อาคารที่แองโกร่าอาศัยอยู่นั้นเหมือนกับบ้านหลังอื่น ๆ ในเมือง ผนังอาคารทาสีขาวตัดกับหลังคากระเบื้องสีแดงอ่อน ที่สามารถมองเห็นได้ภายใต้ชั้นของหิมะ นอกจากนี้ก็ยังมีต้นไม้เขียวชอุ่มตลอดปีปลูกอยู่ในลานบ้าน ทำให้ทั้งบ้านดูสวยงามราวกับบ้านของทูตสวรรค์ ทั้งที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกหรูหราฟุ่มเฟือยในแบบที่คฤหาสน์ของขุนนางคนอื่น ๆ เป็น

เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ที่พื้นเป็นหินอ่อนสีดำสลับขาวเรียบง่ายแต่สวยงาม และกระเบื้องทองที่หายากและหรูหราแม้แต่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ก็ได้รับการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตามหลักการออกแบบ แต่ละแผ่นถูกขัดจนเงางามสะท้อนแสง

การตกแต่งภายในก็ดูดีมีระดับ โซฟาสีเทาที่ดูสบายตาล้อมรอบเตาผิงไม้สีดำซึ่งเต็มไปด้วยถ่าน ทำให้บรรยากาศภายในบ้านอบอุ่น ขณะที่พรมกำมะหยี่หนาและฟุ่มเฟือยถูกวางอยู่บนพื้น ด้านบนมีโคมระย้าคริสตัลแขวนอยู่บนเพดานกำลังส่องแสงสลัว ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรพิเศษ ใช่ แต่เมื่อนำทุกอย่างมารวมกัน มันก็เสริมซึ่งกันและกัน และให้กำเนิดเสน่ห์แบบคลาสสิก

ภายใต้การนำทางของวีลา มิลเลอร์ถูกนำไปสู่ห้องทำงาน ที่ซึ่งเขาจะได้พบกับลูกชายคนเล็กของดยุกอินทรีเงิน แองโกร่า•เฟาสต์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับแองโกร่า

ในช่วงเทศกาลเก็บเกี่ยวเมื่อ 2 ปีก่อน มิลเลอร์ที่เดินทางไปทั่วราชอาณาจักร ได้รับจดหมายจากพ่อของเขาเรียกให้เขากลับบ้านเพื่อไปร่วมงานเฉลิมฉลอง ตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับบุตรชายคนเล็กของท่านดยุกคนนี้

ย้อนกลับไปตอนนั้น แองโกร่ายังเป็นเด็กที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพ่อของเขา และแม้ว่าเขาจะมีมารยาทและความประพฤติที่ดี แต่เพราะเขาค่อนข้างเงียบและขี้อาย จึงไม่มีใครคิดว่าเขาจะเป็นขุนนางที่ดีได้

สิ่งนี้ทำให้ขุนนางหลายคนที่ต้องการลงทุนในตัวเขาตั้งแต่ที่เขายังเด็ก เพื่อสนับสนุนให้เขากลายเป็นดยุกคนต่อไปรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และหันไปสนับสนุนเซซิล•เฟาสต์คนพี่แทน นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แองโกร่าถูกส่งไปเป็นเจ้าเมืองในเมืองไร้ชื่อที่ห่างไกลนี้…

มิลเลอร์ไม่คิดมาก่อนเลยว่า บุคคลเช่นนี้จะสามารถเติบโตในเมืองแห่งนี้ได้

แองโกร่านั่งอยู่หลังโต๊ะไม้มะฮอกกานี เขายันศอกทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะและวางคางไว้บนนิ้วมือที่ประสานกัน สีหน้าของเขาถูกซ่อนไว้ใต้แสงสว่างจากบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ ขณะที่เขาพิจารณาตัวตนของมิลเลอร์

มิลเลอร์รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับแรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ ชายตรงหน้าทำให้เขาหายใจไม่ออกและเหงื่อแตก

บัดซบ นี่ยังเป็นเด็กหนุ่มไร้เดียงสาคนเดียวกับเมื่อ 2 ปีก่อนจริง ๆ หรือ

มิลเลอร์เคยไปเยี่ยมชนเผ่าออร์คที่อยู่ใกล้ราชรัฐริมรอสเมื่อไม่นานมานี้ และหมอผีผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าเคยพูดกับเขาว่า “ไม่มีใครเกิดมาแล้วเป็นวีรบุรุษได้ทันทีเลยหรอกนะ สิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นวีรบุรุษ ไม่ใช่แค่ต้องมีพรสวรรค์และความสามารถเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องผ่านการทดสอบและความยากลำบากนา ๆ ประการอีกด้วย”

เดิมทีเขาไม่เชื่อคำพูดของหมอผีเลย เพราะในโลกนี้มีคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนักบุญ นักบุญหญิง และผู้ถูกเลือก นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าคำพูดของหมอผีเป็นเรื่องโกหกงั้นเหรอ?

แต่ในขณะนี้ เขากลับคิดว่าคำพูดของหมอผีนั้นถูกต้อง เป็นความจริงหรือไม่ที่การทดสอบและความทุกข์ยาก จะทำให้ลักษณะนิสัยของคนเราเปลี่ยนไปได้?

“ข้าเคยพบเจ้ามาก่อนใช่ไหม” แองโกร่าถาม

“ครับ เซอร์เฟาสต์ เราเคยพบกันในเทศกาลเก็บเกี่ยวมาก่อน”

“อ่า ข้าจำได้แล้ว! ฝากทักทายพ่อของท่าน ผู้บัญชาการทหารด้วย”

“เออ…”

“อะไรรึ? ท่านบอกข้ามาตรง ๆ ได้เลย ข้าไม่ใช่ดยุกเหมือนท่านพ่อ ดังนั้นท่านไม่ต้องเกร็งไปหรอก” แองโกร่ายิ้มอย่างมั่นใจและพูดว่า “เมื่อถึงวันที่เจ้าได้ตำแหน่ง ตำแหน่งของเจ้าก็ไม่ต่ำไปกว่าข้านักหรอก”

“คือ…พ่อของข้าเป็นหัวหน้ากรมคลัง…”

“…”

“…”

“แค่ก งั้นก็ฝากทักทายหัวหน้ากรมคลังด้วยแล้วกัน” แองโกร่าแก้ไขข้อผิดพลาดของเขา ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรผิดตั้งแต่แรก

นั่นทำให้แรงกดดันในห้องเบาบางลง มิลเลอร์จึงเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ในที่สุดเขาก็เริ่มบอกจุดประสงค์ที่เขามาที่เมืองนี้ให้แองโกร่าฟัง พร้อมกับมอบจดหมายที่เขียนโดยดยุกอินทรีเงิน ฮอร์รัน•เฟาสต์ ให้กับเขา

“ท่านดยุกหวังว่า ท่านจะกลับบ้านในเทศกาลหว่านเมล็ดพันธุ์ เขาคิดถึงท่านมาก”

“ข้าก็คิดถึงท่านพ่อมากเช่นกัน” แองโกร่าตอบด้วยความจริงใจ เขาตรวจสอบให้แน่ใจว่าครั่งไม่ได้ถูกแตะต้อง ก่อนที่จะหั่นมันด้วยมีดขนาดเล็ก และนำจดหมายออกจากซอง “น่าเสียดายที่เมื่อเร็ว ๆ นี้เมืองของข้ากำลังวุ่นวาย ท่านก็เห็นใช่ไหม? ดังนั้นข้าเลยไม่คิดว่าข้าจะว่างกลับไปได้เร็ว ๆ นี้…”

ในจดหมาย ท่านพ่อของเขาได้แสดงความคิดและความโล่งใจของเขาเกี่ยวกับจดหมายที่แองโกร่าส่งให้เขาก่อนหน้านี้ จากนั้นก็กล่าวถึงการตายของพี่ชายของแองโกร่าอย่างคลุมเครือ เตือนให้เขาระวังตัวให้มากขึ้น สุดท้าย เขาเขียนว่าเขาอยากให้แองโกร่ากลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงเทศกาลหว่านเมล็ด

แองโกร่าไม่กลับไปที่นั่นแน่นอน เขาไม่แน่ใจว่าหากเขาตาย เขาจะกลับมาแบบมีชีวิตได้เหมือนผู้เล่นคนอื่น ๆ หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงเลือกทางที่ปลอดภัยกว่า และอยู่ในเมืองที่ผู้เล่นคนอื่นสามารถปกป้องเขาได้

เขากลายเป็นคนระมัดระวังมากขึ้น หลังจากผ่านการลอบสังหารระหว่างทางมาที่เมืองไร้ชื่อ เขาไม่ต้องการสัมผัสกับความรู้สึกที่ชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นอีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีคนที่ต้องการฆ่าเขารอเขาอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับบ้าน

เมื่อคิดอย่างรอบคอบ ตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด

ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายด้วยเหตุผลบางอย่างที่เขาไม่รู้ และจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าใครคือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ตอนนี้พี่ชายของเขาคนเดียวที่รู้ความจริงก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว เขาไม่สามารถบอกคนอื่นได้ว่าพี่ชายของเขาสั่งให้คนมาลอบสังหารเขาแต่เขากลับถูกฆ่าตาย แบบนี้ใครจะเชื่อเขา แม้แต่คนที่ฆ่าพี่ชายของเขา ก็ยังถูกผู้เล่นฆ่าตายไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีหลักฐานแม้แต่นิดเดียว

ที่น่าหนักใจกว่านั้นคือถ้าแองโกร่าเป็นเซซิล เขาอาจจะคิดว่าลูกชายคนเล็กฆ่าลูกคนรอง และกำลังจะมาฆ่าเขา เพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งทายาทเพียงคนเดียวของดยุกอินทรีเงิน แน่นอนว่าเขาจะต้องระวังแองโกร่า และอาจจะต้องการฆ่าเขา เพราะความสัมพันธ์ของครอบครัวในตระกูลขุนนางนั้น ก็เบาบางราวกับกระดาษอยู่แล้ว…

สรุปแล้ว หากเขาไป โอกาศรอดของเขามีน้อยมาก แถมตอนนี้เขาก็ไม่มีไอเทมป้องกันที่มีประโยชน์อย่างตะเกียงนักฆ่าจินนี่แล้วด้วย…

“ท่านจะไม่กลับไปหรือจริง ๆ หรือ น่าเสียดาย” มิลเลอร์แสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

“การเดินทางครั้งนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับท่าน ดังนั้นท่านโปรดพักผ่อนที่เมืองนี้สักคืนก่อนค่อยออกเดินทางจะดีกว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างให้ต้องทำ ข้าคงไม่ว่า….ง”

[ติ้ง! ปลดล็อคเควส: ค้นหาผู้ใช้ดาบปีศาจ]

[รางวัลเควส: ไม้กายสิทธิ์อัญเชิญจิตวิญญาณขนาดจิ๋ว x1]

“…แต่มาคิดอีกที ข้าว่าข้าสามารถจักการตารางงานของข้าได้”