ตอนที่ 29

Hell mode

บทที่ 29 ซื้อของ

เข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ตอนนี้บนท้องฟ้าไม่มีอัลบาเฮรอน เพราะการบินข้ามถิ่นจบลงไปแล้ว

อเลนยังคงล่าอัลบาเฮรอนต่อมาเรื่อยๆ จนจัดการได้ทั้งหมด 16 ตัว ทำการชำแหละอัลบาเฮรอนทั้งหมด และส่งมอบภาษีไปพร้อมกับมันฝรั่งเมื่อวันก่อนแล้ว

คนที่มาเก็บภาษีไม่ใช่หัวหน้าหมู่บ้านแต่เป็นคนในหมู่บ้าน ได้ทำการส่งมอบหินเวทและปีกขนนกให้ตามที่บอกไว้กับหัวหน้าหมู่บ้าน ดูเหมือนข่าวลือจะกระจายไปแล้ว เขาทำหน้าแบบไม่น่าเชื่อว่าจะจับได้จริงๆ

ปัจจุบันทำการแปรรูปเนื้อ 150 กิโลกรัมให้กลายเป็นเนื้อแห้งอยู่ตรงสวน ซึ่งเนื้อที่ทำการล่าช่วงแรกเริ่มแห้งดีแล้ว

“อเลน เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”

“ครับคุณเกลด้า”

วันนี้จะไปซื้อของตรงย่านที่อยู่อาศัย ของที่ซื้อคือฟืนกับเกลือ

ฤดูหนาวต้องใช้ฟืนจำนวนมาก เกี่ยวกับฟืนจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคมจะได้เนื้อหมูป่าหลายครั้งและเอาส่วนหนึ่งไปขายเพื่อซื้อ แต่พอโรดันบาดเจ็บสาหัส ทำให้ 2 เดือนมานี้ไม่ได้ไปซื้อ จนตอนนี้ฟืนของบ้านอเลนใกล้จะหมดแล้ว

เกลือเองก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ฟืนจะมีคนตัดไม้ที่อยู่รอบๆหมู่บ้านมาขาย ส่วนเกลือพ่อค้าเร่จากข้างนอกจะเป็ฯคนเอามาขาย ซึ่งพ่อค้าเร่เหล้านั้นปีหนึ่งจะมาแค่ไม่กี่ครั้ง ทำให้ราคาค่อนข้างสูงและจำเป็นต้องมีเก็บไว้พอสมควร

วันนี้เกลด้ามาสอนวิธีการซื้อของ เนื่องจากไม่มีรถม้า เลยวางพวกของต่างๆไว้ตรงชั้นไม้สะพายไหล่ ซึ่งตอนนี้แบกเนื้อของอัลบาเฮรอน 1 กิโลกรัมไว้ 10 ก้อน โดยจะขายสิ่งนั้นเพื่อซื้อฟืนและเกลือ

เทเรเซียโบกมือให้กับอเลนที่ออกไปพร้อมกับเกลด้า โดยมีโรดันยืนอยู่ข้างๆ

จากการบาดเจ็บสาหัสมาเดือนครึ่ง ตอนนี้อาการของโรดันดีขึ้นมาก ถึงจะยืนและเดินได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถไปซื้อของที่ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 2 ชั่วโมงได้ แถมขากลับต้องขนของมาด้วย อเลนเลยไปให้แทนเพราะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ซี่งโรดันไม่ได้ห้ามไม่ให้อเลนไปซื้อของ เลยให้เกลด้าไปด้วย

เกี่ยวกับคำสารภาพของอเลน เกลด้าเองก็ได้ฟังแล้ว แต่ยังคงคบหาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ซึ่งภายในเกลด้าเองคงยอมรับอยู่แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา

“ตั้งแต่ตอนนั้นประชาชนยังไปล่าหมูป่าหรือเปล่าครับ?”

ได้รับความช่วยเหลือมากมาย ทั้งชี้แนะเรื่องงานสวน เลยพูดสุภาพกว่าครอบครัว

“หือ? จู่ๆอะไรเนี่ย”

“แค่รู้สึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นครับ”

กว่าจะถึงส่วนกลางก็อีกประมาณ 1 ชั่วโมง เลยเดินไปคุยไป เกลด้าเป็นคนไม่ค่อยละเอียดอ่อนและอารมณ์ร้อนง่ายเลยเล่าให้ฟัง

“นั่นสินะ ตั้งแต่ตอนนั้นประชาชนก็ไม่ได้มาเลย หัวหน้าหมู่บ้านเองก็ไม่ได้พูดอะไรด้วยสิ เอาเถอะคงไปแค่พวกเราทาสติดที่ดินเท่านั้น

“นั่นสินะครับ”

“อือ”

(อืมๆ คงกลัวจนไม่เข้าร่วมการล่าหมูป่าแล้วด้วยสิ)

“ประชาชนไม่มาอย่างนั้นเหรอ ทาสติดที่ดินกับประชาชนมันต่างกันตรงไหนนะ แล้วทาสติดที่ดินต้องทำยังไงถึงจะเป็นประชาชนได้เหรอครับ?”

จริงๆแล้วนี่คือสิ่งที่อยากจะถาม

“หือ? อะไรเนี่ย ไปถามโรดันสิ”

“แบบว่า ถ้าถามเรื่องอย่าวนี้กับพ่อแม่มันรู้สึกไม่ดีเท่าไรนี่ครับ?”

เหมือนถามครอบครัวว่าไม่อยากเป็นทาสติดที่ดิน ต้องทำยังไงถึงจะเป็นประชาชนได้ ถ้าถามสิ่งนั้นกับครอบครัวของทาสติดที่ดิน ครอบครัวคงช็อกน่าดูเลย ถึงจะอยากรู้วิธีหลุดพ้นจากการเป็นทาสติดที่ดิน แต่ไม่มีใครให้ถามเลย

เกลด้าบอกให้ฟังในระหว่างที่เดินไป

ความแตกต่างของทาสติดที่ดินกับประชาชนคือภาษี ทาสติดที่ดินจะเก็บจาก 60% ของมอนสเตอร์และผลผลิตทางการเกษตร ประชาชนจะไม่เสียภาษี 60% แต่ต้องเสียภาษีรายหัว จำนวนเงินผู้ใหญ่อยู่ที่ 3 เหรียญทอง เด็กอยู่ที่ 1 เหรียญทอง นี่คือสิ่งที่ประชาชนธรรมดาต้องจ่ายทุกปี

(อย่างนี้นี่เอง ต้องเสียภาษีรายหัว ทุกปีต้องจ่าย 8 เหรียญทองสำหรับพ่อ แม่ ผม แล้วก็มัชชูรวม 4 คน ส่วนเด็กปีหน้าถึงจะคลอด ถ้าอย่างนั้นแล้วจำนวนคนในครอบครัวก็จะเพิ่มขึ้นอีก)

“นั่นสิครับ แล้วมีวิธีที่จะเป็นประชาชนหรือเปล่าครับ?”

“จะว่าไปเหมือนต้องจ่าย 10 เหรียญทองอยู่นะ มีบอกกันมาว่าบางครั้งท่านเจ้าเมืองให้รางวัลโดยเลื่อนขั้นให้เป็นประชาชนอยู่ แต่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”

(อืม ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ถ้าต้องจ่าย 10 เหรียญทองแล้วละก็ ครอบครัวของโรดันต้องใช้ถึง 50 เหรียญทองเลย)

“ขอบคุณมากครับ แล้วอย่าบอกว่าอเลนถามเรื่องนี้นะครับ”

“เรื่องอย่างนั้นไม่บอกอยู่แล้ว”

เกลด้ามาขยี้ศีรษะ

ในระหว่างที่ทำอย่างนั้นก็มาถึงมุมหนึ่งของเมืองที่มีร้านค้าเรียงราย เขตการค้าของหมู่บ้าน

“ก่อนอื่นก็เกลือ คิดว่าคงรู้อยู่แล้วว่าฟืนต้องเอาไว้สุดท้ายเพราะมันหนักมาก”

“ครับ”

เข้าไปในร้านที่มีประตูแบบตะวันตก เกลือและเครื่องเทศเรียงรายอยู่ด้านหลังเคาเตอร์ มันอาจจะแพง เลยไม่ได้วางไว้หน้าร้าน

“เอาเนื้อมาแลกเกลือ”

บอกธุระออกไปโดยไม่มีการต่อรอง เจ้าของร้านก็ตอบออกมาห้วนๆว่า เนื้ออะไรกับจำนวนเท่าไร

วันนี้เกลด้าไม่ได้มาแนะนำให้อเลนอย่างเดียว แต่มาซื้อของด้วย โดยเขาบอกไปว่าเป็นเนื้อของเกรซบอร์ ก่อนจะเอาไปวางไว้ตรงเคาเตอร์ ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็ใช้สิ่งที่เหมือนเครื่องชั่งในการวัดน้ำหนัก

“12 ช้อนโต๊ะ”

“ก็ได้”

มองดูพร้อมกับคิดว่าเป็นการสนทนาที่ไร้หางเสียง เขาส่งกล่องไม้เล็กๆให้เจ้าของร้าน พอเจ้าของร้านได้รับก็เอาช้อนไม้ตักเกลือจากไหเข้าไป 12 ครั้ง ซึ่งเกลด้าก็มองดูการทำอย่างนั้นด้วย

“เอ้า ตรวจสอบซะ”

เกลด้าเขย่ากล่องไม้ที่ใส่เกลือเบา เพื่อตรวจสอบภายใน หลังจากนั้นก็ใช้นิ้วก้อย เพื่อชิมเกลือเล็กน้อย

“ถูกต้องแล้ว”

เขาปิดฝากล่องไม้และมัดด้วยเชือกก่อนจะเอาใส่กระเป๋าเสื้อ

เพราะเกลดาเสร็จแล้ว อเลนเลยทำการแลกเนื้อตามบ้าง

“เนื้อของอัลบาเฮรอนครับ”

วางก้อนเนื้อของอัลบาเฮรอน 5 ก้อนที่หนักประมาณ 5 กิโลกรัมไว้ตรงเคาเตอร์ เพราะเป็นเนื้อที่ไม่ค่อยได้เจอหรือเปล่านะ เจ้าของร้านเลยมีปฏิกิริยาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆเริ่มชั่ง ได้แต่รอในระหว่างที่คิดว่าจะโดนปฏิเสธหรือเปล่า

“10 ช้อนโต๊ะ”

“เอ๊ะ? ถูกกว่าหมูป่าเหรอครับ?”

“หือ? เท่ากันน่ะ”เ

ดูเหมือนจะเท่ากัน ถ้าอย่างนั้นปริมาณเนื้อน้อยกว่าเกลด้าเหรอ เลยบอกว่าเอาอย่างนั้นและมอบกล่องไม้ให้ ก่อนจะทำการตรวจสอบเกลือที่ใส่เข้าไปแบบเดียวกับเกลด้า พอผูกด้วยเชือกแต่ใส่กระเป๋าเสื้อไม่ได้เลยเอามาผูกไว้ตรงเอวแทน

ต่อไปก็ซื้อพวกผลไม้จากร้านขายของชำ ตามปกติพวกข้าวสาลี ถั่ว และมันฝรั่งทาสติดที่ดินจะทำการแลกเปลี่ยนกันเอง แต่ไม่มีทาสติดที่ดินที่ปลูกผลไม้เลย ดูเหมือนพ่อค้าจะเอาเข้ามาขายจากเมืองอื่นอยู่

เกลด้าแลกเนื้อแห้ง 1 ก้อน กับผลโมลโม่ 4 ลูก อเลนเองก็ทำการแลกเนื้ออับบาเฮลอน 1 ก้อนกับผลโมลโม่ 4 ลูกเหมือนกัน คุณป้าเจ้าของร้านนี้อัธยาศัยค่อนข้างดี พร้อมกับคิดอะไรไร้สาระอย่างที่ว่าร้านขายเกลือปฏิบัติไม่ดีเพราะต้องเค็มหรือเปล่า

(หือ? เนื้อของหมูป่าระดับ C กับเนื้อของอัลบาเฮรอนระดับ D มีค่าเท่ากันงั้นเหรอ?)

นึกว่าเนื้อระดับยิ่งสูงจะยิ่งแพงซะอีก แถมคิดเอาไว้ว่าน่าจะโดนประเมินราคาต่ำเลยล่าเนื้อมาเตรียมเผื่อไว้ตั้งเยอะ แต่ดูเหมือนจะราคาเท่ากันอยู่

ไม่เคยเห็นหมูกับไก่ที่หมู่บ้านนี้เลย ทำให้คิดว่าน่าจะไม่มีการทำปศุสัตว์ ถึงจะมีม้าเอาไว้สำหรับรถม้าอยู่ แล้วในระหว่างที่พิจารณาถึงความสำคัญของเนื้อก็มาถึงร้านขายฟืน

และไม่ลืมที่จะจดเกี่ยวกับเส้นทางไปร้านต่างๆและท่าทางของพนักงานที่มาจนถึงตอนนี้ รวมไปถึงเกลือ 10 ช้อนโต๊ะกับผลโมลโม่ 4 ลูกไว้ในสมุดเวทมนตร์ เพื่อที่ครั้งต่อไปจะมาคนเดียวได้ ฤดูหนาวยังมีต่อเนื่องถึง 3 เดือน คงไม่สามารถซื้อฟืนในส่วนของ 3 เดือนได้ ต้องดูว่าวันนี้ 1 วันเอาส่วนของกี่วันกลับไปได้

รู้สึกได้เลยว่ามีคนยืนอยู่หน้าโกดังร้านขายฟืน มองเห็นข้างในจากทางเข้าโกดังได้ ซึ่งเห็นฟืนจำนวนมากวางเรียงอยู่

เกลด้าเอาเนื้อหมูป่าไปแลกก่อน โดยเนื้อ 1 ก้อนสามารถแลกฟืนได้ 4 มัด โดย 1 มัดมีน้ำหนักประมาณ 15 กิโลกรัม ซึ่งพอสำหรับใช้ 1 วัน ถ้าเผาทั้งวันจะไม่เพียงพอ จำเป็นต้องประหยัดในช่วงกลางวัน

เอาฟืน 4 มัดที่มีความยาว 1 เมตร ไปวางไว้ตรงชั้นไม้สะพายไหล่ เจ้าของร้านขายฟืนเองพูดเป็นห่วงอย่างไร้หางเสียง ได้ยินว่าเดี๋ญวก่อนอยู่ เพราะฟืน 4 มัดมันหนักถึง 60 กิโลกรัม

ทำการผูกมันโดยไม่สนใจเสียงพูดพร้อมกับแบกขึ้นหลังและเดินทางกลับบ้านพร้อมกับเกลด้า เท่านี้อเลนก็รู้วิธีมาซื้อของที่หมู่บ้านแล้ว