บทที่ 167 อาจเป็นได้ 2 (1)

น่ากลัว

นั่นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของคาร์ลหลังจากได้ยินสิ่งที่เคจเอ่ยให้ฟัง

พรึ่บ!พรึ่บ!พรึ่บ!

เคจพลิกหนังสือไปหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว เธอเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้อ่านมันจนจบ

“มันพูดเหมือนกัน..ทุกๆหน้าต่างมีประโยคนี้เพียงประโยคเดียว..ดูเหมือนมันจะเป็นเพียงประโยคบอกเล่าธรรมดาที่ส่งต่อให้กับคนอื่นและข้าเท่านั้น”

แน่นอนว่าเนื้อหาเดิมก็ไม่ได้ดูปกติแต่มันก็ไม่ได้มีออร่าที่น่ากลัวเช่นนี้

ปั้ง!ปั้ง!ปั้ง!

คาร์ลพยายามที่จะไขคำตอบในเรื่องนี้ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อราอนยังคงทุบหน้าต่างอย่างบ้าคลั่งก่อนที่เขาจะเปิดหน้าต่างให้มันเข้ามาข้างใน ราอนโผเข้ามาอย่างรวดเร็วและตะโกนออกมาดังลั่น

“ข้ารู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้!”

จากนั้นมันก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆคาร์ลและจ้องไปที่หนังสือในมือของเคจทันที เคจเหลือบมองการกระทำของราอนครู่หนึ่งและพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาที่คาร์ลจ้องมา

“ด้วยความซื่อสัตย์ต่อท่าน…ข้าไม่สามารถอ่านสิ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้จริงๆแต่ตัวอักษรต่างอาณาจักรที่ถูกรวบรวมไว้ในนี้มันทำให้ข้านึกถึงประโยคเมื่อสักครู่ขึ้นมาได้”

คาร์ลถามขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเคจพูดในสิ่งที่ต้องการจบแล้ว

“การกำจัดความตายคืออะไร?”

เคจส่ายศีรษะของตนน้อยๆ

“ข้าไม่แน่ใจ..มันเป็นหนังสือที่ดูลึกลับยิ่งนัก..ชื่อผู้แต่ง‘ผู้ประทานพรแห่งความตาย’งั้นหรือ? มันฟังดูน่ารังเกียจเหลือเกิน”

คำพูดของเคจสั่นเล็กน้อยเมื่อเธอพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา เธอยังคงสบถออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนจะหยุดลงในเวลาต่อมา เธอเริ่มแกล้งกระแอมไอและพูดต่อ

“มีหนังสือที่เป็นคำสอนของพระเจ้าแห่งความตายในวิหารของของเราเช่นกัน..พวกเขาถอดรหัสคำในหนังสือและนำมาใช้เป็นคำสอนของพระเจ้าแห่งความตาย”

“แล้วในหนังสือเล่มนั้นมีประโยคที่ดูคล้ายๆกันหรือไม่?”

เคจส่งยิ้มให้คาร์ลเมื่อเขาเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อและเริ่มพูดต่อทันที

“ไม่มีเลย..อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่พระเจ้าแห่งความตายได้ตรัสเอาไว้”

เธอจำเนื้อหาที่ถูกบังคับให้ท่องจำก่อนนอนในตอนเด็กๆได้ดี นักบวชพี่เลี้ยงที่คอยดูแลจะไม่ปล่อยให้เธอหลับถ้าเธอจำมันไม่ได้

“ความตายไม่ใช่จุดจบ”

นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าแห่งความพูดเอาไว้

“เรามีทางเลือกสองทางหลังจากความตายของเรา..นั่นคือเส้นทางที่ถูกต้องและเส้นทางที่บิดเบี้ยว”

ชิ้งงงง!!!

มีแสงสีดำล้อมรอบหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง

ทั้งคาร์ลและเคจสะท้านขึ้นเล็กน้อยแต่เคจยังคงพูดไปต่อด้วยความสงบนิ่ง

“ช่วงเวลาที่เราเข้าสู่เส้นทางที่บิดเบี้ยว..เราจะได้รับทางเลือกอื่นเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางนั้น”

พรึ่บบบ!!!

หนังสือเล่มนี้ถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติก่อนจะหยุดลงเมื่อมันถูกเปิดค้างไว้ในหน้าหนึ่งราวกับมันจงใจ คาร์ลกำลังจะเปิดปากถามว่ามันถูกเขียนว่าอย่างไรแต่เคจกลับสบถขึ้นมาเสียก่อน

“พระเจ้าบ้าเอ้ย!”

คาร์ลสะดุ้งเมื่อได้ยินสิ่งที่เคจพูดต่อ

“เจ้าสงสัยเกี่ยวกับวิธีกำจัดความตายหรือไม่?..มันกำลังถามคำถามนั้นอีกครั้ง!..แล้วท่านล่ะท่านคาร์ลอยากรู้มันหรือไม่?”

คาร์ลตอบกลับอย่างไม่ลังเล

“ไม่เลย..ข้าไม่อยากรู้เลยสักนิด”

คาร์ลไม่คิดสงสัยเลยจริงๆ เขาคิดว่านี่จะเป็นสมบัติล้ำค่าแต่มันก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวในที่สุด

“ใช่แล้วมนุษย์!..เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บสิ่งที่เป็นอันตรายเช่นนี้ไว้กับตัวหรอกนะ!”

ราอนตบไปที่แขนของคาร์ลเบาๆและตะโกนออกมาราวกับเขาภูมิใจในสิ่งคาร์ลคิด แน่นอนว่าคาร์ลลอบถอนหายใจให้กับท่าทางของมัน คาร์ลได้ถามอูฮาเบ็นเกี่ยวกับเครื่องมือพระเจ้าระหว่างที่เดินทางกลับจากจักรวรรดิซึ่งอูฮาเบ็นในเวลานั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธเช่นกัน

‘ไม่มีวิธีถอดรหัสของเหล่าทวยเทพหรอกนะ..ผู้ถูกเลือกเท่านั้นที่จะสามารถฟังหรืออ่านข้อความเหล่านี้ได้’

คาร์ลเอ่ยถามอดีตนักบวชเคจอีกครั้ง

“ท่านเคจ..ท่านอยากรู้เกี่ยวกับมันหรือไม่?”

“ข้าไม่อยากรู้เลยสักนิด”

‘อย่างที่คิดเอาไว้’

คาร์ลชี้ไปที่หนังสือหลังจากที่เห็นว่าเคจมีความคิดแบบเดียวกับตน เธอมักจะคิดแบบเดียวกับเขาเสมอๆ

“ท่านช่วยให้ข้าปลอดภัยได้หรือไม่?”

“แน่นอน..ข้าได้ยินมาว่าเครื่องมือพระเจ้าแห่งความตายหลายๆรายการหายไป..ข้าจะเก็บมันไว้ให้ดีและจะมอบให้กับท่านหากท่านต้องการใช้มัน”

เธอยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มนี้ทันที

วิธีที่เธอใช้หยิบหนังสือราวกับว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากกว่าจะเป็นสิ่งที่มีค่า

“ข้าคิดว่าคนธรรมดาๆจะต้องรู้สึกทรมานและฝันร้ายเพราะหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน..มันช่างเต็มไปด้วยออร่าที่น่ากลัวยิ่งนัก”

“นั่นต้องเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าฝันร้าย!”

ราอนตะโกนตอบก่อนจะจ้องเขม็งไปที่หนังสืออีกครั้ง

คาร์ลหันศีรษะไปอีกด้านหนึ่งก่อนเริ่มคิดในใจ

‘ฝันร้าย? ทรมาน?’

คาร์ลไม่เคยมีปัญหาในการนอนเลยสักครั้ง หากให้พูดตามตรงต้องบอกว่าเขานอนหลับสนิทดีกว่าเดิมเสียอีก

‘…มันดูแปลกๆ’

คาร์ลคิดว่าสิ่งนี้แปลกยิ่งนักแต่ต้องหันศีรษะกลับไปมองหลังจากได้ยินเสียงบางอย่าง

กรึ่ก!กรึ่ก!

น้ำชาที่อยู่ในถ้วยดูเหมือนจะกระฉอกออกมาเมื่อมันกระทบเข้ากับจานรองที่อยู่ด้านล่าง

“…ท่านนักบวชแจ็ค?”

คาร์ลเอ่ยเรียกแจ็คขึ้นมาแต่แจ็คยังคงสั่นระริกและไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ ถ้วยชาที่อยู่ในมือของเขาก็ดูเหมือนจะร่วงลงมาเมื่อใดก็ได้

‘แล้วทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?’

คาร์ลขมวดคิ้วมุ่นเมื่อไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในที่สุดแจ็คก็สงบสติอารมณ์ของตนลงได้และเริ่มพูด

“ข้า..ข้าพยายามที่จะดื่มน้ำชาเพราะจู่ๆข้าก็รู้สึกถึงความเย็น..ข้า…ข้าแค่จะยกชาขึ้นดื่มเท่านั้น”

‘เย็น?’

มีคนยื่นมือมาหยิบถ้วยน้ำชาออกจากมือของแจ็คในขณะที่คาร์ลพยายามคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เคร้ง!

เคจแทบจะกระแทกถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยกับแจ็คเสียงเหี้ยม

“มันคือพระเจ้า”

‘พระเจ้า?’

คาร์ลยิ่งสับสนมากขึ้น

“ท่านแจ็ค..นั่นคือออร่าของพระเจ้า”

เคจเข้าใจว่าแจ็ครู้สึกอย่างไร ความหนาวเย็นและความน่ากลัวที่แล่นไปทั่วร่างที่ไม่สามารถทำให้หายไปได้ด้วยบางสิ่งเช่นชาร้อน

‘…ท่านแจ็คไม่สามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าได้แต่ข้ามั่นใจว่าเขารู้สึกถึงพระเจ้าของเขาได้’

เคจคิดว่ามันเป็นโชคชะตาที่แจ็คจะได้กลายเป็นนักบวชอย่างเต็มตัว

แม้ว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งที่พระเจ้าพูดกับเขาแต่อย่างน้อยเขาก็สามารถรู้สึกถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการจะสื่อกับเขาได้

เธอเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง

“ออร่าของพระเจ้าทั้งน่ากลัว หนาวเย็นและเต็มไปด้วยความเย็นชา”

แม้ว่าเธอจะพร่ำบ่นต่อพระเจ้าแห่งความตายเมื่อเขามักมาคร่ำครวญและพูดใส่หูเธออยู่บ่อยครั้งแต่เธอก็ไม่สามารถทิ้งตัวตนของเธอได้ เช่นเดียวกับการที่เธอถูกคว่ำบาตรจากวิหารพระเจ้าแห่งความตายเพราะมันไม่สามารถหยุดเธอจากการดำเนินชีวิตตามวิถีทางและอัตลักษณ์ของเธอในฐานะนักบวชได้เลย แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจแต่เธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากพระเจ้าของเธอได้

“…ท่านเคจ”

แจ็คประสานมือสั่นๆของตนเข้าไว้ด้วยกันและหันไปมองทางเคจ เขาสงบลงเล็กน้อยหลังจากที่เคจผู้รับใช้พระเจ้าแห่งความตายวางมือของตนไว้บนมือสั่นๆของเขา

“นักบวชแจ็ค..ท่านต้องการจะทำสิ่งใด?”

แจ็คเอื้อมมือออกไปเมื่อได้ยินคำถามของคาร์ล ดูเหมือนเขากำลังเอื้อมมือไปหากระจกขนาดกะทัดรัดที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนที่กระจกบานนี้จะถูกยัดใส่มือของแจ็คทันทีด้วยฝีมือของคาร์ล

“โปรดทำในสิ่งที่ท่านต้องการเถิด”

แจ็คค่อยๆเปิดกระจกบานนี้ออกเมื่อได้ยินเสียงสำทับของคาร์ล

คลิ๊ก!

เขามองเห็นบานกระจกเก่าๆที่มีรอยแตกร้าว

“อ่า..”

ดวงตาของแจ็คเบิกโพลง เขาหันไปมองคาร์ลด้วยความตกใจ

“มัน..มันมีตัวอักษรเขียนไว้บนกระจก….!!”

‘มีตัวอักษรเขียนไว้ด้วยงั้นรึ?’

คาร์ลจึงถามขึ้นด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“มันเขียนไว้ว่าอย่างไร?”

แจ็คหันกลับไปมองกระจกอีกครั้งพร้อมกับร่างที่ยังคงสั่นเทาต่อไป

“ตรากล่าวโทษ..มันคือตรากล่าวโทษ!”

มันเหมือนคำที่ฝังอยู่ในใจของเขา ในขณะเดียวกันก็อนุญาตให้พวกเขามั่นใจได้ว่ากระจกบานนี้คือ ‘ตรากล่าวโทษจากแสงตะวัน’

พระเจ้าแห่งแสงตะวันไม่ใช่เทพผู้ใจดี

เขาเป็นเทพผู้ชอบธรรมและตัดสินสิ่งต่างๆด้วยเหตุผลเสมอ แน่นอนว่าการตัดสินทุกอย่างตามความเป็นจริงคือเหตุผลที่เขาเป็นเทพผู้ใจดี พลังความรักและความเมตตา การตัดสินโดยไม่ถูกครอบงำจากสิ่งใดถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงน้ำใจอันประเสริฐ

แจ็ครู้สึกโล่งใจหลังจากเห็นข้อความนี้บนกระจก

อาจเป็นเพราะคำว่า ‘กล่าวโทษ’ ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เขาแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังรู้สึกกลัว เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกบางอย่างกดดัน

ความรู้สึกดังกล่าวอาจมาจากเครื่องมือพระเจ้าชิ้นนี้

“นายน้อยคาร์ล..ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะเก็บเครื่องมือพระเจ้าชิ้นนี้ไว้กับตัว”

คาร์ลจึงตกลงที่จะเก็บกระจกบานนี้เอาไว้เมื่อได้ยินความประสงค์ของแจ็ค เขาไม่เห็นสิ่งที่เขียนบนกระจก เขาไม่รู้สึกถึงออร่าน่ากลัวใดๆที่มาจากกระจกบานนี้

“ข้าจะเก็บมันไว้เอง”

แจ็คยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลกล่าวแต่ทันใดนั้นรอยยิ้มของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลพูดต่อ

“อย่างไรก็ตาม..ท่านต้องนำกระจกบานนี้ติดตัวท่านไปด้วยเมื่อเราเดินทางกลับไปยังจักรวรรดิ”

คาร์ลจึงเริ่มเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรย์และเร็กซ์ให้ฟัง นอกจากนี้ยังอธิบายความเสียหายของวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันและการสนทนาในหมู่ประชาชนชาวจักรวรรดิโดยละเอียด

แจ็คมองไปที่คาร์ลด้วยสีหน้าว่างเปล่าเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจนจบ คาร์ลจึงเริ่มพูดกับแจ็คอีกครั้ง

“เราจำเป็นต้องช่วยพวกเขา”

คำพูดนั้นทำให้แจ็คได้สติกลับคืน

“…ใช่..เราต้องช่วยพวกเขา”

แจ็คพยักหน้ารับก่อนที่เคจจะตบไหล่เขาเบาๆ เขาจึงส่งยิ้มให้กับเธอเพื่อแสดงความของคุณ

“นายน้อยคาร์ล”

“หืม?”

“ข้านับถือท่านยิ่งนัก”

แจ็คจึงร่ายต่อทันทีเมื่อเห็นว่าคาร์ลไม่ตอบอะไร

“ข้าต้องการช่วยเหลือคนอื่นๆเหมือนที่ท่านทำ..นายน้อยคาร์ล!..ข้าอยากเก่งเหมือนท่าน!”

คาร์ลทำได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความใสซื่อของแจ็ค เขาไม่รู้จะบอกแจ็คให้ยึดความบริสุทธิ์และใสซื่อของตัวเองต่อไปอย่างไรดี? คนใสซื่อแบบนี้ไม่ควรยึดคนเช่นเขาเป็นแบบอย่างเลยสักนิด

“อ่า..ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปจัดการธุระต่อสักหน่อยแล้วล่ะ”

คาร์ลดื่มน้ำชาที่เหลือจนหมดและลุกขึ้นจากที่นั่ง เขากล่าวลานักบวชทั้งสองและเปิดประตูห้องพักออกไป

“นายน้อยคาร์ล!”

“ห๊ะ?”

คาร์ลชะงักด้วยความตกใจเมื่อเห็นดวงตาสีขาวมาโผล่ตรงหน้าอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าคนผู้นี้คือหมอผีการ์ชาน

“อะไร?..มีอะไรงั้นหรือ?”

คาร์ลเกือบพูดติดอ่างด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามสีหน้าของการ์ชานกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง

“ธรรมชาติบอกข้าน้อยว่า..พลังอันยิ่งใหญ่ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว!..มันเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?..มันจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่นายน้อยคาร์ล?”

‘ว้าว..พลังจิตของเขาช่างร้ายกาจจริงๆ’

คาร์ลพยักหน้าให้กับการ์ชานเพื่อยืนยันว่ามันจะไม่เป็นอะไร

“ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าไม่ต้องกัง—”

“มีเรื่องอะไรกันหรือ?”

“ห๊ะ?”