน ศาสตราจารย์..ผมเคยอ่านมันมากจากหนังสือ…”

ฟิโอเลนได้พูดกับคู่หูของเขาแต่เธอเองก็ยังคงชี้คถาของเธอมาที่เขาด้วยสภาพที่สั่นเทาเช่นกัน

“ข้อมูลของสฟิงซ์นรกนั้นไม่ได้รับการบันทึกลงในหนังสือใด ๆ เพราะว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม แม้ว่ามันจะมีตัวตนอยู่มันก็เหมือนกันนิทาน…ที่เป็นประเภทของหนังสือที่ไม่แม้กระทั้งจะมีตัวตนอยู่”

“ศาสตราจารย์ครับ…!”

“ฟิโอเลน ราคาของการใช้เวทมนตร์ดำคือวิญญาณของเธอ…เธอไม่รู้เลยหรือไงในตอนที่เธอใช้มัน?”

“ม-ไม่ครับ! ผมไม่ได้ใช้เวทมนตร์ดำนะครับ!”

“ถ้าอย่างนั้น”

มันมาได้อย่างไร

“สฟิงซ์นรกตัวนี้และดันเจี้ยนนี้ที่เธอจัดการทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบมากในเมื่อแม้กระทั้งศาสตราจารย์อย่างพวกเราก็ไม่สามารถที่จะทำแบบนี้ได้งั้นหรอ?”

ด้วยน้ำเสียงที่คร่ำครวญ ศาสตราจารย์ยาฮิเรนได้พูดออกว่ามา

“แม้กระทั้งในตอนนี้เองเธอก็ยังจะมาหาข้อแก้ตัว ได้โปรดเถอะฉันอยากที่จะเชื่อเธอจริง ๆ นะเธอไม่ได้เป็นเด็กแบบนั้นใช่ไหม? ใช่ไหม?”

แต่ว่า

ถ้าเขาตอบออกไปว่า

นี่เป็นสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมันเนื่องจากได้ย้อนเวลากลับมางั้นหรอ?

เขาจะพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไงกัน?

พูดไปแล้วพวกเขาจะเชื่ออย่างนั้นหรอ?

และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อก็ตาม

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงจะเป็นการที่จะถามว่า

‘แล้วทำไมเธอถึงไม่บอกพวกเราเกี่ยวกับอันตรายนี้ตั้งแต่แรกหละ?’

“เดียวก่อนครับ คอยเดียวก่อน! ผมรู้ผู้ร้ายตัวจริงถ้าพวกเราออกไปจากที่นี้ผมสามารถพิสูจน์…”

ปัง!!

“ชึก!”

ในตอนที่ฟิโอเลนได้กรีดร้องออกมา ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง

มันเป็นเวทมนตร์แปลก ๆ ที่ถูกใช้โดยคนเพียงคนเดียวเท่านั้น

นักเวทย์สายต่อสู้ที่เป็นศาสตราจารย์พิเศษในสถาบันวิเวียนด้า

มันคือยูซอดัมเอง

“เราไม่สามารถที่จะปล่อยให้เวทมนตร์ดำหลุดรอดออกไปได้ครับ”

แล้วพวกเขาก็ได้เห็นว่าฟิโอเลนได้ยืนขึ้นโดยที่ปราศจากรอยขีดขวดใด ๆ หลังจากที่ถูกยิงไป

“ฉันขอออกคำสั่งในสนามรบนี้ในฐานะของนักเวทย์สายต่อสู้ จากที่นี้ในตอนนี้เวทมนตร์ดำจะต้องถูกทำให้เป็นกลางครับ”

ยูซอดัมได้รีโหลดกระสุนให้กับเมก้าซูตเตอร์ของเขา

มันกลายมาเป็นอย่างนี้ได้ยังไงกัน?

ฟิโอเลนไม่สามารถที่จะเข้าใจมันได้

นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในอนาคตที่เขารู้เลย

มันไม่มีอนาคตไหนที่จะสมบูรณ์แบบไปมากกว่านี้อีกแล้ว

งั้นแล้วทำไมกัน

แล้วในตอนนั้นเอง

ฟิโอเลนได้จ้องมองไปที่ยูซอดัมโดยสัญชาตญาณ

ที่มุมปากของยูซอดัมได้ยกขึ้นอย่างช้า ๆ ที่มีเพียงฟิโอเลนเท่านั้นที่สามารถเห็นมันได้

‘ไอ้งี่เง่าเอ้ย นี่ไงหละวิธีที่แกใช้ในการเขียนอนาคตขึ้นมาใหม่’

ถ้าผู้ย้อนกลับมีปีกและสามารถบินสูงขึ้นไปได้โดยการใช้ความรู้ที่ได้รับมาจากอนาคต

ถ้างั้นหละก็มันก็เป็นเพราะว่าข้อมูลจากอนาคตเหมือนกันที่ทำให้ในตอนนี้ทุกอย่างได้พังทลายลง