ตอนที่ 30

Hell mode

บทที่ 30 สำรวจตลาด

สองวันหลังจากที่ไปซื้อฟืนตุนสำหรับ 4 วัน มาวันนี้ก็ออกไปซื้อของในเมืองอีก เนื่องจากคุเรนะจะมาตอนบ่าย เลยคิดจะเปลี่ยนไปซื้อของตอนเช้าแทน แล้วเปลี่ยนจากทุก 2 วันเป็น 3 วัน

เกี่ยวกับการจัดการเนื้อของอัลบเฮรอน 16 ตัว ได้ฝากให้โรดันกับเทเรเซียจัดการทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนที่แลกผลโมลโม่มาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมมัชชูยังกินอย่างดีใจเสียด้วย มีคิดอยากให้เทเรเซียได้กินสารอาหารหลากหลายเพื่อลูกในท้องด้วย

ทำการสวมรองเท้าฟางที่หนาเล็กน้อย พร้อมกับแบกเนื้อของอัลบาเฮรอน 10 ก้อนรวมทั้งหมด 10 กิโลกรัมขึ้นมา หน้าหนาวสวมแค่รองเท้าสานธรรมดามันเย็นเกินไป แถมถ้าหิมะละลายแล้วไหลเข้าไปในรองเท้า จะทำให้พังเร็วแถมยังเย็นอีก

ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็มาถึงย่านการค้า ถึงจะบอกว่าย่านการค้าแต่ก็มีร้านขายของแค่ไม่กี่หลังเท่านั้น

(วันนี้เกลด้าไม่อยู่ด้วย ไปตรวจสอบของหน่อยดีกว่า)

เนื่องจากวันนี้เป็นครั้งที่ 2 เลยมาคนเดียว

เข้าไปในร้านขายเกลือ ถึงก่อนหน้านี้จะซื้อไปแล้ว แต่แค่นั้นมันไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีเก็บเผื่อไว้พอสมควร

มอบเนื้อ 5 กิโลกรัมให้เจ้าของร้านที่พูดไร้หางเสียง แล้วเขาก็ชั่งน้ำหนักโดยไม่พูดอะไรเหมือนกับก่อนหน้านี้ พอมองดูโดยไม่พูดอะไร เขาก็ตอบกลับมาเหมือนครั้งก่อน

“10 ช้อนโต๊ะ”

“เอาอย่างนั้นเลยครับ”

พอมอบกล่องไม้ให้ เขาก็เอาช้อนโต๊ะตักเกลือใส่เข้าไป

“ขอบคุณมากครับ ถ้าจะซื้อสิ่งนี้ต้องใช้เท่าไรเหรอครับ?”

“หือ? 5 เหรียญเงินน่ะ”

(โอ้ๆ อย่างนี้นี่เอง)

ต่อไปก็ร้านขายของชำ แน่นอนว่าร้านขายฟืนต้องไปสุดท้ายเหมือนเดิม

“ขอแลกเนื้อกับผลไม้หน่อยครับ”

“ได้เลย จะเอาอะไรเหรอ”

(ผลไม้มีหลายชนิดนะเนี่ย)

ทำการชี้ไปยังสิ่งที่เหมือนลูกพืชสีเหลืองซึ่งไม่เคยกินมาก่อน

“นี่อะไรเหรอครับ?”

“นี่แพงนะ ถ้าผลโปโปะได้แค่ 1 ลูก”

(โอ้โห! โปโปะแพงเกินไป เอาเป็นผลโมลโม่เหมือนเดิมก็แล้วกัน)

อเลนที่ชอบของหวานบอกกับมัชชู ว่าครั้งนี้จะซื้อผลไม้กลับไปให้ด้วย

“นั่นสิครับ ถ้าซื้อมันราคาเท่าไรเหรอครับ?”

เนื่องจากเธออัธยาศัยดีเลยบอกอะไรให้ฟังมากมาย พอเอามาเทียบกับข้อมูลจากการออกมาซื้อครั้ง ทำให้พอจะทราบค่าเงินแล้ว

1ด้านล่างนี้มีค่าเท่ากัน

・เนื้อของอัลบาเฮรอน 1 ชิ้น (ประมาณ 1 กิโลกรัม)

・เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ (ประมาณ 30 กรัม)

・ผลโมลโม่ 4 ลูก

・ผลโปโปะ 1 ลูก

・ฟืนสำหรับ 4 วัน (ประมาณ 60 กิโลกรัม)

เกลือกับผลไม้ต้องผ่านพ่อค้าเร่ ทำให้ราคาค่อนข้างสูง ส่วนเรื่องของเหรีญเงินได้รับการบอกมาจากเจ้าของร้านขายผัก

ด้านล่างนี้มีค่าเท่ากัน

・1 เหรียญทอง

・100 เหรียญเงิน

・ 1,000 เหรียญทองแดง

・ 10,000 เหรียญโลหะ

อเลนตรวจสอบค่าเงินและราคาตลาด จากการคุยพับเกลด้าเพื่อที่จะทำให้ครอบครัวทุกคนเป็นประชาชน จำเป็นต้องใช้ 50 เหรียญทอง

จากการคุยกับร้านขายเกลือทำให้รู้ว่าเนื้ออัลบาเฮรอน 1 กิโลกรัมมีค่าเท่ากับ 1 เหรียญเงิน ส่วนเนื้อที่ได้จากอัลบาเฮรอน 1 ตัวมีประมาณ 10 กิโลกรัม เลยทำการคำนวณว่าต้องปราบกี่ตัวถึงจะสะสมได้ 50 เหรียญทอง

(ต้องล่าอัลบาเฮรอนถึง 500 ตัวสินะ ถ้าเริ่มล่าตั้งแต่ตุลาคมปีหน้า คงใช้เวลาหลายปีกว่าจะครบ 50 เหรียญทอง)

อเลน สมัยที่ยังเป็นเคนอิจิ จะทำการล่ามอนสเตอร์ในเกมเป็นปกติ สำหรับเคนอิจิที่ชอบการฟาร์มอยู่แล้ว แค่ 500 ตัวคงทำให้สำเร็จได้อยู่ ใน 1 ชั่วโมงสามารถล่ามอนสเตอร์เป็นหมื่นๆตัวได้อยู่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเกมไหน

เนื่องจากทราบราคาตลาดแล้ว พอตั้งเป้าว่าจะไปร้านขายฟืน ก็เห็นร้านขายยากับร้านขายอาวุธ

มองเห็นสิ่งที่เหมือนสมุนไพรภายในร้านที่ชวนให้คิดว่าเป็นร้านขายยา วันก่อนก็เห็นอยู่หรอก แต่เนื่องจากเกลด้าอยู่ด้วยเลยไม่ได้แวะ ลองเข้าไปดูดีกว่า

“ขอโทษครับ”

“จ้า ยินดีต้อนรับ”

มีหญ้าต่างๆตกแต่งอยู่ภายในร้าน ส่วนด้านในร้านมีคุณป้าที่ดูสูงวัยอยู่

“มียาฟื้นพลังเวทไหมครับ?”

“อ้า? ลำบากนะเนี่ยมาพูดล้อเล่นอย่างนี้ ของแพงๆอย่างนั้นไม่มีวางขายหรอก”

แสดงว่าที่นี่มีขายแต่สมุนไพรที่ใช้รักษาแผลกับลดไข้เท่านั้นสินะ

“อย่างนั้นเหรอครับ”

(อย่างนี้นี่เอง ยาฟื้นพลังเวทมีอยู่แต่ราคาแพง คงยังไม่ซื้อจนกว่าจะสะสมเงินได้ในระดับหนึ่ง)

ตอนที่สู้กับอัลบาเฮรอนครั้งแรก สัตว์ F ถูกจัดการไป ทั้งพรคุ้มครองกับสัตว์อัญเชิญถ้าโดนจัดการจะหายไป หากศัตรูที่แข็งแกร่งปรากฎตัวขึ้นมา หรือตอนเข้าตาจน ถ้าสัตว์อัญเชิญโดนจัดการจะทำให้ตัวนักอัญเชิญตกอยู่ในวิกฤต ถ้าเป็นไปได้อยากจะตรวจสอบว่ามียาที่ใช้ฟื้นฟูพลังเวทหรือเปล่า

ถึงจะมองหาของต่างแต่ไม่มีการไล่ ทั้งที่เป็นแค่เด็กอายุ 6 ขวบสวมเสื้อปอนๆ และไม่น่าจะมีเงินแท้ๆ

(ไม่ค่อยจะโดนไล่เลยแฮะ จะว่าไปทั้งร้านขายเกลือ ร้านขายของชำ แล้วก็ร้านขายฟืนด้วย)

ถึงคนที่เปิดร้านจะเป็นประชาชน แต่ก็ไม่ได้แบ่งแยกทาสติดที่ดิน

“ยารักษาแผลอันไหนเหรอครับ?”

“อ้อ แถวๆนั้นแหละ”

เธอบอกมาอย่างไร้หางเสียง ในระหว่างที่คิดว่าต่างโลกเนี่ยพูดไร้หางเสียงเยอะ ก็ไปดูหญ้าที่เหมือนสมุนไพรตากแห้ง

(อย่างนี้นี่เอง จะว่าไปสมุดบันทึกมันวาดรูปได้หรือเปล่านะ?)

ไม่เคยลองกับสมุดเวทมนตร์ด้วย พอลองนึกถึงรูปของสมุนไพรตากแห้ง รูปของสมุนไพรที่เหมือนกับถูกวาดด้วยดินสิถูกถ่ายทอดลงไปในสมุดเวทมนตร์

(โอ้! ทำได้แล้ว!! ทำอะไรได้หลายอย่างนะเนี่ย)

ระบบจดบันทึกของสมุดเวทมนตร์แบ่งใช้งานได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะสำหรับสรุปผลการตรวจสอบ, สำหรับตั้งสมมติฐาน, สำหรับจดบันทึกประจำวัน, หรือสำหรับจดความทรงจำของโลกแห่งความเป็นจริง คิดว่าควรจะเพิ่มสำหรับวาดรูปไปด้วย และทำการบันทึกภาพของสมุนไพรแต่ละชนิดเก็บเผื่อเอาไว้

ตอนนี้เป็นทาสติดที่ดินทำให้เคลื่อนไหวได้จำกัด และไม่สามารถออกนอกหมู่บ้านได้ แต่ถ้าเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแล้วว่าจะลองตามหาสมุนไพร

ตอนที่คิดและทำการตรวจสอบสมุดบันทึกของสมุนไพร ก็นึกถึงสมุนไพรที่ช่วยชีวิตของโรดันออก

“จะว่าไป มีดอกมูราเสะหรือเปล่าครับ?”

“หา! ไม่มีหรอก ถึงมีก็ไม่ยอมลดให้แล้ว!!”

จู่ๆท่าทีเจ้าของร้านขายสมุนไพรรุนแรงขึ้น ด้วยความประหลาดใจถึงกับอุทานว่า เอ๊ะ? ทำไมกัน? ออกมา

“ขะ ขอโทษครับ”

“อ้อ เปล่าหรอก โทษทีนะ ตอนโน้นมันเจอเรื่องแย่ๆน่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ หรือว่าจะเป็นเรื่องเมื่อเดือนครึ่งที่แล้ว?”

(เอ๊ะ? คุณพ่อได้ดอกมูราเสะช่วยเอาไว้สินะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?)

เกลด้าไม่ได้บอกว่ามาซื้อดอกมูราเสะที่ร้านขายยาเพื่อโรดันด้วยสิ

ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนครึ่งก่อนจากเจ้าของร้านขายยา

เธอเล่าว่าก่อนเย็นมีชายที่ชื่อเกลด้าวิ่งมาที่ร้าน พร้อมกับบอกว่าอยากได้ยาที่ได้ผลดีที่สุด เป็นการมาหาที่ค่อนข้างเคร่งเครียดมาก

พอบอกไปว่ามีดอกมูราเสะอยู่แต่ราคา 5 เหรียญทอง เขาได้ทำการขอต่อเหลือ 3 เหรียญทอง แล้วบอกว่าจะมาจ่ายวันหลัง

ถึงจะบอกไปว่าลดให้เหลือ 3 เหรียญทองไม่ได้ แถมยังบอกว่าจะมาจ่าย 3 เหรียญทองวันหลังเนี่ย จากท่าทางมันดูไม่น่าจะมีเงินถึง 3 เหรียญทองด้วย

“แล้วยังบอกอีกว่า ถ้าพรุ่งนี้ไม่จ่าย 3 เหรียญทอง จะจ่ายด้วยการให้ไปขายเป็นทาสอีกน่ะ”

เป็นการเล่าเรื่องอ้อนวอน ขอร้องอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยชีวิตของเพื่อนสนิท ด้วยความใจอ่อนเลยลดให้เหลือ 3 เหรียญทอง และบอกว่าให้จ่ายวันหลังก็ได้ ซึ่งพอวันรุ่งขึ้นก็เอาเงิน 3 เหรียญทองมาจ่ายให้จริงๆ

“ถ้าเอาไปขายในเมืองของท่านเจ้าเมืองจะได้ 5 เหรียญทองสบายๆ ว่าจะขายให้พ่อค้าเร่ที่มาครั้งหน้าสักหน่อย ทำให้ขายทุนไปเยอะเลย”

เจ้าของร้านค้าที่บ่นขาดทุนๆ พอตอบกลับไปว่าอย่างนั้นเหรอครับ ถึงตอนนี้จะไม่มีขาย แต่ถ้ามีก็ตั้งมั่นว่าถ้าใครจะซื้อก็ต้องจ่าย 5 เหรียญทอง

เธอบอกว่าเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้

ทำการวางชั้นสะพายไหล่ลงกับพื้น และหยิบเนื้อของอัลบาเฮรอนออกมา 1 ก้อนวางไว้ที่เคาเตอร์

“หือ? อยากจะแลกกับยาอันไหนเหรอ”

“ไม่ครับ ขอมอบสิ่งนั้นให้ครับ”

“เอ๊ะ? หมายความว่ายังไงเหรอ?”

เจ้าของร้านขายยาทำหน้าตาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่พูด เนื่องจากเป็นป้าที่ค่อนข้างมีตีนกาเยอะ เธอขมวดคิ้วจนมีรอยย่นเพิ่มมากขึ้นไปอีก

“เพราะการลดราคาของคุณทำให้ช่วยพ่อของผมไว้ได้ครับ นี่เป็นของแสดงความขอบคุณ ต้องขอบพระคุณมากๆเลยครับ”

เจ้าของร้านยังทำหน้าตาสงสัย กับฉันที่ก้มศีรษะลงมาพร้อมกับพูดขอบคุณ

หลังจากนั้นตอนทุกครั้งที่มาซื้อของจะมามอบเนื้อให้ด้วย พอครั้งที่ 3 ก็บอกว่าไม่ต้องแล้วก็ได้