เมื่อได้ยินดังนั้น แผ่นหลังของห้วนหมิงเสียงก็แข็งเกร็ง ขณะเดียวกัน เขาก็ยื่นมือออกไปหยิบตำราคู่มือธาตุดินที่เขาเจอก่อนหน้านี้ออกมาอย่างเงียบๆ ยิ่งเขาอ่าน ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเขียนได้ไม่ดีนัก

แต่มันก็เพียงพอที่จะช่วยแนะแนวทางได้ ห้วนหมิงเสียงหันหน้าไปพูดกับร่างมนุษย์ว่า “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เจ้าไปทำธุระเถอะ ข้าต้องไปตามเวลานัด”

“ขอรับ” ร่างมนุษย์คนนั้นถอยออกไปด้วยความเคารพ พร้อมกับมองดูใบหน้าด้านข้างของชายชรา เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้อาวุโสห้วนใส่ใจใครคนหนึ่งอย่างมาก ดูเหมือนว่าในความคิดของผู้อาวุโสห้วนนั้นคุณหนูเฮ่อเหลียนควรจะได้รับการคัดเลือก

เพียงแต่ว่า…

ผู้ฝึกปราณธาตุดินจะไปสู้กับพวกอัจฉริยะจากหอชั้นเลิศได้อย่างไรกัน การแข่งขันครั้งนี้ก็คงจะจบลงก่อนที่จะได้เริ่มแข่งด้วยซ้ำ

ไม่ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่นางไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง…

เมื่อพระอาทิตย์ตก

มันคือชั่วยามแห่งการพบกับปีศาจที่แท้จริง

ณ มุมหนึ่งของย่านการค้า แสงของพระอาทิตย์กำลังทอดลงมา ทำให้บริเวณโดยรอบกลายเป็นสีเหลืองทอง

โลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีส้มอันงดงาม

ท้องฟ้าสีครามนั้นดูราวกับเป็นมหาสมุทรที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน

นกสีดำตัวใหญ่ส่งเสียงร้องจากบนท้องฟ้าเป็นครั้งคราว

เมฆสีขาวดุจกำมะหยี่สีเงินนั้น ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าสีคราม

แสงสว่างลอดผ่านรอยแยกของพุ่มไม้ ก่อให้เกิดแสงไฟเป็นจุดและเป็นเส้นที่กำลังพลิ้วไหวอยู่ด้านหลัง

แสงที่เป็นจุดๆ เหล่านั้นราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า พวกมันกระจัดกระจายไปทั่วต้นไม้ใหญ่อีกฝั่ง และยังตกกระทบลงบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ทำให้นางรู้สึกสบายอย่างมาก จนหลับตาลงและเหยียดตัวออก หญิงสาวหันหน้าไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสห้วนน่าจะกำลังมาถึงในอีกไม่ช้านี้ เจ้านั่งรอตรงนี้ก่อน ข้าจะออกไปดู”

“ตกลง” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถือถ้วยชาไว้ในมือของตนเอง ปลายนิ้วมือของเขาหมุนเบาๆ ดวงตาเรียวแคบของเขาที่ดูล้ำลึกคู่นั้น ในตอนนี้ ราวกับว่ามันถูกย้อมให้กลายเป็นสีทองเข้ม ทำให้มีเสน่ห์ราวกับเป็นลูกครึ่ง

สมองของเฮ่อเหลียนเวยเวยนึกถึงคำว่า ‘ปีศาจเจ้าเสน่ห์’ อย่างอดไม่ได้ ขณะที่นางเดินไปอีกด้านหนึ่ง ห้วนหมิงเสียงก็เพิ่งจะมาถึงพร้อมกับถือไม้กวาดอยู่ในมือพอดี

“แล้วเพื่อนร่วมโต๊ะคนนั้นของเจ้าอยู่ที่ใดหรือ ทำไมข้าถึงไม่เห็นเขาล่ะ” ห้วนหมิงเสียงเอาน้ำหนักถ่วงที่อยู่ตรงแผ่นหลังของตัวเองออกไป ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน และปลดเปลื้องการปลอมตัวของตัวเองจนสิ้น ทันใดนั้น จิตวิญญาณและความแข็งแกร่งของการฝึกตนของผู้อาวุโสก็ปรากฏขึ้นในทันที

เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะบอกว่าเขาอยู่ด้านใน แต่แล้ว นางก็เห็นว่าคนๆ นั้นเดินตามตนเองมาทางนี้พอดี

เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปยิ้มให้ห้วนหมิงเสียง “เขากำลังมา”

“ดี แต่ข้าต้องบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าล่วงหน้า สำหรับผู้ฝึกปราณธาตุดินแล้วนั้น แม้ว่าเขาจะฝึกฝนอย่างเหน็ดเหนื่อยมากแค่ไหน แต่เขาก็คงไม่สามารถพัฒนาได้ภายในเวลาแค่หนึ่งวัน…” ห้วนหมิงเสียงยังพูดไม่จบ เสียงของเขาก็ขาดหายไป เพราะร่างของคนๆ นั้นทำให้เสียงติดอยู่ในลำคอของเขา

ในขณะที่คนๆ นั้นเดินเข้ามาใกล้ รูม่านตาสีน้ำตาลของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ใบหน้าชราที่มักจะสงบอยู่เสมอ กลับดูประหลาดใจอย่างยิ่ง

แสงอาทิตย์ทอประกายบนใบหน้าอันงดงามด้านข้างของชายหนุ่มคนนั้น ทำให้ดูราวกับเป็นรูปปั้นแกะสลักจากน้ำแข็ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังเผยให้เห็นถึงความเรียบเฉยออกมาด้วย

ใบหน้าที่เยือกเย็นและสูงส่งนั้นราวกับถูกย้อม จนทำให้เขามีสีสันเปล่งประกายมากขึ้น

เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างสง่างาม นัยน์ตาสีอำพันของเขาสะท้อนให้เห็นแสงสีทองยามเย็นที่บริสุทธ์และดูสูงส่ง ราวกับเป็นใบมีดสีทองที่กวัดแกว่งอย่างเยือกเย็น เสื้อคลุมยาวสีดำบนร่างกายของเขาลอยพลิ้วไปกับสายลม ราวกับเป็นหมอกควันสีดำที่ห่อหุ้มร่างกายเพรียวบางแต่แข็งแกร่งของเขาเอาไว้

เช่นเดียวกับหมึกคุณภาพสูงที่เขียนลงบนกระดาษคุณภาพดี และคลายตัวออกจากกล่องไม้จันทน์สีแดงอันสวยงาม ทุกๆ การตวัดแปรงนั้นแยกสีดำและสีขาวออกจากกัน มันไหลลื่น แต่ก็ชัดเจน ราวกับว่าโลกอันกว้างใหญ่นั้นถูกสร้างขึ้นจากปลายแปรงพู่กันของเขาในชั่วพริบตา

เมื่อมองดูใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์และไม่มีผู้ใดเทียบได้นั้น ห้วนหมิงเสียงก็ตกตะลึงอย่างมาก

ร่างกายของเขาเหมือนกับถูกฟ้าผ่าไปทั้งตัว จนภายนอกนั้นไหม้เกรียม และข้างในก็กรอบไปหมด

ใครก็ได้บอกเขาที ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น

ไอ้เจ้าเด็กน้ำแข็งที่น่ารังเกียจ จนเขาต้องปวดฟันทุกครั้งที่นึกถึง ทำไมเขาถึง…ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ฝึกปราณธาตุดินไปได้

“ผู้อาวุโสห้วน ไม่เจอกันนานเลยนะขอรับ” ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่องค์ชายสามเป็นคนสองหน้าเลย ในตอนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกตะหงิดใจ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เคยบอกเอาไว้แล้วว่าพวกเขาเคยพบกันมาก่อน ในกรณีนี้เขาจึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผู้อาวุโสถึงได้มองเขาอย่างประหลาดใจเช่นนี้

เมื่อห้วนหมิงเสียงได้ยินน้ำเสียงสุภาพอย่างมาก หนังศีรษะของเขาก็ชา จนต้องดึงเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาใกล้ๆ “เกิดอะไรขึ้น”

“เกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยร้อง ‘อ้อ’ ก่อนจะยิ้มตอบ “ข้าก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าพวกท่านสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผู้อาวุโสห้วนไม่ต้องกังวล เพื่อนร่วมโต๊ะของข้าคนนี้จะปิดปากเอาไว้ให้สนิท เขาจะไม่เผยแพร่ข่าวเรื่องที่ท่านอยู่ในสำนักไท่ไป๋ให้คนอื่นๆ รู้แน่นอน”

ห้วนหมิงเสียงพูดอย่างกังวลใจ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าถาม ข้ากำลังจะถามว่านี่คือเพื่อนร่วมโต๊ะของเจ้าจริงๆ หรือ”

“ใช่แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกตลก ในขณะที่นางตอบ “ผู้อาวุโสห้วนรู้สึกว่าการที่ข้ามีเพื่อนร่วมโต๊ะนั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเช่นนั้นหรือ”

นิ้วมือของห้วนหมิงเสียงหยุดชะงัก “พูดอีกอย่างคือ เขาเป็นศิษย์จากหอสามัญด้วยเช่นนั้นหรือ”

“อืม”​ เฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งริมฝีปากของตนเอง “ผู้อาวุโสห้วน วันนี้ท่านทำตัวแปลกจริงๆ”

ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสห้วนจะตระหนักได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขามองดวงตาที่ยิ้มแย้มของหญิงสาว เขาก็เลิกคิ้วสูงขึ้นพร้อมกับพูด “เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาคือ…”

“ผู้อาวุโสห้วนขอรับ” ห้วนหมิงเสียงยังพูดไม่ทันจบ ก็มีน้ำเสียงอันเยือกเย็นและชั่วร้ายดังขึ้นขัดจังหวะ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองดูเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม ก่อนจะวางถ้วยชาในมืออย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับเอนตัวไปครึ่งหนึ่ง “เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกข้าว่าท่านต้องการจะสอนเรื่องการฝึกปราณให้กับข้า ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้รับคำแนะนำจากท่าน”

ตอนนี้ หัวใจของห้วนหมิงเสียงเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับว่าเขากำลังกินผลแอปเปิ้ลไปแล้วครึ่งลูก และระหว่างนั้น เขาก็กัดหนอนไปหนึ่งตัว ทำให้เขาไม่สามารถกินต่อได้ แต่ก็ไม่อาจหยุดได้เช่นกัน จนเขาเริ่มสำลักอย่างตื่นตระหนก

เขาจะกำจัดไอ้เจ้าน้ำแข็งคนนี้ไปอย่างไรดี

แค่เห็นหน้าอีกฝ่าย เขาก็อาหารไม่ย่อยแล้วจริงๆ

“เหลือเวลาไม่มากแล้ว พวกเราควรจะฝึกฝนไป และพูดคุยกันไปด้วยดีหรือไม่ขอรับ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินไปอยู่ข้างห้วนหมิงเสียง และยิ้มอย่างชั่วร้าย “ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะพูดคุยกับผู้อาวุโสห้วนเป็นการส่วนตัวอยู่พอดี”

ห้วนหมิงเสียงยืดคอของตนเอง และพูดโพล่งขึ้นว่า “ผู้เฒ่าคนนี้ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า”

“แล้วถ้าเป็นเด็กหนุ่มที่ทำให้ผู้อาวุโสห้วนขุ่นเคืองใจเล่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้วทรงสวยของตนเองขึ้น ดูราวกับว่าเขากำลังเศร้าอย่างมาก “ข้าสามารถเปลี่ยนได้ หากยังไม่ได้ผล ข้าสามารถขอให้ท่านปู่มาพบผู้อาวุโสห้วนที่สำนักแห่งนี้ได้ด้วยเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ท่านปู่’ ห้วนหมิงเสียงก็ตัวแข็งทันที พร้อมกับหันศีรษะมาและตอบไป๋หลี่เจียเจวี๋ย “มากับข้า”

“ขอรับ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เมื่อเขาพูด ก็มักจะทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความเรียบเฉย และไม่ใส่ใจอย่างมาก

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองทั้งสองคนเดินไปทางสนามฝึกซ้อมขนาดใหญ่ คิ้วเรียวยาวของนางเลิกขึ้น ก่อนจะยิ้มออกมา ยิ่งผู้อาวุโสห้วนชอบคนๆ นั้นมากเท่าไหร่ อารมณ์ของเขาก็จะยิ่งแปรปรวนมากขึ้นเท่านั้น

ดูเหมือนว่าเพื่อนร่วมโต๊ะของนางจะถูกชะตากับผู้อาวุโสห้วนอย่างมาก

เฮ่อเหลียนเวยเวยผ่อนคลายและเอนหลังอย่างเกียจคร้าน นางไม่สนใจว่าถ้วยชาใบนั้นจะมีใครบางคนเคยจิบไปแล้ว นางหยิบมันขึ้นมาจิบไปสองสามอึก ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนของอาวุธสองสามชิ้นที่นางพกติดตัวมาในกระเป๋าเสื้อ และเริ่มประกอบมัน โดยไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวในสนามขนาดใหญ่แห่งนั้นเลย…