มิลเลอร์•ธีโอเป็นผู้ส่งสารของฮอร์รัน•เฟาสต์

เขาเป็นลูกชายหัวหน้ากรมคลังของดัชชีอินทรีเงิน ตัวเขาเองยังไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการใด ๆ ในตอนนี้ ความจริงเขาเพิ่งจะผ่านพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไปเมื่อ 3 วันก่อน และยังไม่ได้รับยศอัศวินเลย

มิลเลอร์ชอบที่จะเดินทางและทำการสำรวจไปทั่วทวีป เพื่อสัมผัสกับวัฒนธรรมที่มีสีสันและประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่เนื่องจากตำแหน่งของเขาในฐานะขุนนาง การเดินทางส่วนใหญ่ของเขาจึงอยู่ในพรมแดนของจักรวรรดิวัลลา และเขาก็ยังเป็นผู้ศรัทธาที่หาได้ยากของเทพเจ้าแห่งการเดินทางและศิลปะ ‘กรีมุนด์’

เทพเจ้าองค์นี้จะอวยพรให้ผู้ศรัทธาของเขาเดินทางปลอดภัย และมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น ผู้ศรัทธาที่แท้จริงของกรีมุนด์ จะสามารถร้องขออาหารหรือที่พักจากคนแปลกหน้าได้ง่าย ๆ ผ่านงานศิลปะของพวกเขา นั่นอาจเป็นได้ทั้งการร้องเพลง หรือแม้แต่การเล่านิทาน

สรุปได้ว่า ผู้ศรัทธาของกรีมุนด์อ่อนแอมากในด้านการต่อสู้ แต่พรของเขาล้วนใช้งานได้จริงและมีประโยชน์อย่างน่าประหลาดในชีวิตประจำวัน อาจเพราะเขาไม่ได้มีผู้ศรัทธามากนักเช่นเดียวกับซีเว่ย ตราบใดที่ผู้ติดตามของเขากลายเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง พวกเขาก็จะได้รับพร…

น่าเสียดายที่มีเพียงคนส่วนน้อยที่จะเดินทางไปตลอดชีวิต ผู้ศรัทธาของกรีมุนด์ส่วนใหญ่มักเลือกที่จะปักหลักเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น นอกจากผู้ที่เลือกทำงานด้านศิลปะ เช่นนักแสดงหรือจิตรกร ส่วนใหญ่เลือกที่จะศรัทธาในเทพเจ้าองค์อื่น

หลังจากผ่านพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มิลเลอร์ก็ได้รับความไว้วางใจให้ส่งจดหมายของดยุกไปถึงแองโกร่า•เฟาสต์ ลูกชายคนเล็กของเขา ที่ซึ่งถูกส่งไปยังเมืองใกล้หุบเขาแห่งความตายอันน่าเศร้า

มิลเลอร์ไม่สามารถปฏิเสธคำขอจากดยุกได้ ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางไปยังที่ดินศักดินาของแองโกร่า•เฟาสต์ เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ถูกระบุไว้ในแผนที่ของจักรวรรดิ

เดิมที มิลเลอร์คิดว่าแม้สถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้จะมีชื่อว่าเมือง แต่มันก็น่าจะเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา นี่ไม่ใช่การคาดเดาอย่างไร้เหตุผล เพราะเขาเคยได้เห็น ‘เมือง’ ที่คล้ายกันมาหลายแห่งในระหว่างการเดินทาง เหตุผลเดียวที่ทำให้หมู่บ้านเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘เมือง’ ก็เพื่อให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนและความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงได้ง่ายขึ้น

แต่เมืองเล็ก ๆ ของแองโกร่าทำให้มิลเลอร์ตกใจมาก

แม้ว่าเมืองนี้จะมีขนาดเล็กกว่าเมืองทั่วไป และมีชาวเมืองเพียวราว ๆ ร้อยคนเท่านั้น แต่เมืองนี้ได้รับการพัฒนาออกมาค่อนข้างดีและ…งดงาม?

นี่เป็นคำเพียงคำเดียวที่มิลเลอร์สามารถใช้อธิบายเมืองนี้ได้

ก่อนอื่นเลย เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร พื้นที่ของมันเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเรียบ ๆ ถ้ามิลเลอร์เดินตรงไปด้านใดด้านหนึ่ง เขาก็จะวนมาถึงจุดเริ่มต้นได้ในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

จากด้านนอก เมืองไม่มีแม้แต่กำแพงที่เป็นเส้นแบ่งเขตของเมือง มันมีเพียงรั้วไม้ธรรมดาเท่านั้น

ในตอนแรก มิลเลอร์ค่อนข้างผิดหวังกับเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาเคยถามชาวนาคนหนึ่งที่น่าจะอยู่ระหว่างการนมัสการเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว ว่าเหตุใดจึงไม่มีกำแพงใด ๆ รอบเมือง และเขาก็ได้คำตอบที่ไม่คาดคิดว่า “ถ้าเมืองขยายตัว มันก็ต้องถูกรื้อถอน มันไร้ประโยชน์และลำบากเกินไป”

คำตอบนี้ทำให้มิลเลอร์รู้สึกเย้ยหยันอยู่ในใจ เมื่อไม่นานมานี้มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นหลายครั้งในทวีป และทำให้เมืองชายแดนหลายเมืองของอาณาจักรมีประชากรลดลง มันถือว่าเป็นพรแล้วที่เมืองไม่ได้ลดขนาดลง แต่ชาวนาคนนี้บอกว่าพวกเขาจะขยายเมือง? พวกเขากำลังฝันอยู่เหรอ

เฮ้อ เขาจะคาดหวังคำตอบอะไรพวกสามัญชนที่โง่เขลา ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปั้นรูปสักการะของเทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยวยังไง และทำได้เพียงบูชารูปปั้นทรงกลมแปลก ๆ…

เมื่อเขาเข้ามาในเมือง เขาก็ตระหนักว่าข้อสรุปของเขาอาจจะผิด และประสบการณ์ของเขากับหมู่บ้านอื่นก็ไม่สามารถใช้กับเมืองนี้ได้

อาคารทั้งหมดในเมืองดูใหม่และสะอาด ส่วนถนนก็ปูด้วยอิฐสีแดงอย่างเรียบร้อย ทั้งเมืองสะอาดเป็นประกาย ตรงกันข้ามกับถนนในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่สกปรกและเต็มไปด้วยโคลนที่น่าขยะแขยง เมืองไม่มีแม้แต่เศษขยะบนถนน ทั้งเมืองสะอาดมากจนดูเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นี่เลยด้วยซ้ำ

ภายหลังเขาก็ได้เรียนรู้ว่า วัตถุทรงกระบอกที่ตั้งอยู่ริมถนนถูกเรียกว่าถังขยะ และชาวเมืองทุกคนจะโยนขยะของพวกเขาลงไปในนั้น และขยะในถังก็จะถูกกำจัดในภายหลัง ตามคำบอกเล่าของผู้อยู่อาศัยในเมือง สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษโดยลอร์ด ผู้ซึ่งกล่าวไว้ว่า ถังขยะจะสามารถปรับปรุงความสุขของผู้อยู่อาศัยและได้รับคะแนนประสิทธิภาพ…

สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ความจริงที่ว่าถังขยะเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุที่คล้ายกับการสร้างโกเลม และเมื่อใดก็ตามที่มีคนจะทิ้งขยะ ถังขยะก็จะถามว่า “ขยะของเจ้าเป็นขยะประเภทไหน?” จากนั้นมันก็จะบอกว่าขยะชิ้นนี้ควรถูกทิ้งลงในถังขยะประเภทใด ถ้ามีถังขยะบางส่วนที่ถูกวางไว้ในที่ห่างไกล มันก็จะร้องออกมาด้วยความดีใจทุกครั้งที่เห็นชาวเมืองเดินมาหาพวกมันเพื่อทิ้งขยะว่า “ขยะกำลังจะมา ขยะกำลังจะมา!”

แม้ว่ามิลเลอร์จะรู้สึกแปลก ๆ เมื่อถังขยะเหล่านี้พูดคุยกับเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ก็ทำให้ถนนในเมืองสะอาดและเป็นระเบียบ…บางทีเขาอาจแนะนำให้ท่านดยุกใช้เทคโนโลยีประเภทนี้ในดัชชีอินทรีเงินบ้าง หลังจากที่เขากลับไป

นอกจากจะมีถนนที่สะอาด และป้ายบอกทางที่ชัดเจน ที่นี่ยังมีโรงแรมที่ดูดีตามมาตรฐานของเขา และยังมีบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งอีกด้วย!

มิลเลอร์เคยแช่น้ำพุร้อนเพียงครั้งเดียว เมื่อเขาและพ่อของเขาเดินทางไปทำภารกิจทางการทูตที่ราชรัฐริมรอสตอนที่เขายังเด็ก นั้นเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงสำหรับเขา

หลังจากนั้น เขาก็ได้พยายามค้นหาบ่อน้ำพุร้อนที่คล้ายกันในระหว่างการเดินทางของเขา แต่เขาก็ไม่เคยพบมันเลยในจักรวรรดิวัลลา เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงได้ในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลเช่นนี้

ที่นี่มีบ่อน้ำพุร้อนหลายประเภท เช่นน้ำพุร้อนธรรมดา น้ำพุร้อนอัดลม น้ำพุร้อนจากแร่ น้ำพุร้อนธาตุ และอื่น ๆ

เนื่องจากเขามีเวลาไม่มาก มิลเลอร์จึงได้ลองเพียงน้ำพุร้อนธรรมดาที่ว่ากันว่าเป็นน้ำพุร้อนพื้นฐานของพื้นฐาน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มไปด้วยความคิดถึงเมื่อได้แช่ในน้ำพุร้อนที่ผ่อนคลาย หลังจากที่เขาออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นเยอะ แม้แต่ผิวของเขาที่ผุกร่อนจากการเดินทางก็ดูเรียบเนียนขึ้นอย่างสัมผัสได้ แน่นอน เขาไม่รู้ว่าบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้สามารถมอบบัฟได้ สิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบใจก็คือลิงฝูงหนึ่งที่ชี้มาที่เขาเมื่อเขากำลังแช่น้ำ…

สรุปได้ว่า ถ้าเขาให้คะแนนจากสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียว เมืองนี้จะต้องติดอยู่ใน 3 อันดับแรก ของสถานที่ทั้งหมดที่เขาเคยเดินทางไป และอาจพูดได้ว่านี่คือเมืองดีที่สุดได้เลยด้วยซ้ำ

ใช่ ถ้ามันขึ้นอยู่กับแค่สภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียวน่ะนะ

ตรงกันข้ามกับสภาพแวดล้อมที่สวยงาม มิลเลอร์รู้สึกว่าชาวเมืองเมืองนี้ค่อนข้าง…แปลก?

ก่อนอื่น เขารู้สึกได้ถึงสายตาของชาวเมืองส่วนใหญ่ที่จ้องมองมาที่เขา ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมือง และสายตาส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่บนหัวเขา…?

นี่ทำให้มิลเลอร์คิดไปเองว่ามีอะไรบางอย่างอยู่บนหัวเขา เขาเลยพยายามเอื้อมมือขึ้นไปตบหัวตัวเอง แต่มันก็ไม่มีอะไร

นอกจากนั้น ชาวเมืองก็ดูเหมือนจะชอบอธิษฐานต่อเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลา ชาวนาสวดภาวนาขณะที่พวกเขาหว่านเมล็ด คนงานก่อสร้างสวดภาวนาขณะที่พวกเขาแบกอิฐ และแม้แต่คนเก็บขยะก็สวดภาวนา…พวกเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของรูปปั้นทรงกลม…

นอกเหนือจากการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอยู่ตลอดเวลาแล้ว ประเพณีของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ยังค่อนข้างแปลก

เดิมมิลเลอร์เคยกังวล เพราะเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ไม่มีกำแพงเมืองแม้จะอยู่ใกล้หุบเขาแห่งความตายที่น่าเศร้า ดังนั้นมันจึงมีแนวโน้มที่จะถูกโจมตีโดยพวกเรเวแนนท์ได้ตลอดเวลา

เมื่อกองทัพเรเวแนนท์ออกมาจากหุบเขาแห่งความตาย เมืองที่สวยงามแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเป้าหมายโจมตีของพวกมันอย่างแน่นอน!

และสิ่งที่เขากังวลก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เขาออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน หอสังเกตการณ์ได้ปล่อยสัญญาณควันออกมา เมื่อพวกเขาพบร่องรอยของพวกเรเวแนนท์ที่ด้านนอกของเมือง

ทีแรก มิลเลอร์ต้องการปลุกระดมให้ชาวเมืองหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับพวกเรเวแนนท์เพื่อปกป้องเมือง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เริ่มทำอะไร เขาก็เห็นชาวเมืองทั้งหมดวิ่งออกจากเมืองอย่างคึกคัก พวกเขาไม่ได้วิ่งหนี แต่กลับวิ่งเข้าหาเหล่าเรเวแนนท์ที่ปรากฏตัวขึ้น

‘อา พวกเขาช่างเป็นชาวเมืองที่เรียบง่ายและกล้าหาญ!’ มิลเลอร์รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากจนเขาอยากร่วมต่อสู้ไปกับพวกชาวบ้าน

แต่ก่อนที่เขาจะไปถึงทางเข้าเมือง ชาวเมืองก็กลับมาด้วยความโกรธ พวกเขาถือกระดูกพัง ๆ จากพวกเรเวแนนท์กลับมา ขณะที่สาปแช่งพวกมันไปตลอดทาง

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโกรธที่ฝูงเรเวแนนท์ครั้งนี้อ่อนแอเกินไป

เมื่อเขาได้เห็นออร่ากระหายเลือดจากชาวเมือง มิลเลอร์ก็ไม่กล้าถามพวกเขาว่าส่วนอื่น ๆ ของโครงกระดูกหายไปไหน…

หลังจากนั้นเขาก็เห็นชาวเมือง 2 คนที่ถือดาบ เริ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาตะโกนใส่กันว่า ‘อาหารจากโรงเหล้ากาต้มน้ำเหล็กรสชาติอร่อยกว่า’ และ ‘อาหารจากร้านอาหารของระบบรสชาติดีกว่า’

เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ และการทะเลาะกันก็ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มิลเลอร์คิดว่าพวกเขากำลังจะเริ่มต่อสู้กัน ชาวเมืองทั้ง 2 ก็ยืนเผชิญหน้ากันและเริ่มเต้นท่าแปลก ๆ อย่างเร่าร้อน

ด้านข้างพวกเขา มีเด็กสาวคนหนึ่งตะโกนว่า “อย่าสู้ อย่าสู้กัน!”

…มีบางอย่างผิดปกติในหัวของชาวเมืองพวกนี้ใช่ไหม

“ท่านคะ ลอร์ดแองโกร่าต้องการพบท่าน”

เมื่อสาวใช้ของแองโกร่า…เขาเดาว่าเธอน่าจะเป็นสาวใช้ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เพราะหญิงสาวไม่ได้ดูสวยเป็นพิเศษ แต่ดูเรียบง่ายและหุ่นดี เมื่อเขาได้ฟังคำ ๆ นี้ มิลเลอร์ก็ตื้นตันใจจนเขาแทบอยากจะร้องไห้ เขากำลังสงสัยว่าถ้าเขายังอยู่แบบนี้ต่อไป อาจจะมีบางอย่างผิดปกติในหัวเขาด้วย