ตอนที่ 145

Silver Overlord

145 – ทายาทหมอพเนจร

เอี้ยนลี่เฉียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“ข้าเพียงเดินไปที่ประตูนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็จะรับข้าโดยไม่สอบถามภูมหลังเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาจะไม่ทําเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่เมื่อมีสิ่งนี้พวกเขาจะไม่มีวันปฏิเสธเจ้า!”

หลิวกุ้ยหยวนหยิบกุญแจอันเดียวกับที่เขากําลังมองหาบนภูเขาหลงหูโมอบให้เอี้ยนลี่เฉียง

“เมื่อเข้าไปถึงนิกายแล้วมอบกุญแจนี้ให้กับพวกเขาบอกพวกเขาว่าเจ้าขอเป็นศิษย์ที่นี่!”

เอี้ยนลี่เฉียงมองดูกุญแจในมืออย่างประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่ากุญแจดอกเล็กๆนี้จะมีความสามารถอันยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น

มันเป็นแค่กุญแจโลหะที่ดูธรรมดามาก มันไม่แตกต่างจากลูกกุญแจทั่วไป อย่างมากที่สุดก็มีเพียงลวดลายบางส่วนเท่านั้นที่ประทับอยู่

เป็นไปได้อย่างไรที่เขาสามารถเข้าร่วมกับนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่พึ่งพามัน?

“ท่านอาจารย์ กุญแจนี้เป็นของที่ระลึกของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”

“ถูกต้อง กุญแจนี้จะถูกมอบออกไปโดยผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เมื่อพวกเขาออกไปทํางานด้านนอก พวกเขาจะทิ้งกุญแจแบบนี้ไว้ให้ใครบางคนที่เป็นผู้มีพระคุณของพวกเขา

ดังนั้นเมื่อใครก็ตามที่ถือกุญแจดอกนี้กลับมาที่นิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์พวกเราก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบรับคําเรียกร้องของคนผู้นั้น

กุญแจดอกนี้ในอดีตผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายได้มาปฏิบัติหน้าที่ในแคว้นหู เขาได้ต่อสู้กับศัตรูและพลัดตกลงไปในแม่น้ําก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์พเนจรคนหนึ่ง

ดังนั้นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จึงได้มอบกุญแจนี้ให้กับแพทย์พเนจรพร้อมกับบอกให้เขานํามันมาที่นิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หากต้องการความช่วยเหลือ…”

“ข้าจะมีปัญหาในการถือกุญแจนี้หรือไม่”

“นั้นจะขึ้นอยู่กับความประสงค์ของสวรรค์!” หลิวกุ้ยหยวนถอนหายใจ

“ผู้อาวุโสคนนั้นเสียไปเมื่อสองสามปีก่อน ก่อนที่เขาจะจากไป เขาขอให้ข้ามาตามหาหมอเร่ร่อนคนนั้นเพื่อดูว่าเขามีสภาพความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง

เมื่อสองปีที่แล้วข้ามาถึงแคว้นหูแล้วพบว่าหมอพเนจรซึ่งก็มีอายุมากแล้ว เขาไม่ได้มีทายาทและไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไรจึงมอบกุญแจนี้คืนมาให้กับข้า

เมื่อเจ้าส่งมอบกุญแจนี้ออกไปเจ้าก็บอกว่าเป็นหลานชายของหมอพเนจรคนนั้นแล้วตัวตนของเจ้าก็จะสมบูรณ์ไม่ถูกเปิดเผย…”

” จะเกิดอะไรกับข้าเมื่อกลายเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์?”

“เจ้าต้องฝึกฝนเหมือนศิษย์คนอื่นๆในนิกาย ข้าจะไม่ให้สิทธิพิเศษใดๆแก่เจ้า เจ้าจะต้องพึ่ง พาตนเองในทุกสิ่ง

อย่าเปิดเผยความสัมพันธ์ของเรากับผู้ใด ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดนักสู้ก่อนข้าถึงจะออกมารับเจ้าเป็นศิษย์ประจําตัว!”

“ท่านอาจารย์ ท่านไม่เคยสงสัยภูมิหลังของข้าหรือ”

“ข้ารู้เพียงว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรก็พอแล้ว ภูมิหลังของเจ้าจะเป็นอย่างไรข้าไม่เคยสนใจ”หลิวกุ้ยหยวนมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา

“เด็กหนุ่มที่อายุเท่าเจ้าควรอยู่แต่บ้าน กตัญญูต่อบิดามารดาในขณะที่เพลิดเพลินกับความอบอุ่นของครอบครัว กระนั้นเจ้ายังพเนจรอยู่ตามลําพัง ประสบกับความทุกข์ยากทุกรูปแบบ

เจ้าพยายามดิ้นรนเข้าศึกษาในนิกายหลักของอาณาจักรบางที่อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้ามาจากครอบครัวที่แตกสลาย ความสามารถในการแก้แค้นของเจ้าไม่เพียงพอจึงคิดจะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของนิกายเหล่านี้เพื่อฝึกฝนตัวเอง?”

ดวงตาของเอี้ยนลี่เฉียงแดงเล็กน้อย เขากัดริมฝีปากและพยักหน้า

“จงฝึกฝนให้ดีเมื่อเจ้าอยู่ในนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ปัจจัยเดียวที่จะทําให้เจ้าแก้แค้นได้ก็คือความสามารถของตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่เจ้ามีความสามารถเพียงพอแล้วเจ้าก็จัดการศัตรูของเจ้าเหมือนกับฆ่าไก่เท่านั้น ๆ

เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้ากับคําพูดของเขา

สองวันต่อมาเอี้ยนลี่เฉียงยืนอยู่นอกประตูภูเขาของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมองไปที่ประตู เขาไม่สามารถสลัดความประหลาดใจที่เต็มหัวใจของเขาออกไปได้…

ภายในรัศมีกว่าสองพันทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสมบัติของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาสู งชั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าตื่นตาตื่นใจ พวกมันนสูงชันจากพื้นดินและทะลุผ่านโดมสีฟ้าแห่งสวรรค์

ยอดเขาที่สูงที่สุดนั้นมองไม่เห็นเมฆและหมอกปกคลุมไว้จนหมดสิ้นและมองเห็นเพียงแค่น้ําตกที่ลดหลั่นกันอยู่ตามไหล่เขา ทิวทัศน์รอบตัวเขาเหมือนสวรรค์ แม้แต่ภูเขาที่เตี้ยที่สุดก็ยังสูงประมาณหนึ่งพันวา

เอี้ยนลี่เฉียงนึกไม่ออกว่าต้องใช้ฝีมือพิเศษขนาดไหนเพื่อสร้างความอัศจรรย์เช่นนี้ ประตูภูเขาทั้งหมดของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประกอบด้วยประตูสูงตระหง่านเก้าประตูที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน

มีขั้นบันไดที่นําไปสู่ประตูไม่น้อยกว่าสามร้อยหกสิบขั้น เอี้ยนลี่เฉียงขึ้นบันไดอย่างช้าๆและเห็นทุ่งกว้างขวางคล้ายกับจัตุรัสสาธารณะหน้าประตูภูเขาของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

เด็กหนุ่มสาวจํานวนนับไม่ถ้วนกําลังเดินผ่านประตูภูเขาพวกเขาต่างสะพายกระบี่ยาวไว้ที่หลังแต่ละคนดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณการต่อสู้ที่สูงส่ง

ภายใต้แสงแดดแสงสะท้อนของใบมีดก็ส่องให้เห็นเป็นครั้งคราวบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป ดูเหมือนว่าหลายคนกําลังฝึกกระบอยู่บนยอดเขานั้น

เมื่อเห็นเอียนลีเฉียงยืนอยู่นอกประตภูเขาของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

เด็กหนุ่มสาวจํานวนมากที่ผ่านประตภูเขาก็เหลือบมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาแอบประหลาดใจกับความน่าดึงดูดใจของเอี้ยนลี่เฉียง

“ว้าว เด็กหนุ่มคนนั้นช่างหล่อเหลาจริงๆเขาเป็นศิษย์ของนิกายเราหรือเปล่า!”

“บางทีเขาอาจต้องการเข้าร่วมนิกายของเรา!” “แต่ตอนนี้นิกายยังไม่รับสมัคร…”

“บางทีเขาอาจต้องรอไปก่อน”

การสนทนาระหว่างผู้คนในบริเวณโดยรอบดังขึ้นเป็นครั้งคราว

เอี้ยนลี่เฉียงสูดหายใจเข้าลึกๆขณะที่ลูบไล้กุญแจในมือก่อนจะเดินไปที่ประตูสํานักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก้าวใหญ่

หลี่กุ้ยหยวนไม่ได้อยู่ที่นิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในขณะนี้ เขาจะกลับมาหลังจากผ่านไปสองสามเดือนโดยจงใจเลือกเวลาที่แตกต่างจากการมาถึงของเอี้ยนลี่เฉียงเพื่อไม่ให้ใครสงสัยถึงความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา

แม้แต่ตอนที่หลิวกุ้ยหยวนกลับมาเขาก็จะไม่สังเกตเห็นศิษย์ธรรมดาอย่างเอี้ยนลี่เฉียงที่ยังไม่ได้เป็นนักรบ ดังนั้นก่อนที่เอี้ยนลี่เฉียงจะก้าวขึ้นเป็นนักรบขั้นสูงสุดเขาจะได้ไม่ได้พบกับอาจารย์อีกนานกว่าสองสามปี

เขาจะต้องพึ่งพาตัวเองในทุกสิ่ง จากมุมมองของหลีกุ้ยหยวนนี้เป็นเพียงการทดสอบเล็กน้อยสําหรับเขาในการเข้าร่วมนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

ผู้พิทักษ์นิกายของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบปกป้องเมล็ดพันธุ์ของนิกายให้อยู่รอดต่อไป

ดังนั้นทายาทของพวกเขาจะต้องมีความแข็งแกร่งและมีจิตใจซื่อสัตย์มีความอุตสาหะ อดทนจึงจะสามารถรับตําแหน่งนี้ได้

เอี้ยนลี่เฉียงรู้ดีว่าหากเขาต้องการแก้แค้น นิกายนี้คือความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาเขาต้องกลายเป็นผู้โดดเด่นที่สุดของนิกายเท่านั้นจึงจะมีโอกาสแก้แค้นได้สําเร็จ