ตอนที่ 126 แขกวารี
“เจ้าเคยได้ยิน ‘แขกวารี’หรือไม่”
“แขกวารี…”
สวีชิงเยี่ยนหรี่ตาลง นางพยายามนึกถึงคำคุ้นหูนี้ ตอนเยาว์วัย สวีชิงเค่อพานางเจาะกำแพงไปดูละคร อ่านเรื่องในตำราโบราณให้นางฟัง นางเห็นแสงสว่างไม่ได้ ได้แต่มองโลกนี้จากซอกอักษรบนกระดาษ ต้าสุยดินแดนยาวสี่หมื่นลี้ มหาสมุทรที่พลิกผันบนฟ้า ปลาบินที่ทะยานบนที่ราบ คุนเผิงที่ข้ามผ่านทะเลหมอก
นางพูดเสียงเบา “ทะเลพลิกผันมีตำหนักแพรมังกร แหล่งถักทอต้นตาน้ำ แพรมีสีขาวดุจน้ำค้าง”
สวีชิงเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าจริงจังของหนิงอี้ “มนุษย์ฉลาม คือทั้งต้นตาน้ำ และเรียกอีกอย่างว่าแขกวารี”
“ใช่ ในต้าสุยชอบเรียกว่า ‘มนุษย์ฉลาม’ ทางใต้ฟ้าเผ่าปีศาจยังมีความยำเกรงต่อตำหนักแพรมังกร ดังนั้นถึงเรียกว่า ‘แขกวารี’”
หนิงอี้ชูพับไฟขึ้น
เขากับสวีชิงเยี่ยนเปิดม่านน้ำออกแล้วก็เดินไปถึงสุดทาง
เส้นทางนี้ไม่มีทางแยก เขาใช้คัมภีร์แสวงมังกรตรวจสอบ ไม่พบจุดแปลกในเส้นทาง เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่ปลายทาง ราชาหัวใจราชสีห์ฝากภาพฝาผนังไว้ บันทึกไว้ครึ่งเดียว มีความเป็นไปได้สูงที่จะพบอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่า
ที่นี่ซ่อนกลไก ปมลับไว้ หากทำงาน น่าจะไปยังส่วนที่ลึกกว่า
สวีชิงเยี่ยนมองออกในจุดนี้เช่นกัน นางลูบผนังหิน เคาะๆ ดู ลองว่าจะโชคดีไปเปิดกลไกหรือไม่ “ตำหนักแพรมังกร…เมื่อก่อนก็เคยได้ยินพี่พูดถึง นั่นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจในตำนาน ล่มสลายไปในยุคเมื่อนานมาแล้ว”
“ใช่” หนิงอี้ยื่นมือมาข้างหนึ่ง สัมผัสผนังหินนี้ช้าๆ ก่อนพูดงึมงำ “ตำหนักแพรมังกรล่มสลายไปแล้ว กระทั่งไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าตำหนักแพรมังกรมีอยู่จริง ต้าสุยหลายปีมานี้มีเรื่องเล่าเก่าแก่บางอย่าง มนุษย์ฉลามแห่งทะเลพลิกผันรักเก่าผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เราอย่างเหนือความคาดหมาย หรืออาจจะหนีตายในสนามรบ ถูกชาวประมงหมู่บ้านคนธรรมดาในถิ่นกันดารแดนอุดรรับไว้ จากนั้นครองคู่กัน กำเนิดเป็นทารกครึ่งปีศาจครึ่งคน ดังนั้นจึงจุดชนวนการล่าสังหารของกรมปราบปีศาจ…”
สวีชิงเยี่ยนกะพริบตา “ข้าเคยได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้มาเยอะเหมือนกัน…”
หนิงอี้ยิ้ม “อีกทั้งในเรื่องเช่นนี้ กรมปราบปีศาจก็ยังคงโผล่มาในภาพลักษณ์ด้านลบ”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เด็กหนุ่มที่ถือพับไฟย่อตัวลง ตรวจสอบทุกมุมของผนังหินอย่างละเอียด
“เรื่องราวความรักของชาวโลกมักจะเป็นเช่นนี้ มีแต่รูปแบบเดิมๆ และไร้เหตุผล แต่ทุกคนดันชอบ…มนุษย์ฉลามที่ตกอับถูกคนธรรมดาช่วยขึ้นฝั่ง จากนั้นเกิดความรักกัน กำเนิดบุตร กรมปราบปีศาจจับมารดาไป ผู้บำเพ็ญครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจท้ารบกับผู้มีอำนาจ สุดท้ายก็จบลงอย่างมีความสุข”
หนิงอี้พูดปลงเสียงเบา “มนุษย์ฉลามในทะเลพลิกผันมีชื่อเรียกว่า ‘แขกวารี’ หากตำหนักแพรมังกรโบราณมีอยู่จริงๆ พวกนางก็จะเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทะเลพลิกผันยุคโบราณ สายเลือดเช่นนี้จะไปสนใจเผ่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยได้อย่างไร หากอีกฝ่ายเป็นชนชั้นสูงของราชวงศ์ต้าสุย เช่นนั้นก็พอได้อยู่”
สวีชิงเยี่ยนพูดอย่างระมัดระวัง “เจ้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรือ”
หนิงอี้หัวเราะเยาะ “ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว เรื่องพวกนี้แต่งให้เด็กน้อยฟัง เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเชื่อ”
หนิงอี้หาอยู่นานก็ยังไม่พบ เขาถอนหายใจเบาๆ “มนุษย์ฉลามมีน้ำตา เรียกว่ามุกน้ำตา มุกน้ำตามีเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบ บรรจุแสงดาราและความเป็นเทพได้ เป็นสมบัติเทพที่แทบจะหามาไม่ได้เลย”
สวีชิงเยี่ยนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
นางเพียงแค่คิดตามหนิงอี้ เอ่ยคำถามหนึ่ง
“มุกน้ำตาของมนุษย์ฉลามล้ำค่ามากเลยรึ”
“ล้ำค่ามากแน่นอน”
“ภพหน้าถ้าข้าเป็นมนุษย์ฉลาม ข้าร้องไห้เช่นนี้ตลอด คงจะมีมุกน้ำตาเยอะเลยล่ะ…”
หนิงอี้เงียบ ไม่มีคำจะพูด
…..
หลังผ่านไปนานมากแล้ว
หนิงอี้ถอนหายใจเบา “ข้าไม่เชื่อเรื่องนั้นก่อนหน้านี้ เพราะหลายพันปีหมื่นปีมานี้ ยังไม่เคยมีผู้บำเพ็ญค้นพบแดนต้องห้ามโบราณของตำหนักแพรมังกร…ตำราโบราณกล่าวไว้ว่า ตำหนักแพรมังกรเคยเป็นผู้ปกครองทั้งใต้ฟ้า จุดกำเนิดทะเลพลิกผันก็เกี่ยวข้องกับมันอย่างยิ่ง”
สวีชิงเยี่ยนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ในทะเลพลิกผันมีเผ่าปีศาจมากมาย แขกวารีอยู่ชั้นหนึ่ง ก็เหมือนราชวงศ์ใต้ฟ้าต้าสุยปัจจุบัน” หนิงอี้พูดต่อ “แขกวารีเคยเป็นชนชั้นสูงสูงของใต้ฟ้านี้ ไม่ว่านั่นจะเป็นยุคที่นานเพียงใด อย่างน้อยทุกคนก็คิดเช่นนี้”
สวีชิงเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดเสียงเบา “ดังนั้นเจ้าเลยคิดว่านี่ไม่ใช่ความจริง เพราะผู้มีอำนาจระดับสูงพวกนั้นมักจะต้องดุร้ายและเหี้ยมโหด เลือดเย็นไร้ความปรานี พวกนางไม่มีทางรักกับผู้ต่ำต้อยธรรมดาได้อย่างนั้นหรือ”
หนิงอี้พยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า “คงจะประมาณนั้น…แต่ก็ไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว”
สวีชิงเยี่ยนจะพูดแต่ก็เงียบไป
“ทั้งชีวิตแขกวารีจะมีน้ำตาแท้จริงเพียงหยดเดียว มุกน้ำตาล้ำค่ามากจริงๆ หากรักกับคนหนึ่ง แขกวารีจะให้มุกน้ำตากับอีกฝ่าย”
นางอึ้งไปเล็กน้อย
หนิงอี้ยิ้ม “นี่เป็นเหตุผลที่ข้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ข้าไม่เชื่อว่าโลกนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ แขกวารีรักมนุษย์ ยกมุกน้ำตาให้อีกฝ่าย ให้กำเนิดบุตรที่มีสายเลือดต่ำต้อยและสูงส่ง จากนั้นละทิ้งอำนาจและความมั่งคั่ง ซ่อนตัวในภูผานทีนับจากนั้น”
นางมองหนิงอี้อยู่นานก็ยังพูดไม่ออก
“เผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจไม่ถูกกัน น้ำกับไฟเหนือใต้ทะเลพลิกผันยากจะอยู่ร่วมกันได้” หนิงอี้ก้มหน้าลง เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดอย่างแน่วแน่ “หากแขกวารีมีอยู่จริง อีกทั้งยังข้ามผ่านผนึกมาแม่น้ำภูเขาต้าสุยได้ นางจะต้องนำมุกน้ำตามาด้วย จะสร้างแรงกระทบกระเทือนต่อโลกเผ่ามนุษย์อย่างมาก”
“โลกนี้ไม่มีเรื่องเล่านิทานมากขนาดนั้น…ข้าก้าวออกมาจากเทือกเขาประจิมที่ลำบากที่สุด แม้จะมีจริงก็ไม่เกี่ยวกับข้า” หนิงอี้มองสวีชิงเยี่ยนพลางพูดทีละคำ “นี่เป็นเหตุผลที่ข้าไม่เชื่อ”
สวีชิงเยี่ยนมองดวงตาของเด็กหนุ่ม
ตอนที่หนิงอี้พูดเรื่องพวกนี้ ในดวงตาไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย ไม่ว่าความโกรธหรือความตื่นเต้น
เขาพูดเช่นนี้ได้อย่างสงบนิ่งมาก เพราะผู้บำเพ็ญต้าสุยทุกคนต่างก็คิดเช่นนี้
ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าสุยก็คือเผ่าปีศาจ
นี่เป็นแนวความคิดฝังรากลึก
ร้อยปีพันปีมานี้ไม่เคยสั่นคลอน
สวีชิงเยี่ยนคลึงระหว่างคิ้ว พูดพึมพำ “หากให้โอกาสเจ้าสังหารเผ่าปีศาจ…”
หนิงอี้ตอบโดยไม่ต้องคิด “เช่นนั้นข้าก็จะหยิบกระบี่ฆ่าพวกมันให้หมด แม้ข้าจะไม่ชอบคนส่วนหนึ่งของใต้ฟ้าต้าสุย กระทั่งเรียกว่ารังเกียจยังได้ แต่ข้าก็ชัดเจนในจุดยืนของเรื่องนี้มาตลอด”
“หลายปีมานี้ที่ใต้ฟ้าต้าสุยกับใต้ฟ้าเผ่าปีศาจคุมเชิงกัน ได้สูบพลังไปจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญสามกรมสู้รบตายจำนวนมาก สำนักเต๋าเทือกเขาประจิมกับภูเขาวิญญาณดินบูรพา ตำหนักสวรรค์จวนปฐพี ภูเขาศักดิ์สิทธิ์มากมาย แม้ภายในจะดูสงบนิ่ง แต่ความจริงเกิดเขม่าควันขึ้นที่โลกเทาทุกวัน มีคนตายไปเพราะเรื่องนี้เรื่อยๆ”
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่ใช่คนที่รักความถูกต้อง แต่ฟ้าถล่มก็ต้องมีคนตัวสูงมาแบกไว้ จากนี้ข้าจะเป็นหนึ่งในนั้น ความยากจนและแร้นแค้นของเทือกเขาประจิม ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้าแล้ว ดังนั้นหากจากนี้ต้องการใครสักคนก้าวออกมาในสนามรบนี้ คนนั้นจะเป็นข้า…ข้าว่าข้าคงไม่ปฏิเสธ”
สวีชิงเยี่ยนเงียบอยู่นานมาก จากนั้นพูดเสียงเบา “ข้าจำไว้แล้ว”
……
สองคนเงียบไปช่วงสั้นๆ
หนิงอี้นึกถึงคำพูดนั้นของตนอีกครั้ง รู้สึกว่าตนไม่ควรพูดเช่นนั้นจริงๆ…หากให้โอกาสตนอีกครั้ง เขาจะเลือกปิดปากเงียบแน่นอน
การพูดกับแม่นางสวีเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร นางอยู่คนละโลกกับตน ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจก็ดี ศึกของทะเลพลิกผันก็ดี นางจะไม่ก้าวสู่โลกของผู้บำเพ็ญ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าตนจะพูดอะไรกันแน่
แม่นางสวีอาจจะคิดว่าตนกับคุณชายผู้มีคุณธรรมที่ทำเพื่ออาณาจักรและประชาชนพวกนั้น ไม่ต่างกันหรือไม่
หนิงอี้ยิ้มเย้ยเยาะตัวเอง
ทว่าสวีชิงเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น
หากบอกว่าหนิงอี้เป็นผ้าที่ลอยในอ่างย้อมสีต่างๆ มาตลอดสิบกว่าปี หยิบออกมาก็เปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ผ่านการชี้แนะจากสวีจั้งกับเขาสู่ซาน จึงมีทัศนคติของตนเองต่อใต้ฟ้าเผ่าปีศาจและใต้ฟ้าต้าสุย…เขามีดำและขาวผิดถูกของตน มีหลักการปฏิบัติของตน เขารู้ทุกอย่าง
เช่นนั้นสวีชิงเยี่ยนก็จะเป็นเพียงกระดาษขาว ไม่เข้าใจอะไรเลย
นางก้าวออกมาจากกรง หลังพบแสงสว่างถึงได้มีโอกาสเห็นโลกนี้ โลกนี้มีสีสันหลากหลาย นางมองเห็นสีมากขนาดนั้นแต่กลับไม่เข้าใจว่านี่คืออะไร ต้องมีคนค่อยๆ สอนนาง หลายปีมานี้ สวีชิงเค่อไม่ได้แต้มสีบนกระดาษขาวนี้ หลังจากพบกันโดยบังเอิญที่ภูเขาแดง หนิงอี้ก็กลายเป็น ‘อาจารย์’ คนแรกของนาง
หากหนิงอี้ชี้สีดำและบอกนางว่านี่เป็นสีขาว
เช่นนั้นสวีชิงเยี่ยนก็จะคิดว่านี่เป็นสีขาว
หากหนิงอี้ชี้ใต้ฟ้าต้าสุยบอกนางว่าโลกหล้านี้พังเละหมดแล้ว
สวีชิงเยี่ยนก็จะรู้ว่าโลกหล้าที่ตนอยู่ตอนนี้พังเละหมดแล้ว
ตอนนี้หนิงอี้บอกนางว่าใต้ฟ้าเผ่าปีศาจเป็นศัตรูกับตน ไม่ว่าจะพูดมากเท่าไร หลักการกับเหตุผลซับซ้อนเพียงใด นางเข้าใจหรือไม่…ความจริงไม่สำคัญขนาดนั้นแล้ว
เพราะนางพูดอย่างจริงจังคำเดียว
‘ข้าจำไว้แล้ว’
ก็เหมือนเด็กที่รู้จักแยกแยะสี คิดว่าเส้นทางลัดที่ง่ายที่สุดในโลกนี้คือ ‘จดจำ’
นางเพียงแค่จำคำพูดของหนิงอี้
ดังนั้นคำพูดนี้จึงไม่มีความหมายอื่นมากกว่านี้ เพียงแค่หมายถึงคำพูดนั้นที่นางตั้งใจฟังหนิงอี้ จากนั้นจดจำไว้เงียบๆ
แน่นอน นางคิดว่าหนิงอี้พูดถูกต้องมาก
ยอดปีศาจหนุ่มนั่นล่าสังหารตน หากนางตกอยู่ในมืออีกฝ่าย ก็จะตายไปจริงๆ
เพียงแต่นางแปลกใจอย่างหนึ่ง
คนมากมายจะสังหารนาง พวกเขาต่างอะไรกับยอดปีศาจหนุ่มนั่น