ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 127 ผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิง

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 127 ผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิง

สองคนเงียบไปไม่นานนัก

สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้ มองอีกฝ่ายบ้างนั่งยอง บ้างยืนขึ้น เคาะๆ บางครั้งก็ทุบกำแพงแรงๆ

การกระทำเช่นนี้ดำเนินไปราวครึ่งเค่อ

สวีชิงเยี่ยนถามด้วยความสงสัย “หนิงอี้…เจ้ากำลังหาอะไร”

หนิงอี้ยืนหน้าผนังหิน เขากลัดกลุ้มมาก จ้องผนังหินเขม็ง อยากจะหาเงื่อนงำบางอย่าง แต่ก็เสียแรงเปล่า บนผนังหินนี้ไม่มีกลไกใดๆ ไม่มีอะไรที่แปลกไปเลย

“ทะเลพลิกผันเคยปรากฏกระบี่โบราณ ทำให้สำนักเต๋าสั่นสะเทือน ผู้แข็งแกร่งมากมายเดินทางมาแดนอุดร อยากจะตามหากระบี่โบราณของผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์นั้นกลับไป กระทั่งเกิดการต่อสู้กับราชันปีศาจแดนอุดร สุดท้ายก็ไม่เกิดผลอะไร”

เขาจ้องผนังหินพลางพูดงึมงำ “หากผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์ ใช้คัมภีร์นั่งลืมจริงๆ เกิดวัฏจักรของภพที่สอง เช่นนั้นการสั่นสะเทือนของกระบี่นั่นก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด”

“ดังนั้น…”

“ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าหอยอดวิสุทธิ์สำนักเต๋ามีวิชาลับอยู่จริง ทำให้คนผลัดเปลี่ยนกระดูก เกิดใหม่ได้”

หนิงอี้ถอนหายใจ “แขกวารีเกิดมาก็เป็นเจ้าสมุทร เรียกลมเรียกฝน หากเป็นผู้สำเร็จมีมุกน้ำตาก็ยิ่งเรียกแสงดาราและความเป็นเทพมาช่วยรบบนทะเลพลิกผันที่ผนึกพลังบำเพ็ญได้อย่างไม่เกรงกลัว ภูเขาแดงฝนตกตลอด ที่นี่เหตุใดถึงมีไอวิญญาณน้ำมากขนาดนี้…ความคิดเหลวไหลที่ข้าคิดในตอนแรก ตอนนี้ดูท่า ข้าคงคิดมากไปเอง”

สวีชิงเยี่ยนเม้มริมฝีปาก มองหนิงอี้ นางพลันเข้าใจแล้วว่าหนิงอี้คิดอะไร…

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์รับเลี้ยงสิงโตตัวหนึ่ง สิ้นชีพแล้วก็นั่งลืม กำเนิดภพที่สอง เพื่อแสวงหามหามรรคชีวิตนิรันดร์ในเส้นทางบำเพ็ญ จึงเลือกเปลี่ยนเป็นร่างที่สมบูรณ์แบบ…

หนิงอี้ยิ้มแห้งๆ “แดนต้องห้ามที่นี่อาจจะเป็นมิติอิสระจริงๆ กำเนิดจากธรรมชาติ ภายนอกเป็นสถานที่ทดสอบที่ไท่จงให้ไว้กับองค์ชายทั้งสอง หากพวกเราใช้พลังภายนอกแก่กล้าทำลายผนึก เดินออกจากค่ายกลสังหารสองฝั่ง ก็น่าจะพบสององค์ชายนั่น…”

สวีชิงเยี่ยนพลันตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย

“แต่เจ้าวางใจได้เลย” นัยน์ตาหนิงอี้ขยับประกายเย็นชา เขาพูดนิ่งๆ “ข้าได้สัมผัสกลอุบายขององค์ชายสามแดนประจิมอย่างซาบซึ้งมาแล้ว ที่นี่ผนึกแสงดารา เขาไม่มีความสามารถล้นฟ้าอย่างข้างนอกนั่น”

หนิงอี้นิ่งไปก่อนจะพูดเย้ยเยาะ “การปฏิบัติตัวของราชวงศ์ต้าสุย ข้าไม่ต้องคิดเลยก็รู้ว่ามีอุบายทั้งทางสว่างและทางมืด หากบังเอิญพบพวกเขาจริงๆ สององค์ชายที่เป็นผู้สืบทอดสายเลือดปกครองสองคนนี้ เกรงว่าคงจะพูดคุยยิ้มแย้มกันปกติ ทางเข้าปกติของเขตต้องห้ามนี้ต้องมีไข่มุกเชื่อมฟ้าถ่ายทอดภาพอยู่แน่นอน

หนึ่งก็เพื่อให้จักรพรรดิคนนั้นในวังได้เห็นผลงานของลูกชายทั้งสองอย่างชัดเจน ให้เจ้าของต้าสุยคนนี้ชั่งน้ำหนักในใจได้ สองก็เพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ยอดปีศาจหนุ่มเมื่อครู่นั่น ไม่กล้าเข้าไปตรงๆ ก็เพราะเหตุนี้แน่”

สวีชิงเยี่ยนก้มหน้าลง พูดเสียงนุ่มนวล “ข้าไม่ชอบหลี่ไป๋หลิน”

หนิงอี้อึ้งไป

เขาเอ่ยราบเรียบ “ข้าก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน ข้าอยากจะเอากระบี่ฟันมันให้ตายใจจะขาด”

สวีชิงเยี่ยนหลุดหัวเราะออกมา นางมองหนิงอี้ รู้สึกว่าคนนี้พูดจาน่าสนใจจริงๆ

นางเอ่ยเบาๆ “เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดี”

หนิงอี้ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม “กลับไปทางเดิมดีหรือไม่”

“จากนั้นล่ะ”

“ข้าส่งเจ้ากลับต้าสุย”

“ข้างนอกมีตัวร้ายเก่งกาจสองคน…อีกทั้งอาจจะเข้ามาได้ตลอดเวลา” สวีชิงเยี่ยนพยายามฝืนยิ้ม นางไม่คิดว่าที่นี่เป็นที่ที่อันตรายอะไร เด็กหนุ่มคนนี้อยู่ด้วย เวลาเหมือนจะช้าลงมาก นางเตือนอีกฝ่ายด้วยเจตนาดี เพียงแค่อยากดูคำตอบของหนิงอี้

ต่อให้ออกไปได้ กลับต้าสุยได้ แล้วจากนั้นล่ะ

สวีชิงเยี่ยนเห็นเด็กหนุ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันควัน

หนิงอี้กัดฟัน เขานึกถึงประสบการณ์ที่ตนอยู่ในแดนเทวาเล็กเคียงกระบี่ อุบายนั้น…บางทีอาจจะใช้ได้ที่นี่

ดังนั้นหนิงอี้จึงกำชับเสียงต่ำ “รักษาความลับให้ข้าด้วย”

สวีชิงเยี่ยนกะพริบตาเบาๆ ขานรับอย่างหนักแน่น

“ถอยไป”

เด็กสาวที่รับพับไฟและถอยไปเงียบๆ สามสี่ก้าวมองเด็กหนุ่มเล็งผนังหินช้าๆ สองมือถือคมกระบี่สีขาวดุจหิมะนั้น แสงกระบี่เย็นเยือกไหลไปบนตัวกระบี่ ค่อยๆ รวมกัน มาถึงตรงปลายกระบี่ก็กระจายออกเหมือนใบไม้

หนิงอี้ยืนตรง ยื่นมือออกไปฝ่ามือตั้งขึ้น ลำแสงสีขาวกระจายไปรอบตัว วนเวียนรอบสองคน เหมือนกับปลาเวียนว่าย ค่อยๆ กลับเข้ากรง มาอยู่กลางฝ่ามือประกบของหนิงอี้

สวีชิงเยี่ยนยื่นมือออกไปด้วยความแปลกใจ จับลำแสงสีขาวสายหนึ่ง แสงสว่างนั้นไม่ต่อต้านนาง และไม่รู้สึกว่าตึงมืออะไร แค่เย็นๆ จากนั้นอบอุ่นเหมือนหยก ทำให้นางรู้สึกสบาย

เด็กสาวมองแสงสีขาวหายไปช้าๆ ด้วยความตกใจ บนฝ่ามือหนิงอี้ที่แบออกมีขลุ่ยกระดูกสีขาวปรากฏมา

นางเคยเห็นขลุ่ยกระดูกนั่นที่อารามรู้กรรม ขลุ่ยกระดูกนั่นก็คือบทนำที่พาสองคนมาพบกัน สวีชิงเยี่ยนรู้สึกมาตลอดว่าหนิงอี้มีกลิ่นอายที่ทำให้คนรู้สึกสบาย อย่างน้อยก็ทำให้ตนสบายอยู่ และกลิ่นอายนั้น…มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมาจากขลุ่ยกระดูกนี้

พบหน้ากันอีกครั้ง นางไม่เห็นขลุ่ยกระดูกนั้นแล้ว เดิมทีคิดว่าหนิงอี้เก็บรักษาไว้กับตัว แต่ไม่นึกเลยว่าจะใช้วิธีการเช่นนี้ใส่ในพินิจเหมันต์

“ในบางความหมาย มันคือกุญแจ”

หนิงอี้พูดเสียงเบา “แต่ที่นี่ไม่มีประตู…ข้าไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่ลองดูไม่เสียหาย”

หนิงอี้ยืนหน้ากำแพง

เขากำขลุ่ยกระดูก ใช้ระหว่างคิ้วแนบกับผนังหินช้าๆ ภายในใจเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย รอการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้

ทว่าก็ทำให้เขาผิดหวัง

ทั้งโลกเงียบสงบ

ใช่สิ…นี่เป็นกุญแจจริงๆ แต่ไม่มีแม้แต่ประตู จะเปิดลูกกุญแจลับได้อย่างไร

ภายในฟ้าดินนี้อาจจะซ่อนความลับไว้จริงๆ อาจจะมีความจริงที่ไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ แต่ยังหาวิธีการเปิดประตู แม้แต่ขลุ่ยกระดูกก็ยังทำอะไรไม่ได้

หนิงอี้ถอนหายใจ เตรียมเก็บขลุ่ยกระดูกในมือ

สวีชิงเยี่ยนที่ยืนหลังหนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น พลันเกิดความคิดบางอย่าง ก่อนพูดเบาๆ “เดี๋ยวก่อน…”

หนิงอี้จึงรอตามจิตใต้สำนึก

สวีชิงเยี่ยนสะบัดมือสองทีดับพับไฟ ก่อนใช้มือข้างหนึ่งแนบกับหลังหนิงอี้

ความเป็นเทพอ่อนและเบาบางข้ามผ่านสะพานส่งไปถึงฝ่ามือหนิงอี้ จากนั้นผ่านเลือด กระดูกมาถึงฝ่ามือ ไปถึงขลุ่ยกระดูกนั้น

หนิงอี้เบิกตาโตขึ้นทีละนิด

เหมือนมีเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ดังมาจากข้างหูสวีชิงเยี่ยน

ทั้งผนังหินสั่นไหว…

ไม่ใช่เพราะฟ้าดินเล็กนี้ไม่มีประตู แต่เป็นเพราะเงื่อนไขการเปิดยังไม่ครบ

ความเป็นเทพดุจธารน้ำไหลไปในขลุ่ยกระดูก จุดประกายไฟดาราออกมาจากผนังหิน ลุกลามไปรอบๆ เหมือนประตูบานหนึ่ง

หนิงอี้ไม่กล้าเชื่อว่าวิธีที่ดูเหมือนไร้สาระจะได้ผลจริงๆ และประตูที่ก่อรูปขึ้นทีละนิดตรงหน้านั้นก็คือเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด ในโลกเล็กแห่งนี้ใช้วิธีการที่ยุ่งยากเช่นนี้เพื่อป้องกันปรมาจารย์สุสานรวมถึงบุคคลเทพเซียนมากมาย ใครจะไปคิดว่าจะใช้ความเป็นเทพเปิดทาง วาดภาพประตูนั้นบนผนังหินโบราณออกมา

รูปเหมือนเทพเซียนของผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงคนนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้น อาภรณ์ปลิวไสว ภายใต้การส่งความเป็นเทพ เมฆหมอกเหมือนจะสลายไปครึ่งหนึ่ง ค่อยๆ เปิดใบหน้า โผล่มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย กำลังจะเผยมาตรงหน้าแขกสองคน ภาพเหมือนสตรีคนนี้มีสง่าราศี เป็นที่สุดแห่งยุคและไม่เหมือนใคร

หนิงอี้เสียงแหบเล็กน้อย

เขาพยายามดันฝ่ามือไปข้างหน้า พร้อมจะเปิดประตูใหญ่นี้ตลอดเวลา ปากพูดงึมงำ “ออกแรงหน่อย…อย่าหยุด…”

สวีชิงเยี่ยนฟังคำพูดนี้แล้วรู้สึกแปลกๆ จึงแนบสองมือที่หลังหนิงอี้

ภายในผนังหิน แสงสว่างขึ้น

ห้องลับพันปี ในที่สุดก็สว่าง

หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง

คนนั้นตรงหน้าพลันกระโดดออกไป เหมือนผลักประตูโบราณที่ผนึกมาพันปี ตรงหน้าไม่มีสิ่งกีดขวาง ดังนั้นสวีชิงเยี่ยนจึงโผตามลงไปอย่างไร้การควบคุม

…..

อึก

เสียงฟองอากาศ

นางเบิกตาโต รู้สึกว่าอยู่ในน้ำ หญ้าทะเลสีดำปรากฏตรงหน้า นางยื่นมืออยากจะแหวก แต่พบว่าไม่ออกเป็นทางน้ำยาวเหมือนที่คิด

“หนิง…”

เปล่งเสียงออกไป ไม่ถูกน้ำขวาง

ยันต์สีขาวถูกคีบด้วยสองนิ้วมือ แกว่งไกวเบาๆ ตรงหน้านาง หนิงอี้ที่เก็บยันต์กลับมาส่งเสียง พูดง่ายๆ สามคำ

“ยันต์กันน้ำ”

เด็กหนุ่มลากสวีชิงเยี่ยนลอยไปข้างหน้า โลกหลังผลักประตูเหมือนทางน้ำแคบบนพื้นราบ หนิงอี้ชูขลุ่ยกระดูก แสงสีขาวลับๆ เปิดทาง ส่องโลกแคบเล็ก

“น้องสาวข้าทำให้ แสงดาราถูกผนึก แต่ความเป็นเทพใช้ปลุกยันต์ได้ อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพดีกว่าแสงดารา” หนิงอี้หันไปมองเด็กสาว ก่อนพูดปลงเสีบงเบา “นี่เป็นวิธีที่สิ้นเปลือง ข้าไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ…เจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ”

คำพูดนี้มีสองแง่ ทำให้เด็กสาวรู้สึกหน้าแดงเล็กน้อย

สองร่างว่ายไปในเส้นทางน้ำแคบ เด็กหนุ่มตัวสูงยาว ท่าทางคล่องแคล่วมาก เด็กสาวอรชนอ้อนแอ้น เห็นแค่เงาก็ทำให้คนตกใจ สองคนหน้าหลัง ดูเหมือนมนุษย์ฉลามโบราณสองตัว หรืออาจจะเรียกว่า ‘แขกวารี’

โดยรอบมีโขดหินปะการังทรุดโทรม หญ้าทะเลสิ่งสกปรก

เสียงเบาดังขึ้นกลางแสงขลุ่ยกระดูก

“สุดทางที่นี่คือที่ใด”

“จะเป็น…ห้องสุสานของเจ้าภูเขาแดงหรือไม่”

“ห้องสุสานของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณรึ”

เด็กสาวพูดออกมาก็เงียบทันที เหมือนรู้ความผิดพลาดของตน

“ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ…ไม่ๆๆ…” น้ำเสียงหนิงอี้มีความปลงเสี้ยวหนึ่ง “ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณไม่ได้ฝึกวิถีวารี”

ปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณสิ้นชีพในภูเขาแดง

ตอนมีชีวิตเขาจะฝ่าทะเลพลิกผันหลายต่อหลายครั้ง

เพื่อเจ้านายที่ ‘ตายไป’ คนนั้นหรือไม่

หากผู้สูงศักดิ์สวรรค์มหาเทพผู้ขจัดความทุกข์นั่งลืมสำเร็จจริงๆ อีกทั้งยังอยู่รอดในภพที่สองด้วยร่างของ ‘แขกวารี’ ไม่ว่าจะกระบี่เซียนนั่น แส้จามรีนั่น หรือมหาปราชญ์สิงโตเก้าหัวเผ่าปีศาจ ล้วนต้องจำนางได้…

เจ้าของภูเขาแดงที่แท้จริง

เกรงว่าคงจะเป็นผู้สูงศักดิ์สวรรค์หญิงคนนั้น