แม้นับรวมบัณฑิตหนุ่มและน้าเฝิงแล้วในบ้านของหลินเว่ยเว่ยก็ไม่มีบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่สมวัยอยู่ด้วยสักคน หากวันใดวันหนึ่งนางไม่อยู่บ้านแล้วโดนชาวบ้านที่หิวกระหายบุกปล้น เช่นนั้นก็ถึงคราวโชคร้ายกันพอดี !

เป็นอย่างที่คิด คนที่เคยสนิทใกล้ชิดกับหลิวว่ายจื่อได้เอ่ยถามอย่างไม่เชื่อหู “บ้านตระกูลหลินเป็นหนี้จริงหรือ ? บ้านนางมีกลิ่นหอมของเนื้อทุกวัน พวกผู้หญิงในหมู่บ้านต่างก็กล่าวว่าตระกูลหลินมีเนื้อให้กินทุกมื้อ ! แม้แต่คนที่ไปทำงานบ้านนางก็ยังได้เนื้อกลับมาบ่อยครั้ง ! ”

คนที่พูดมีนามว่าหวางล่ายจื่อ ทันใดนั้นไม้กะตักในมือของหลิวว่ายจื่อก็เคาะไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายพร้อมถลึงตามอง “เจ้าจะเชื่อข้าหรือเชื่อคำนินทาเหล่านั้น ? ที่มีกลิ่นเนื้อลอยออกมาจากบ้านตระกูลหลินก็เพราะพวกนางทำเนื้อแผ่นขาย บ้านใครทำเนื้อแผ่นแล้วไม่ใช้เนื้อบ้าง ? ส่วนเนื้อที่ให้คนอื่นกลับไปก็เพราะตระกูลหลินไม่มีเงินค่าจ้างจึงเอาเนื้อแลกเป็นค่าจ้างแทน ! เจ้านี่นะ ใช้สมองให้มากหน่อย ! ”

“ตระกูลหลิน…ไม่มีเงินจริงหรือ ? ” หวางล่ายจื่อถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

หลิวว่ายจื่อจ้องเขม็ง “ทำไม ? เจ้าอยากถามให้แน่ชัดเพื่อสิ่งใด ? คงไม่ได้ใช้สมองคิดสิ่งใดที่เลวร้ายหรอกนะ ? ข้าเตือนให้เจ้าหยุดคิดได้เลย ! บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินสามารถไล่หมีควายได้ด้วยหมัดเดียว สภาพร่างกายเจ้ายังไม่พอให้นางใช้นิ้วจิ้มด้วยซ้ำ ! ”

หวางล่ายจื่อหรี่ตามองแล้วฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “เสือยังมีเวลาหลับ ! แล้วบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินก็ไม่ได้อยู่บ้านตลอด…”

หลิวว่ายจื่อใช้นิ้วชี้ไปที่อีกฝ่าย “เมื่อครู่ข้าบอกให้เจ้าใช้สมอง แต่เจ้าก็คิดน้อยอีกแล้ว เจ้าดูข้าสิ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงหางานดี ๆ ได้ในเมือง ? แล้วเหตุใดได้นั่งเกวียนด้วย ? นั่นก็เพราะบุตรสาวคนรองตระกูลหลินมีเส้นสายที่นั่น ! ถ้าเจ้าไม่คิดประจบนางแล้วยังเล็งเป้าหมายไปที่บ้านนางอีก เจ้าไม่ได้โง่เขลาไปแล้วหรือ ? ”

“พี่หลิว…ความหมายของท่านคือ…นางหนูรองก็ช่วยหางานให้ข้าได้หรือ ? ข้าเองก็สามารถก้าวหน้าเหมือนท่านที่ใต้ฝ่าเท้ามีลูกน้องคอยช่วยเหลือและยังมีเกวียนให้ขับด้วย ใช่หรือไม่ ? ” ทันใดนั้นหวางล่ายจื่อ หลิวจู่จื่อและหลี่เกินจู่ที่มักมาเล่นพนันกับหลิวว่ายจื่อก็พากันเบียดมาตรงหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง

“บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินกล่าวไว้ว่าโอกาสมีไว้ให้คนที่พร้อมเสมอ ! เจ้าดูข้าสิ ข้าเองก็ไม่ได้คอยเฝ้าอยู่แถวหน้าบ้านตระกูลหลินบ่อย ๆ หรอกหรือ ข้าช่วยพวกนางไล่คนที่คิดไม่ดีออกไป ถึงได้มีวันที่น่าภาคภูมิใจเช่นวันนี้ ถ้าอยากเป็นเหมือนข้าที่ได้งานดี ๆ ทำในเมืองก็ต้องทำตัวให้ดีและอย่าคิดร้ายต่อตระกูลหลิน ! ” หลิวว่ายจื่อรู้ว่าขอแค่ทำให้ไม่กี่คนนี้สงบลงได้ก็แทบจะไม่เหลือใครในหมู่บ้านให้ก่อพายุขึ้นมาอีก

เจียงโม่หานมองมาทางหลินเว่ยเว่ยแล้วกระซิบเบา ๆ “เจ้าไม่ได้มองผิดไปหรอก ดูเหมือนหลิวว่ายจื่อผู้นี้…จะฉลาดอยู่บ้าง ! ”

หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้ม “คนในหมู่บ้านนี้มีนิสัยเรียบง่าย แม้จะเลวร้ายแต่จะร้ายได้ถึงเพียงใดเล่า ? ขอแค่ให้ความหวังแก่เขา ประเดี๋ยวเขาก็จะตอบแทนเจ้าด้วยความจริงใจเอง”

“ที่เจ้าสอนเขาคิดเลขทำบัญชี เจ้าคงไม่ได้คิดซื้อห้องแถวมาไว้แล้วยกให้เขาเป็นผู้ดูแลหรอกกระมัง ? ” ส่วนใหญ่สิ่งที่เจียงโม่หานได้สัมผัสในชาติก่อนคือความมืดมนและความชั่วร้าย ดังนั้นจึงขาดความไว้วางใจในตัวผู้คน แล้วคนอย่างหลิวว่ายจื่อจะเชื่อใจได้หรือ ?

หลินเว่ยเว่ยยักไหล่ “ก็ต้องดูที่ความประพฤติของเขา”

หากหลิวว่ายจื่อผ่านบททดสอบของนางได้จริง เช่นนั้นการจะยกให้เขาดูแลแล้วจะเป็นอันใด ?

วันรุ่งขึ้นหลิวว่ายจื่อก็ขับเกวียนเทียมล่อมาถึงหน้าบ้านตระกูลหลินแล้ว จากนั้นเขาก็ขนของไปพลางกล่าวไปด้วย “นางหนูรอง วันนี้เจ้าคนใดจะไปส่งสินค้าหรือ ? ”

ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยัดขนมปังอบโรยงาไส้ต้นหอมใส่มือเขา 2 ชิ้นแล้วรีบปีนขึ้นเกวียน “เพิ่งอบเสร็จเช้านี้ ยังร้อนอยู่เลย รีบกินตอนร้อน ๆ สิ ! ”

หลิวว่ายจื่อแสร้งปฏิเสธสองสามประโยค จากนั้นก็รีบกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว “หอมดี ! ข้างในคงมีกากหมูใช่หรือไม่ ? ใช่สิ บ้านเจ้าทำเนื้อแผ่นนี่นา ต้องไม่ขาดกากหมูอยู่แล้ว ! ทั้งกรอบทั้งหอม หลานสาว ฝีมือทำขนมปังอบของเจ้าสามารถเปิดร้านในเมืองได้เลย ! ”

“นี่ถือเป็นของแทนคำขอบคุณที่เมื่อวานท่านพูดเช่นนั้นกับคนในหมู่บ้าน ! ” ในหมู่บ้านมีคนจำนวนมากที่กินข้าวได้แค่วันละ 2 มื้อ ดังนั้นการได้กินขนมปังอบจากแป้งขาวและกากหมูยังถือว่าฟุ่มเฟือยกว่าตอนที่ฉลองปีใหม่เสียอีก

เมื่อเช้าหลิวว่ายจื่อก็กินผักป่าแสนเหนียวหนึบมาแล้ว แต่เขายังกินขนมปังอบอย่างตะกละตะกลาม จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เรื่องเล็กน้อย ข้าขอบอกเจ้าตามตรงว่ามีคนจำนวนไม่น้อยในหมู่บ้านเพ่งเล็งมาที่บ้านเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าชอบมาเดินหน้าบ้านเจ้าบ่อย ๆ ก็เพราะคอยระวังพวกหวางล่ายจื่อให้

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ! ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยชีวิตข้าจากหมีควายตัวนั้น ข้าคงตายไปนานแล้ว แถมตอนนี้เจ้ายังหางานดี ๆ ให้ข้าทำอีก ดังนั้นการที่ข้าจะช่วยบ้านเจ้าบ้างก็ถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว ! ”

“น้องว่ายจื่อ เจ้าจะเข้าเมืองหรือ ? ขอข้าขึ้นเกวียนไปสักระยะได้หรือไม่ ? ” มารดาของเจ้าอ้วนซานกำลังไล่แพะป่า 2 ตัวไปด้านหน้า พอได้ยินเสียงเกวียนแล้วนางก็หยุดยืนพลางถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

หลิวว่ายจื่อรู้ว่ามารดาของเจ้าอ้วนซานบาดหมางกับคนตระกูลหลิน เขาจึงตีฝีปากเป็นพ่อค้า “ได้สิ ! 2 อีแปะ ! ”

สีหน้าของมารดาเจ้าอ้วนซานเปลี่ยนไปทันที นางจึงเอ่ยเสียงดังลั่น “ต้องใช้เงินจำนวนมากในการเข้าเมืองเลยหรือ ข้าเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกับเจ้า แต่เจ้าเรียกเก็บข้า 2 อีแปะเชียวหรือ ? ”

“ถ้ามีเจ้าคนเดียวข้าก็เก็บอีแปะเดียวอยู่แล้ว แต่เจ้ายังมีแพะอีกสองตัวไม่ใช่หรือ ? เกวียนของข้ายังใหม่เอี่ยม ถ้าทำสกปรก แล้วข้าจะไปรายงานคุณชายอย่างไร ถ้าไม่…เจ้าก็เดินเข้าเมืองเองสิ ! ” หลิวว่ายจื่อสะบัดเชือกค่าวในมือเบา ๆ เกวียนก็เริ่มขยับไปด้านหน้า

วันนี้มารดาของเจ้าอ้วนซานต้องเข้าเมืองเพื่อไปขายแพะ ถ้าเดินเท้าแล้วกว่าจะถึงตัวเมืองก็เกือบยามอู่แล้ว ส่วนตัวแพะก็ไม่รู้จะขายได้เมื่อไร ถ้ากลับไม่ได้ภายในวันนี้การพักในเมืองก็ต้องเสียเงินอีกหลายอีแปะ !

ขณะกำลังคิดจะต่อราคากับหลิวว่ายจื่อ นางก็คิดได้ว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะรู้สึกสงสารแล้วเก็บค่าโดยสารน้อยลงหรือไม่เก็บเลยก็ได้ แต่หลิวว่ายจื่อขึ้นชื่อเรื่องความเสเพลในหมู่บ้าน หน้าหนาจนมีดก็แทงไม่เข้า หากนิสัยเสียของเจ้าหมอนี่กำเริบก็อาจขับเกวียนทิ้งไปเลยก็ได้

มารดาของเจ้าอ้วนซานอดกลั้นความปวดร้าวในใจไว้แล้วยื่นเงินให้หลิวว่ายจื่อ 2 อีแปะ หลิวว่ายจื่อจึงกล่าวกับนางว่า “ไปนั่งด้านหลังแล้วดูแพะของเจ้าให้ดี ถ้ามันฉี่หรืออึใส่เกวียนข้า เจ้าต้องจ่ายเงินเพิ่ม รู้หรือไม่ ? ”

การนั่งเกวียนเทียมล่อให้สบายที่สุดต้องนั่งด้านหน้า ยิ่งอยู่หลังเท่าไรก็ยิ่งอันตรายเวลาเจอหลุมต่าง ๆ มารดาของเจ้าอ้วนซานจึงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “ข้าก็จ่ายเงินแล้วเหตุใดนั่งหน้าไม่ได้ ? สัตว์อยากจะฉี่ก็ปล่อยมันฉี่ไปสิ ข้าห้ามมันไม่ให้ฉี่ได้ที่ไหน…”

แต่ทันใดนั้นหลิวว่ายจื่อก็ทำปากขมุบขมิบพลางกล่าวด้วยถ้อยคำผิดแปลก “เจ้าห้ามไม่ได้แต่รองฉี่มันได้ ! เกวียนใหม่ของข้าใช้เงินซื้อมาหลายตำลึงเชียวนะ ถ้าทำสกปรกแล้วเจ้าชดใช้ไหวหรือ ? ”

นอกจากมารดาของเจ้าอ้วนซานแล้วในหมู่บ้านยังมีผู้หญิงอีกสองคนที่จะเข้าไปในเมือง มารดาของเจ้าอ้วนซานปากไม่ดี นิสัยไร้เมตตา ดังนั้นจึงไม่มีใครในหมู่บ้านชอบนาง ผู้หญิงอีกสองคนจึงช่วยหลิวว่ายจื่อพูด “ใช่ ! นี่คือเกวียนของเจ้านายว่ายจื่อ ถ้าทำสกปรกแล้ว เขาต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เพิ่งไปทำงานวันแรกถ้าทำให้เจ้านายไม่พอใจ งานจะยังรักษาไว้ได้หรือ ? ”

“ท่านทั้งสองพูดได้ถูกต้องที่สุด ! คราวหน้าถ้าอยากได้เข็มกับด้ายจากในเมืองก็บอกได้เลย….” หลิวว่ายจื่อสะบัดไม้กะตักในมือ เขาไม่พอใจกับมันสักเท่าไร…ขากลับคงต้องหาเชือกมาทำเป็นแส้สักหน่อย ดูสิว่าเกวียนเทียมวัวของตาเฒ่านั่นจะแรงสักเพียงใด !

ด้วยพลังแห่งเกวียนเทียมล่อจึงทำให้การเดินทางรวดเร็วขึ้นมาก ผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยามกว่า ๆ ทุกคนก็มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

ตอนต่อไป