เพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เราต้องย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย

ย้อนกลับไปตอนที่มิลเลอร์กำลังอาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนกับฝูงลิง แขกที่ไม่คาดคิดก็ได้มาถึงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ย

“เฮ้ ข้ามาเยี่ยมเจ้า…” ทันทีที่เขาเข้ามา สีหน้าของสิงโตตัวใหญ่ก็แข็งค้าง คำพูดของเขาหยุดชะงักไปครึ่งทางเมื่อเห็นซีเว่ยกำลังมัดศพยักษ์แห้งแล้งด้วยหนวดของเขา ท่าทางนั้นสามารถอธิบายได้สั้น ๆ ว่า…ไม่เหมาะสมเลยสักนิด

“เดี๋ยวก่อน ไม่! ข้าอธิบายได้!” ซีเว่ยรู้สึกเสียใจทันทีที่เขาตัดสินใจมัดยักษ์แห้งแล้งแบบกระดองเต่า

“เจ้าขโมยยักษ์แห้งแล้งตัวนี้มาจากเจ้าแห่งยอดเขาเพื่อ…ทำเรื่องแบบนี้เหรอ?” ถ้าเขาเป็นเพียงเด็กอายุ 2-3 ร้อยปี เขาอาจจะหนีออกจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของซีเว่ยทันที แต่เขาก็เป็นเทพอายุพันปีแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้แล้วว่าไม่แปลกที่เทพอื่น ๆ จะมีงานอดิเรกพิเศษ เมื่อได้เห็นยักษ์ที่กางขาออกเป็นรูปตัว ‘M’ เขาจึงแค่ไอเบา ๆ และพูดต่อว่า “ข้า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้าชอบจะอะไรแบบนี้…เจ้าควรระวังนิกายปฐพีไว้ดีกว่า”

“ผู้ศรัทธาข้ามอบมันให้ข้า…ช่างเถอะ แล้วท่านมาที่นี่ทำไม” ซีเว่ยอยากจะอธิบายตัวเอง แต่เขาคิดว่ามันมีแต่จะทำให้สถานการณ์ของเขาดูแย่ลงเท่านั้น “มีเทพองค์ไหนที่ต้องการหาเรื่องข้าไหม? ให้ข้าบอกท่าน เทพกะโหลกกับเทพธิดาสมุทร ทั้งคู่ไม่ใช่เทพที่ดี ดังนั้นอย่าเชื่อในสิ่งที่พวกเขาบอกท่าน! มาร่วมมือกันฆ่าพวกเขาและแยกความเป็นพระเจ้ากันเถอะ!”

“อย่าสร้างปัญหา ไม่ต้องนับเทพที่อ่อนแออย่างเทพกะโหลก แค่เทพธิดาสมุทรเพียงองค์เดียว ก็เพียงพอที่จะฆ่าพวกเราทั้งวิหารโดยไม่ต้องเสียเหงื่อแล้ว!” สิงโตตัวโตกลอกตาอย่างโกรธเคือง และไม่สนใจคำเยาะเย้ยของซีเว่ยที่ว่า “โอ้ วิหารล่องหนของเราอ่อนแอขนาดนี้เลยเหรอ” ก่อนจะพูดต่อว่า “ใช่ ข้ามีเรื่องจะขอให้เจ้าช่วยในครั้งนี้…ถ้าเป็นไปได้ข้าหวังว่าเจ้าจะส่งผู้ศรัทธาของเจ้ามาช่วยเรา”

เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของอัสลาน ซีเว่ยก็ค่อนข้างประหลาดใจ เขารู้ว่ามันไม่ดีที่จะล้อเล่นอีกต่อไป และเริ่มฟังสิงโตตัวใหญ่อย่างจริงจัง

“ครึ่งเดือนก่อน ผู้ศรัทธาของลูน่าหลายคนถูกทรมานและฆ่าทีละคน ผู้ศรัทธาคนอื่น ๆ ของเธอจึงร่วมมือกันจับกุมผู้ร้าย แต่ก็ไม่เป็นผล ตรงกันข้าม ผู้ที่เข้าร่วมการจับกุมถูกมันฆ่าตัดหัว…จากสภาพศพของเหยื่อ ข้าคิดว่าฆาตกรคือ…บัดซบ เจ้าวางไอ้นั่นลงทีได้ไหม? ข้าพูดต่อไม่ได้หากมีเจ้าสิ่งนั้นลอยอยู่เหนือหัวข้า!”

“ขอโทษ ขอโทษ”

ซีเว่ยปล่อยศพของยักษ์แห้งแล้งลงบนพื้นทันที ทำให้อัสลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“ข้าพูดถึงไหนแล้ว?”

“มียักษ์ลอยอยู่เหนือหัวท่าน”

“โอ้ มันใหญ่มาก น่าตื่นเต้น…ไม่ใช่! เจ้าหยุดล้อเล่นได้แล้ว ข้ากำลังจริงจัง!”

“ได้เลย ๆ”

ซีเว่ยตบร่างกายกลม ๆ ของเขาด้วยความมั่นใจ ตัวเขาเริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาจริงจังแค่ไหน

“อย่าเพิ่งตกใจกับสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด” สิงโตพูดต่อ

“แน่นอนข้าก็เป็นเทพเจ้าเช่นกัน ข้าไม่กลัวหรอก!” ซีเว่ยตอบโดยไม่ลังเลใด ๆ

เมื่อเขาได้ยินดังนั้น เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “หลังจากที่ข้ากับเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เราคิดว่า…”

“สืบ? พวกท่านใช้ดวงตาศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ได้รึ”

“ก็เพราะเราไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามันเป็นใครผ่านดวงตาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเราเลยต้องสืบ…สรุปแล้ว เราคิดว่าผู้ร้ายคือผู้ใช้ดาบปีศาจ”

“ผู้ใช้ดาบปีศาจคืออะไร”

“ผู้ใช้ดาบปีศาจคือผู้ไม่มีศรัทธา ที่ถูกครอบงำโดยไข่ปีศาจ”

“ไข่ปีศาจ?”

ซีเว่ยรู้สึกสงสัยเมื่อได้ยินศัพท์ใหม่ เขาแน่ใจว่ามันไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเทพเจ้าแห่งเกม และไม่ได้อยู่ในความทรงจำของเจ้าแห่งน้ำ

“เจ้ารู้เกี่ยวกับสงครามระหว่างเทพเจ้าและปีศาจใช่ไหม? มันคือสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อน” อัสลานพูดต่อด้วยน้ำเสียงสะเทือนอารมณ์ “ข้าก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนั้นด้วย เจ้ารู้ไหม! เมื่อข้าถูกล้อมโดยเทพศัตรู ข้าก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดโดยไม่ต้องเสียเหงื่อ….”

“พรูดดด”

“เจ้าหัวเราะอะไร” สิงโตตัวใหญ่ขมวดคิ้ว

“ข้าคิดถึงบางอย่างที่ทำให้ข้ามีความสุข” ซีเว่ยตอบอย่างจริงจัง

“อะไรเนี่ย”

“ผู้ศรัทธาของข้า ยอมเสียสละยักษ์แห้งแล้งตัวใหญ่นี้เพื่อข้า…”

“วิธีที่พบได้บ่อยที่สุด ที่เทพปีศาจหลบหนีเหล่านั้นทำเพื่อให้ตัวเองได้ลงมาจุติในดินแดนมรรตัย คือใช้ไข่ปีศาจเป็นตัวกลาง” ทีแรกอัสลานมองซีเว่ยด้วยสีหน้าสงสัย แต่ในที่สุดเขาก็ข้ามการเล่าเรื่องอันยาวนานและตรงไปที่ประเด็นหลัก “ปกติพวกมันมักจะติดอยู่กับอาวุธหรือยาบางอย่าง และสามารถนำพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้มาสู่ผู้ใช้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน มันจะค่อย ๆ กลืนกินสติของผู้ใช้ เมื่อพวกเขาเอาชนะด้วยพลังที่ไม่ได้เป็นของพวกเขา ในกระบวนการนี้ ไข่ปีศาจก็จะทำลายจิตสำนึกของผู้ใช้ ยึดครองร่างและเปลี่ยนเขาให้เป็นปีศาจ”

“ปีศาจถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีนี้เหรอ” ซีเว่ยงงนิดหน่อย “ข้าคิดว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตจากนรก…”

“สิ่งมีชีวิตจากนรกถูกเรียกว่ามาร! มันต่างกัน” เมื่อมาถึงจุดนี้ อัสลานก็เอาอุ้งเท้าตบพื้น น้ำเสียงของเขาค่อนข้างหงุดหงิด “หยุดกะพริบได้ไหม เจ้ากะพริบมาตั้งแต่ข้าเข้ามา ตอนนี้ตาข้าเกือบจะบอดแล้ว!”

“อาขอโทษ สรุปว่า เราต้องกำจัดสิ่งที่เรียกว่าผู้ใช้ดาบปีศาจใช่ไหม” ซีเว่ยขอโทษด้วยความจริงใจ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยว่า “ถ้าแค่นั้น ท่านคงไม่ต้องมาหาข้าหรอก ใช่ไหม?”

อัสลานเคยทิ้งอุปกรณ์สื่อสารให้ซีเว่ยเอาไว้ เขาไม่จำเป็นต้องมาขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว หากมันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

“ปัญหาก็คือ แม้แต่ผู้ศรัทธาของข้าก็ถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน ข้าพบมันผ่านคำภาวนาของพวกเขา ว่าผู้ใช้ดาบปีศาจผู้นี้มีพลังมาก…” อัสลานบอกกับซีเว่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อคิดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ผู้ใช้ดาบปีศาจอาจถูกปีศาจครอบงำอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว จากข้อมูลที่ข้าได้มาในแดนมรรตัย เขาน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับนักรบในตำนานที่สามารถสู้กับเทพเจ้าได้!”

ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ร่างกลม ๆ ไร้หัวใจของเทพเจ้าที่กำลังฟังอยู่ ก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้

‘เวร…เขาดูแข็งแกร่งจริง ๆ’

“และผู้ใช้ดาบปีศาจก็ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปทิศทางที่ผู้ศรัทธาของเจ้าอยู่ เจ้าควรบอกให้พวกเขาระวังตัว และให้พวกเขาช่วยติดตามตำแหน่งของเขา แต่อย่าลืมบอกพวกเขาว่าอย่าต่อสู้กับผู้ใช้ดาบปีศาจ”

ซีเว่ยเห็นด้วยกับสิ่งที่อัสลานพูด เพราะผู้ใช้ดาบปีศาจแข็งแกร่งเกินไป และแม้ว่าผู้เล่นทั้งหมดจะร่วมมือกันต่อสู้กับเขา พวกเขาก็คงจะไม่แข็งแกร่งพอจะข่วนศัตรูที่เกือบจะไปถึงระดับตำนานได้

“แล้วเราจะจัดการกับผู้ใช้ดาบปีศาจตนนี้ยังไง?” ซีเว่ยถาม

สิงโตตัวใหญ่ยืนขึ้น แผงคอของเขาสยายไปตามสายลม ทำให้เขาดูสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ “เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะลงไปสู่แดนมรรตัย และจัดการกับเขาด้วยตัวเอง”