บทที่ 156 ผู้อาวุโสห้วนประทะองค์ชายสาม

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“นอกจากใช้ชื่อของอดีตฮ่องเต้มาข่มขู่ผู้คนแล้ว เจ้ายังทำอะไรได้อีกเช่นนั้นรึ!” ห้วนหมิงเสียงจ้องไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยความโกรธจัด “ไอ้เด็กตัวเหม็น”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหุบยิ้ม ก่อนจะพูดอย่างไร้อารมณ์ “ข้าสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย ตัวอย่างเช่น บอกตัวตนของท่านให้ทุกคนรู้”

“เจ้า!” ศีรษะของห้วนหมิงเสียงแทบจะระเบิด ขณะที่เขากัดฟันกรอด “เจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้ม เผยให้เห็นความชั่วร้ายที่ทะลุเข้าไปในกระดูก “ชายรูปงามอย่างข้าจะสามารถทำอะไรได้เล่า”

เมื่อเขาพูดคำสามคำว่า ‘ชายรูปงาม’ ขึ้น ห้วนหมิงเสียงก็ราวกับจะสำลัก และไออย่างหนัก

“ดีมาก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงพูดต่อ น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชา แต่ก็ไม่ได้อบอุ่น “ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสห้วนจะลืมไปว่าตัวเองเป็นคนแพร่ข่าวลือว่าข้าเป็นชายรูปงามออกไปเอง”

ห้วนหมิงเสียงมองใบหน้าของผู้ที่มีอำนาจตรงหน้า และก็รู้สึกพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง “ข้าจะไม่ทำลายการแสดงของเจ้าต่อหน้าเด็กสาวคนนั้น ตกลงไหมล่ะ”

ที่ไอ้เด็กคนนี้ขัดจังหวะเขากะทันหัน ไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม

แต่เขากำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่

ถึงได้เข้ามาในสำนักไท่ไป๋ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ และยังเข้ามาในหอสามัญอีกด้วย

หากอาจารย์พวกนั้นรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาจะไม่เสียสติกันเลยหรือ

“แน่นอน หากผู้อาวุโสห้วนสามารถทำเช่นนั้นได้ ก็คงจะดีไม่น้อย แต่…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขยับแขนเสื้อของตน และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูอันตราย “ในอนาคต เมื่อผู้อาวุโสห้วนพูดถึงข้า ก็ควรจะพูดตามความเป็นจริงจะดีที่สุด”

ห้วนหมิงเสียงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ความจริงอะไรกัน” เขาไม่เคยโกหกผู้ใดเลยนะ!

“ตัวอย่างเช่น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนิ่งไปชั่วขณะ และดวงตาของเขาก็มองทอดออกไปไกล “ข้าจิตใจดีอ่อนโยน และเป็นสามีที่ไว้ใจได้ตลอดชีวิต”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ห้วนหมิงเสียงก็มุมปากกระตุก และรู้สึกกระสับกระส่ายไปทั้งตัว “เจ้าจิตใจ…ดี และอ่อนโยนหรือ เจ้าน่ะหรือ” เขาอยากจะถามเจ้าเด็กน้ำแข็งคนนี้เหลือเกิน ว่าตอนที่เขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมา เขาไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ

เห็นได้ชัดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย เขายังคงมองออกไปอย่างสงบและสุขุม ร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยการข่มอารมณ์ตนเอง “อืม ข้าเอง”

“เจ้าเชื่อว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ” ห้วนหมิงเสียงส่งเสียง ‘หึๆ’ ขึ้นสองสามครั้ง

ประกายในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ขยับ ขณะที่กวาดตามองไปทั่วใบหน้าของห้วนหมิงเสียงอย่างสงบ “การประเมินสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการรับฟังของคนอื่นๆ การทำให้คนอื่นเชื่อถือได้ คือสิ่งที่ข้ามั่นใจว่าผู้อาวุโสห้วนสามารถทำได้”

ห้วนหมิงเสียง “…”

นี่เหมือนกับบังคับให้เขาต้องโกหกเพื่อตัวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะพูดเอาไว้ว่าเจ้าเด็กน้ำแข็งคนนี้เป็นคนที่เต็มไปด้วยความมืดมน

ไม่ว่าใครที่ทำให้เขาไม่พอใจ คนๆ นั้นก็จะไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก

“ได้ ในเมื่อพวกเราเข้าใจตรงกันแล้ว ก่อนอื่น พวกเราก็มาแลกเปลี่ยนพลังปราณกันเถอะ” เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หยุดลงเล็กน้อย “นางได้บอกท่านหรือไม่ ว่าพลังปราณของข้าอยู่ในระดับใด”

ห้วนหมิงเสียงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ธาตุดิน” เขาสาบานว่านี่คือคนธาตุดินที่ลวงโลกที่สุดที่เขาเคยพบเจอมาในชีวิต

“ธาตุดินเช่นนั้นหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขมวดคิ้วรูปงามของตนเอง แล้วเอานิ้วจิ้มหน้าผากของเขา ดูเหมือนว่าระดับนี้จะทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้า ดวงตาของเขาไม่ไหวติง ขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ หลังจากนั้น นิ้วมือของเขาก็ขยับ และร่างกายก็เปล่งแสงสีเหลืองจากพื้นดินขึ้นมาจางๆ

ห้วนหมิงเสียงตกตะลึง ภายในดวงตาล้ำลึกของเขานั้น เผยให้เห็นคลื่นลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำ

เขารู้จักความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ดีกว่าใคร

ตั้งแต่ปีแรกที่เขาได้เป็นผู้นำของหน่วยพิฆาตวิญญาณ เขาก็เริ่มชักชวนเจ้าเด็กน้ำแข็งคนนี้ให้เข้ามาเป็นสมาชิก

แต่เขาก็ต้องคว้าน้ำเหลวทุกครั้ง

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ทะลวงผ่านปราณธาตุทองระดับสิบ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ทุกคนต่างก็อิจฉา

อย่างไรก็ตาม ราวกับสวรรค์จะอิจฉาอัจฉริยะ จึงบันดาลให้เกิดเพลิงไหม้ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด จนลากอัจฉริยะผู้หยิ่งยโสคนนี้ตกลงมาจากแท่นบูชาสวรรค์

ในเวลานั้น เขาคิดว่าตนเองน่าจะมีโอกาสอีกครั้ง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง แต่เจ้าเด็กน้ำแข็งคนนี้ก็คิดว่าความสามารถทางด้านพลังปราณของตนเอง อาจจะทำให้เขาสามารถกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในจักรวรรดิจ้านหลงได้

แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม จนทำให้เขาต้องปิดประตู และปฏิเสธที่จะพบเจอผู้คน

และเมื่อนึกย้อนไปถึงตอนนั้น ห้วนหมิงเสียงก็รู้สึกสงสารเขาเล็กน้อย

อย่ามองว่าเขาพูดถึงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่อหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ดี แต่อันที่จริงแล้ว ลูกศิษย์ที่เขาต้องการตัวมากที่สุดคือไอ้เด็กตัวเหม็นคนนี้ต่างหาก

เขาไม่คิดว่าคนที่สูญเสียพลังปราณทั้งหมดไป จะสามารถกวัดแกว่งและเปลี่ยนคุณลักษณะของพลังปราณโดยกำเนิดของตนเองได้อย่างง่ายดาย

และนั่นก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งหนึ่งได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้ พลังปราณในร่างกายของเจ้าตัวแสบนี้ ไม่เพียงแค่อยู่ในระดับสิบของธาตุทองเท่านั้น แต่น่าจะเป็นพลังปราณในคุณลักษณะอื่นๆ ด้วย

และมันก็เป็นเรื่องยากที่จะมีอัจฉริยะเช่นนี้เกิดขึ้นในรอบร้อยปี ไม่ใช่สิ พันปีเลยทีเดียว

แม้แต่เขาเอง การที่จะอยู่ในระดับที่ยุ่งยากเช่นนี้ ในอายุปูนนี้ เขาเองยังมีพลังปราณแค่สองคุณลักษณะเท่านั้น และเขาก็จำเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์วิกฤตจริงๆ เพื่อที่จะสามารถทำให้มันปรากฎขึ้นได้

เดิมที คุณลักษณะของพลังปราณนั้น มีความพิเศษเฉพาะตัว ผู้ฝึกปราณที่ก้าวเข้าสู่คุณลักษณะต่อไปแล้ว จะไม่สามารถใช้งานคุณลักษณะก่อนหน้าได้อีกต่อไป

มิเช่นนั้น ก็จะสูญเสียการควบคุมได้ง่าย และจะทำลายเส้นลมปราณทั้งหมดของคนๆ นั้นทิ้ง

เว้นแต่ว่าจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาโดยกำเนิดเท่านั้น ที่จะสามารถควบคุมพลังปราณสองคุณลักษณะได้พร้อมกัน

สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ ห้วนหมิงเสียงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นสามารถใช้ลมปราณได้กี่คุณลักษณะ

ขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น ก็เห็นเพียงแสงสีแดงกะพริบขึ้นตรงหน้าเขา

เมื่อเขามองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง ร่างกายของเขาก็ดูเหมือนเดินออกมาจากดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ไม่มีจุดใดในร่างกายของเขาที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยไฟเลย

ไฟ…นี่คือธาตุไฟ

ห้วนหมิงเสียงคลายนิ้วมือ และลืมแม้กระทั่งเรื่องของกลอุบายไป ขณะที่เขายืนอยู่ตรงจุดเดิมอย่างคนโง่เขลา และจู่ๆ เขาก็หัวเราะลั่น “ดี ดีมาก”

สมแล้วที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง

คราวนี้ เขามั่นใจว่าจะทำให้ผู้นำหน่วยพิฆาตวิญญาณคนอื่นๆ เห็นด้วยกับเขา

หากเขาต้องการจะเปลี่ยนคน

พวกเขาก็จะต้องเปลี่ยนคนในทันที!

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไมห้วนหมิงเสียงถึงดูมีท่าทีตื่นเต้นอย่างมาก แต่เมื่อนางเห็นร่างกายของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีแสงสีแดงส่องสว่างออกมา นางก็หัวเราะด้วยเช่นกัน “ไม่เลวเลย เจ้าก้าวหน้าไปอีกระดับแล้ว”

เขากำมือลง และพลังปราณที่ปะทุอยู่นั้น ก็ค่อยๆ จางหายไป จนมองไม่เห็นเปลวไฟนั้นอีก ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกขึ้น พร้อมกับมองไปทางห้วนหมิงเสียงอย่างร้ายกาจ “ทั้งหมดเป็นเพราะการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมจากผู้อาวุโสห้วน” ในบางครั้ง องค์ชายก็เป็นคนที่ถ่อมตัวอย่างมาก

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สามารถชนะการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองห้วนหมิงเสียง และพูดขึ้น “ต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำของผู้อาวุโสห้วนด้วย”

หา ห้วนหมิงเสียงกลับมาได้สติอีกครั้ง พร้อมกับไอเล็กน้อย ก่อนจะแสร้งทำเป็นลูบเคราสีขาวของตนเอง “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก พวกเจ้าแค่ทำได้ดีก็ดีแล้ว”

จะดีที่สุดหากพวกเจ้าเอาชนะทั้งสี่หอได้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะมีข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบในการเปลี่ยนตัวสมาชิก

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว การได้พบกับเจ้าเด็กน้ำแข็งคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนัก

เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รู้สึกพึงพอใจเช่นกัน นางได้รับผลประโยชน์เต็มๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะไม่มีความสุขเล่า

ห้วนหมิงเสียงลูบเคราของตนเองอีกครั้ง และจ้องมองใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม สายตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดบางอย่าง

ใครจะคิดว่าองค์ชายสามผู้สูงส่งจะเข้ามาอยู่ในหอสามัญเช่นนี้

มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่คาดคิด ที่ทำให้เกิดการแข่งขันขึ้นในสำนักศึกษาเช่นนี้ และมันก็เต็มไปด้วยตัวแปรที่น่าจะทำให้ผลลัพธ์ทั้งหมดลงเอยด้วยดี

หึหึ เขาตั้งตารอให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…