ตอนที่ 125 ฉกฉวยชื่อเสียงดีหรือไม่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 125 ฉกฉวยชื่อเสียงดีหรือไม่ ?

หลังส่งผู้โดยสารทั้งสามคนที่หน้าประตูเมืองเสร็จแล้ว หลิวว่ายจื่อก็ขับเกวียนไปที่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ จากนั้นเขาก็ยื่นเงินจำนวน 4 อีแปะที่หามาได้เมื่อครู่ให้หลินเว่ยเว่ย

หลินเว่ยเว่ยโบกมือปฏิเสธ “บังคับเกวียนคืองานลำบาก ท่านเก็บไว้ซื้อหมั่นโถวกินตอนกลางวันเถิด ! ”

หลิวว่ายจื่อจึงยิ้มและกล่าวอย่างร่าเริง “เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ หลานสาว เจ้าช่างใจกว้างเสียจริง ไม่น่าแปลกใจที่ร้านค้าตระกูลหนิงเลือกทำธุรกิจกับเจ้า ! ”

เมื่อถึงร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้แล้ว หลินเว่ยเว่ยก็กวักมือเรียกหลิวว่ายจื่อเพื่อให้เข้ามาในร้าน จากนั้นก็พูดกับเถียนฟู่กุยว่า “อาเถียน ต่อไปอาว่ายจื่อจะเป็นคนมาส่งสินค้า รบกวนท่านลงบัญชีให้ละเอียด แล้วข้าจะเข้ามาตรวจทุกสิบวัน”

ทันใดนั้นหลิวว่ายจื่อก็ชี้นิ้วมาที่จมูกของตน “ข้าหรือ ? เจ้าไว้ใจให้ข้ามาส่งสินค้าแทนหรือ ? ”

“มีสิ่งใดไม่น่าเชื่อใจเล่า ? หรือท่านไม่อยากทำ ? ข้าไม่ให้ท่านมาส่งโดยไม่ได้เงินหรอก เพราะจะให้ค่าเหนื่อยวันละ 10 อีแปะ เป็นเช่นไรบ้าง ? ” เมื่อทำเช่นนี้แล้วไม่ว่านางหรือนางเฝิงก็ไม่ต้องวิ่งเข้าออกเขตเริ่นอันทุกวัน อีกทั้งยังประหยัดเวลา สามารถทำผลไม้อบแห้งเพิ่มและทำเงินได้อีกไม่น้อย !

หลิวว่ายจื่อจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเรื่องเงินก็ช่างเถิด เจ้าหางานที่ดีให้ข้าเช่นนี้ หากข้าช่วยทำงานเล็กน้อยให้เจ้าแถมยังรับเงินเพิ่มอีก เช่นนั้นข้าจะยังเป็นคนอีกหรือ ? ข้ากังวลว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีแล้วทำให้เจ้าเสียงาน…”

“แค่นำผลไม้อบแห้งและเนื้อแผ่นมาส่งที่ร้านค้า ส่วนเรื่องชั่งน้ำหนักกับลงบัญชี อาเถียนเป็นคนทำ ! แล้วจะมีสิ่งใดผิดพลาดได้เล่า ? อาว่ายจื่อ เชื่อมั่นในตนเองหน่อย ดึงจิตวิญญาณของหลงจู๊ใหญ่ออกมา ! ”

หลิวว่ายจื่อหัวเราะอย่างโง่เขลา ตำแหน่งหลงจู๊ใหญ่นี้เขาสามารถโอ้อวดที่หมู่บ้านได้ แต่งานของเขาจริง ๆ แล้วเป็นแค่คนคอยจัดการธุระให้ผู้อื่นเท่านั้น…

หลิวว่ายจื่อเกาศีรษะ “เช่นนั้นก็ได้ ! หลานสาว ถ้าเจ้าไว้ใจให้ข้ามาส่งสินค้าแทน ข้าก็จะลองดู แต่เรื่องเงิน…ข้ารับไม่ได้จริง ๆ ”

“ส่งสินค้าในเมืองไม่ใช่งานที่จะทำเพียงวันสองวัน หากท่านไม่รับเงิน แล้วต่อไปข้าจะกล้ารบกวนท่านได้อย่างไร ? ” ความหมายของหลินเว่ยเว่ยก็คือหากวันหน้างานที่ห้องแถวจบแล้ว นางก็ยังจะให้ตัวเขาคอยส่งสินค้าเข้ามาในเมืองอย่างนั้นหรือ ? แปลว่าตราบใดที่ตระกูลหลินยังทำการค้าอยู่ เขาก็จะไม่ว่างงานและมีเงินใช้ต่อไป

หลิวว่ายจื่อรีบยืดตัวตรงและทุบอกรับประกันทันที “วางใจได้ ! เรื่องนี้ข้าจะทำให้อย่างดี ! ”

ขณะมองหลิวว่ายจื่อขับเกวียนออกไป เถียนฟู่กุยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่วางใจ “ถ้อยคำของคนเสเพลจะเชื่อได้หรือ ? ข้าไม่ได้กลัวเขาขโมยกินหรอกนะ ทว่าราคาเนื้อแผ่นแพงถึงเพียงนี้ ถ้าเขาแอบขโมยไปวันละนิด…เรื่องขโมยของเขาทำน้อยลงหรือยัง ? ”

“ดังนั้นข้าจึงต้องรบกวนอาเถียนช่วยลงบัญชีอย่างละเอียดไงเล่า ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย โอกาสนางสร้างให้แล้ว แต่จะคว้าไว้ได้หรือไม่ก็ยังต้องรอดูว่าหลิวว่ายจื่อจะเลือกอย่างไร !

สุดท้ายวันเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่านางไม่ได้มองคนผิด คนในหมู่บ้านต่างสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าหลิวว่ายจื่อเปลี่ยนไปจริง ๆ เมื่อก่อนถ้าไม่นอนจนถึงเที่ยงก็จะไม่ตื่น เกียจคร้านชนิดคนสันหลังยาว แต่ทุกวันนี้ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นก็ตื่นนอนและยังขับเกวียนมารับสินค้าที่บ้านตระกูลหลิน จากนั้นก็นำไปส่งในเมืองอย่างสม่ำเสมอ ส่วนห้องแถวตรงท่าเรือ เขาก็คอยคุมคนงานก่อสร้างอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้แต่กระเบื้องหรือวัสดุในการก่อสร้าง เขาก็เป็นคนไปเลือกซื้อด้วยตนเอง…

ต่อจากนั้น 10 วัน หลิวว่ายจื่อก็กลับมาจากในเมืองตอนหัวค่ำ เขาจอดเกวียนเทียมล่อไว้ที่หน้าบ้านตระกูลหลิน จากนั้นก็นำสมุดบัญชีมายื่นให้หลินเว่ยเว่ย

หลินจื่อเหยียนยื่นศีรษะมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ในนั้นเต็มไปด้วยลายพู่กันน่าเกลียด แม้อ่านจนตาลายก็ยังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

ส่วนหลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษ นอกจากตัวเลขอารบิกที่นางสอนแล้วก็ยังมีรูปวาดประหลาดด้วยบางส่วน

หลิวว่ายจื่อถือกระบวยมาตักน้ำแล้วดื่มน้ำเย็นสดชื่นเข้าไป…น้ำของตระกูลหลินหวานสดชื่นกว่าน้ำบนภูเขาเสียอีก

ต่อจากนั้นเขาก็ชี้ที่รูปลูกท้อแล้วพูดว่า “นี่หมายถึงผลไม้อบแห้ง เลขสิบต่อจากนั้นคือจำนวนสินค้าที่ส่งไปทุกวันและหลงจู๊เถียนได้ชั่งแล้ว ! ตอนเจ้าไปร้านในวันพรุ่งนี้ก็นำสมุดบัญชีไปด้วย เผื่อจะได้เอาไว้เทียบกัน ! ส่วนรูปสี่เหลี่ยมคือเนื้อแผ่น ข้าจดไว้หมดแล้ว”

เมื่อหยุดอธิบายไปพักหนึ่ง เขาก็ชี้ไปยังตัวเลขแสนยุ่งเหยิงที่อยู่ด้านล่าง “พวกนี่คือบันทึกวันเวลาที่พวกคนงานก่อสร้างเข้าและออกงาน เหล่าจางมาทำ 10 วัน แต่เหล่าติงมาแค่ 8 วัน แล้วก็ยังมีเสี่ยวจาง…”

หลังได้ยินแล้วเจียงโม่หานก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงหยิบสมุด ‘บัญชี’ มาดูบ้าง…นอกจากหลิวว่ายจื่อแล้วก็ไม่มีใครเข้าใจเจ้าสมุดบัญชีเล่มนี้เลย

หลังดูเสร็จแล้วหลินเว่ยเว่ยก็ถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นก็หยิบกระดาษออกมาจากห้องของหลินจื่อเหยียนปึกหนึ่งแล้ววาดตารางลงไปทุกแผ่น จากนั้นก็เขียนบัญชีแยกประเภทสินค้า แบ่งวันเวลาและน้ำหนักเสร็จสรรพ

ในรูปแบบตารางจะเป็นวันที่ตามด้วยภาพรหัสของคนงานก่อสร้างแต่ละคน…หลิวว่ายจื่อเขียนหนังสือไม่เป็น แต่เขาก็เก่งมากที่แทนคนงานก่อสร้างด้วยรูปวาด เช่น เหล่าจางเป็นภาพนกสยายปีก เหล่าติงเป็นตะปู เสี่ยวจางเป็นนกสยายปีกขนาดเล็กกว่าเหล่าจาง…

พอได้สมุดบัญชีสองเล่มที่สมบูรณ์มาครองแล้วหลิวว่ายจื่อก็ดีใจจนดวงตากลายเป็นเส้นโค้ง “หลานสาว เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ ต่อไปข้าแค่จดตัวเลขใส่ก็ได้แล้ว ใครเข้างานอย่างไรก็ให้ค่าแรงเท่านั้น แค่มองครั้งเดียวก็รู้หมด เหตุใดข้าจึงคิดไม่ได้ ? ”

เจียงโม่หานหยิบสมุดบัญชีไปพลิกดู…ยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก เพราะการเขียนสมุดบัญชีนี้ทั้งเรียบง่ายและสะดวก ถ้านำไปใช้ในกรมคลังก็คงเป็นการลงทุนลงแรงน้อยแต่ผลตอบแทนที่ได้มากเป็นทวีคูณ…แต่เดี๋ยวก่อน ตอนนี้เขาเป็นบัณฑิตยากจนไม่ใช่ขุนนางชั้นสูงผู้มีอำนาจดูแลราชสำนักในชาติที่แล้ว ดังนั้นแม้อยากจะทำก็ทำไม่ได้

ทว่า…หากนายอำเภอเป่าชิงผู้ซื่อตรงคนนั้นเรียบเรียงวิธีเขียนบัญชีนี้แล้วยื่นถวายฎีกาขึ้นไป เช่นนั้น…

แม้บัณฑิตที่ยากจนจะสอบติดแล้วเมื่ออยู่บนเส้นทางขุนนางก็มักจะไม่ราบรื่นเสมอไป ด้านหนึ่งเพราะไม่มีวงศ์ตระกูลคอยหนุนหลังและอีกด้านหนึ่งคือไม่มีผลงานสร้างชื่อเสียง หากสร้างชื่อจากเรื่องนี้แทนก็จะสร้างประโยชน์อย่างมากต่อเส้นทางอาชีพในอนาคต !

หากเป็นคนในชาติที่แล้วคงตัดสินใจฉกฉวยโดยไม่ลังเล ทว่า…นี่คือความคิดของเด็กตัวแสบ…แม้เจียงโม่หานจะจู้จี้จุกจิกกับหลินเว่ยเว่ยหรือไม่ชอบนางในหลายเรื่อง แต่เขาก็รู้ดีว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ชะตาชีวิตตนแตกต่างไปจากชาติก่อนคือการปรากฎตัวของนาง

ณ เวลานี้ของอดีตชาติ ตัวเขากำลังทนทุกข์อยู่เพียงลำพัง ป่วยนอนติดเตียง อาการปวดศีรษะก็เกิดขึ้นเป็นระยะและในอกก็ร้อนผ่าว…สาเหตุคือเขาโดนบ่าวของอู๋ปัวทำร้ายจนบาดเจ็บที่ศีรษะและรักษาไม่ทันเวลา ดังนั้นหลังจากที่มารดาจากไปแล้ว เขาก็ยิ่งไม่เหลือเงินให้รักษาตัวจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมไปวัน ๆ

แต่ตอนนี้เล่า หลังจากเขาโดนทำร้ายก็ถูกส่งเข้าโรงหมอทันทีและนางยังนำอาหารมาให้อีกเป็นครั้งคราว เพราะนางจึงทำให้มารดาไม่จากไปเหมือนชาติก่อนที่เพื่อขายผ้าปักเพียงไม่กี่ผืนต้องเดินข้ามเขาแล้วล้มลงเพราะความเหนื่อยล้ากลางป่า จากนั้นก็โดนสัตว์ป่า…

เพราะทำการค้าผลไม้อบแห้งกับอีกฝ่าย ในบ้านจึงมีเงินเก็บมากพอให้เขาซื้อยารักษาตัว ใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือนอาการบาดเจ็บของเขาก็ใกล้จะหายดี กระทั่งตอนนี้ยังไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะหรือปวดศีรษะเหมือนชาติก่อนเลย จะไม่เอ่ยถึงก็คงไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเขาและครอบครัวมีผลมาจากเด็กตัวเหม็นทั้งสิ้น…

ถ้าเขาฉกฉวยชื่อเสียงของนางไปอีก เขาจะไม่มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่าและต่ำทรามยิ่งกว่าสมุนของหลิวว่ายจื่อหรอกหรือ ?

ตอนต่อไป