นัทธีไม่ได้ตอบ ได้แต่ดึงเธอเดินหน้าไปด้วยใบหน้าหม่นหมอง

ไปถึงหน้าลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เปิด

นัทธีมองคนอื่นๆในลิฟต์ ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นก็หรี่ลง“ออกไป!”

คนในลิฟต์ตัดสินว่าเขาเป็นคนที่ไม่ควรไปแตะต้องด้วยจากพลังที่แผ่ออกมาจากตัวเขา ดังนั้นเลยไม่กล้าออกความเห็น ค่อยๆออกมาจากลิฟต์

แป๊บเดียว ในลิฟต์ก็ว่างเปล่า นัทธีดึงวารุณีเข้าไป สะบัดเธอไปที่กำแพงลิฟต์ จากนั้นไปปิดประตูลิฟต์

หลังจากประตูลิฟต์ปิด นัทธีก็หันกลับ ดันวารุณีไปที่มุม“ผมเคยบอกคุณแล้วไง พงศกรไม่ใช่คนดีอะไร ให้คุณอยู่ห่างจากเขา คุณก็ไม่ฟัง!”

วารุณีละสายตาลง ไม่พูด ได้แต่ผลักเขา อยากออกมาจากมุม

แต่นัทธีกลับจับแขนของเธอไว้ ทำให้เธอผลักอีกไม่ได้ มืออีกข้างเหมือนกับพงศกรเมื่อกี๊ ที่จับคางของเธอไว้ ใช้นิ้วแม่มือเช็ดริมฝีปากของเธอแรงๆ

ริมฝีปากของวารุณีถูกพงศกรกัดไป เลยแตกเล็กน้อย แล้วมาถูกนัทธีเช็ดอีกแบบนี้ จึงเจ็บจนขมวดคิ้ว

“คุณทำอะไร?”เธอทนไม่ไหวจึงกัดนิ้วของเขา

นัทธีหยุดการกระทำลง ดวงตามองไปที่ปากของเธอ“สกปรก!”

หัวใจของวารุณีหดลง คลายฟันออกอย่างไม่รู้ตัว ปล่อยนิ้วมือของเขาออก หน้าเล็กๆนั้นซีดขาว

สกปรก?

เขาบอกว่าเธอสกปรก?

นัทธีจับได้ถึงความเสียใจในแววตาของวารุณี รู้ว่าคำพูดของตัวเองทำให้เธอเข้าใจผิด หลังจากริมฝีปากบางๆเม้มแล้ว ก็ยกคางของเธอขึ้นสูง แล้วก้มหน้าลงจูบปากของเธอไว้

วารุณีตะลึงงัน

นัทธีถือโอกาสนี้ แลกลิ้นในปากไปกับเธอ

ในที่สุดวารุณีก็ได้สติคืนมา ยักไหล่ขึ้นมา ตาเบิกโตมองจอนผมชายหนุ่มที่สมบูรณ์แบบด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ ลืมขัดขืน

จนเสียงลิฟต์ดังขึ้นมา นัทธีปล่อยเธอ เธอจึงส่งเสียงไปอย่างมึนๆว่า“คุณ…..”

“ช่วยคุณทำความสะอาดให้หมดจด!”นิ้วหัวแม่มือของนัทธีลูบไปที่ปากของตัวเอง

ทำความสะอาด?

วารุณีตะลึง จากนั้นจึงเข้าใจว่า ทำความสะอาดที่เขาพูดนั้น คือช่วยเธอกำจัดร่องรอยที่พงศกรทิ้งไว้

ดังนั้นสกปรกที่เขาพูด ก็หมายถึงพงศกร ไม่ใช่เธอ!

เขาแคร์ขนาดนี้ เพราะหึงหรือเปล่านะ?

ภายในใจก็รู้สึกหอมหวานขึ้นมา วารุณีลูบริมฝีปากของตัวเอง อดกลั้นความหวังภายในอกแล้วถามไปว่า“ทำไมต้องจูบฉันคะ?”

สายตานัทธีเป็นประกายเล็กน้อย ยังไม่ตอบ แต่เอามือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกไปจากลิฟต์

วารุณีกัดริมฝีปาก ตามไปอย่างไม่พอใจ“ประธานนัทธี คุณคงไม่ใช่คนประเภทที่จูบใครมั่วๆหรอกใช่ไหมคะ?ฉันเคยได้ยินผู้ช่วยมารุตบอกว่า คุณเป็นคนบ้าความสะอาดสุดๆ แต่คุณกลับจูบฉันอย่างไม่ลังเล คุณชอบฉันหรือเปล่า?”

วันก่อนบนเครื่องบิน เธอก็เคยสงสัยอย่างนี้ แต่แป๊บเดียวก็ถูกตัวเองปฏิเสธไป

แต่การกระทำที่เขาเพิ่งทำต่อพงศกร และจูบเธอนั้น ทำให้เธอต้องสงสัยอีกครั้ง

ฝีเท้านัทธีหยุดลง แต่ไม่ได้หันหน้ามา พูดอย่างราบเรียบ“เปล่า”

ประกายในดวงตาวารุณีก็หม่นลงทันที การแสดงออกบนใบหน้าก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย

ในเมื่อไม่ได้ชอบ งั้นทำไมต้องจูบเธอด้วย?

มาหลอกเธอเหรอ?

วารุณีกำฝ่ามือไว้แน่น เบ้าตาร้อนผ่าว ลึกในใจรู้สึกเจ็บ

แต่เธอไม่ได้แสดงออกมา หลังจากสูดลมหายใจลึกๆแล้ว ก็พยายามยิ้มออกไป“ฉันเข้าใจแล้ว ขอโทษค่ะประธานนัทธี ฉันเข้าใจผิดไปเอง ฉันคิดว่า……”

เธอถอยหลังไป ส่ายมือไป รอยยิ้มเริ่มดูไม่ธรรมชาติ“ประธานนัทธีก็ทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องนี้ละกันนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ประธานนัทธีช่วยฉันพ้นจากอันตรายเมื่อกี๊ด้วย ครั้งหน้าฉันจะเลี้ยงข้าวคุณ ฉันกลับห้องก่อนนะคะ”

พูดจบ วารุณีก็ก้มหน้าลง หันกลับ ขนตาปกปิดสายตาในดวงตาไว้ แล้วออกไปอย่างรวดเร็ว

เธอโง่จริงๆ รู้อยู่แล้วว่านวิยาต่างหากที่เป็นคนนั้นในใจเขา แต่ในใจกลับยังหวังว่าเขาจะชอบตัวเอง คิดเข้าข้างตัวเองไปครั้งที่แล้วไม่พอ ยังคิดเข้าข้างตัวเองอีกเป็นครั้งที่สอง น่าอายจริงๆ

แต่แบบนี้ก็ดี เขาปฏิเสธแล้ว เธอก็จะได้ตัดใจให้สุด ไม่ไปหวังกับของที่ไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป

ฟังเสียงรองเท้าส้นสูงที่ค่อยๆหายไปจนไม่เหลือ นัทธีจึงหันไปมองทางที่วารุณีออกไป มือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ก็กำขึ้นมา

มารุตไม่รู้ว่ามาตอนไหน ยืนอยู่หลังเขาแล้วถอนหายใจ“ประธาน ทำไมคุณไม่ยอมรับหัวใจที่คุณมีต่อคุณวารุณีไปตรงๆล่ะครับ อีกอย่างคุณวารุณีก็รู้สึกดีต่อคุณ พวกคุณคบกันได้เลย ยังไงซะคุณก็จะยกเลิกการหมั้นกับผู้จัดการพิชญาอยู่แล้ว”

“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”นัทธีเม้มปาก ตอบกลับเสียงทุ้มต่ำ“ยังหาคนที่ทำร้ายเธออยู่เบื้องหลังมาไม่ได้ ผมคบกับเธอไป มีแต่นำอันตรายมาให้เธอ รอยกเลิกการหมั้นก่อน ค่อยหาฆาตกรที่อยู่เบื้องหลัง แล้วผมจะไปจีบเธอเอง”

เขาเคยพูดในใจแล้วว่า สิ่งที่เขาชอบ เขาก็ต้องได้มันมา!

ก็แค่เป็นปัญหาของเวลาว่าช้าหรือเร็วก็เท่านั้น

มารุตพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที“ที่แท้ก็แบบนี้เอง แต่ว่าคุณเพิ่งปฏิเสธความในใจของตัวเองไป ตอนนี้คุณวารุณีต้องเสียใจแน่ครับ”

ในใจนัทธีก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก ลูกกระเดือกเคลื่อนไหว น้ำเสียงแหบเล็กน้อย“ต่อไปผมจะชดเชยให้เธอเอง!”

มารุตถอนหายใจ“ผมก็จะรีบหาฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ แต่พูดแล้วก็แปลกๆ”

“ทำไม?”นัทธีหันหน้ามองเขาเล็กน้อย

มารุตลูบคาง“ก่อนหน้านี้พวกเราต่างสงสัยว่ารอบกายประธานจะต้องมีคนคอยเฝ้าสังเกต ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะรู้ว่าคุณใกล้ชิดกับคุณวารุณีได้ไวขนาดนี้แน่ แต่ผมสืบหาคนที่อยู่รอบๆแล้ว พวกเขาต่างดูไม่น่าสงสัย ดังนั้นผมจึงพูดว่า พวกเราเข้าใจผิดหรือเปล่า ที่จริงแล้วไม่ได้มีคนเฝ้าสังเกตอยู่แล้ว?”

นัทธีละสายตาลง คิดอยู่หลายวินาที แล้วจึงหรี่ตา“กลับประเทศแล้วลองไปหยั่งเชิงดู”

“เข้าใจแล้วครับ”มารุตพยักหน้า

“ไปเถอะ”นัทธีลูบขมับ ก้าวเท้าเดินไปที่ห้องสูทตัวเอง

ตอนบ่าย เขาขึ้นเครื่องกลับไปประเทศก่อน

วารุณีกับพงศกรก็ยังไปไม่ได้ เพราะพงศกรยังไม่ฟื้น

วารุณียืนอยู่หน้าประตูห้องคนไข้เขา มองเขาผ่านกระจกบนประตู ไม่กล้าเข้าไปอยู่หลายครั้ง ตอนเช้าพงศกรทำเธอตกใจมากจริงๆ

ตอนนี้เอง พยาบาลที่มาตรวจห้องก็ออกจากห้องในห้องคนไข้ของพงศกร

วารุณีเรียกเธอไว้“พยาบาลคะ เขาไม่เป็นไรใช่ไหม?”

พยาบาลส่ายหน้า“ไม่เป็นอะไร ก็แค่เมื่อวานเขาจมน้ำ ร่างกายยังฟื้นคืนมาไม่สมบูรณ์ ในกระเพาะยังมีน้ำทะเลหลงเหลือ บวกกับเมื่อตอนเช้าก็ดื่มไวน์อีก ทำให้แก้แอลกอฮอล์เล็กน้อย พักสักสองสามวัน เอาน้ำทะเลทั้งหมดออกมาได้ก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”

“เหรอคะ ขอบคุณค่ะ”หัวใจวารุณีที่พองโตก็กลับไปที่เดิม

พยาบาลเดินผ่านเธอไป

วารุณีถอนหายใจเบาๆ

ที่จริงเธอคิดว่าตอนนี้พงศกรยังไม่ฟื้น เป็นเพราะหมัดนั้นของนัทธี

ตอนนี้ดูแล้ว ถึงไม่มีหมัดนั้น พงศกรก็ยังต้องล้มลงไป

ครืด!

โทรศัพท์ในกระเป๋าจู่ๆก็สั่นขึ้นมา

วารุณีวางมือลงจากกระจกที่บานประตู หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า มองเห็นตัวอักษรสามคำว่าปาจรีย์เคลื่อนไหวไปมาตรงหน้าจอ เธอจึงมองพงศกรที่อยู่ในห้องคนไข้อย่างร้อนตัว แล้วกดรับ“ปาจรีย์”

“วารุณี เธอกลับมาประเทศหรือยัง?”เสียงของปาจรีย์ที่ชัดเจนไพเราะดังขึ้นมา

วารุณีส่ายหน้า“ยังเลย”

“งั้นเธอจะกลับมาเมื่อไหร่?”ปาจรีย์ถามอีกว่า

วารุณีลูบขมับ“ยังไม่รู้เลย ทำไมเหรอ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก คือสมาคมออกแบบแจ้งประกาศมาว่า เชิญผู้รับผิดชอบของสตูดิโอกับบริษัททั้งจังหวัดจันทร์ไปประชุม เหมือนว่าจะมีการแข่งขันอะไร รายละเอียดฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่ เลยจะถามเธอว่าไปประชุมไหม”ปาจรีย์เลื่อนเมาส์ลง มองประกาศบนคอมแล้วตอบไป

“เชิญผู้รับผิดชอบของสตูดิโอกับบริษัททั้งจังหวัดจันทร์ ดูเหมือนการแข่งขันนี้จะไม่เล็กแล้ว”วารุณีกัดริมฝีปาก แววตามีประกายแวบเข้ามา“เวลาประชุมเมื่อไหร่เหรอ?”