บทที่ 195 ได้เวลาจับรางวัล (1)

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 195 ได้เวลาจับรางวัล (1)

ไป๋เยี่ยยืนตัวเกร็งรออยู่ในห้องผู้อำนวยการโรงพยาบาลผู่เจ๋อ

หลิวป๋อหลี่มองหนังสือสองเล่มในมือของเขา นั่นคือรายงานเสนอหัวข้อและรายงานสรุปผลการวิจัย ถึงแม้ว่าเขาจะพอใจมาก แต่ใบหน้าของเขาก็ยังตึงเครียด

“คุณเข้าใจจุดประสงค์ของการวิจัยเรื่องส่วนผสมของยาตันชีหั่วเซวี่ยไหมครับ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้า “เข้าใจครับ อาจารย์ต้องการให้ผมศึกษาการแพทย์แผนจีนโดยใช้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่”

รายงานเสนอหัวข้อของไป๋เยี่ยเกี่ยวกับการค้นพบและการประยุกต์ใช้นอร์แทนชิโนน-3 ในทางการแพทย์

หลิวป๋อหลี่พยักหน้าก่อนจะถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปัจจุบันมีงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับตังเซียมและซานชีที่สมบูรณ์จำนวนมาก ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะแก้ปัญหาโดยการศึกษาองค์ประกอบของสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ แต่ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะพบสารนอร์แทนชิโนน-3 ในตังเซียมด้วย”

“ผมพอใจกับรายงานทั้งสองฉบับของคุณมาก ก่อนอื่นเลย คุณค้นพบและตั้งคำถามเกี่ยวกับการวิจัยกับสมุนไพรที่มีการศึกษามานานทั้งสองตัว นี่คือตรรกะด้านงานวิจัยที่คุณมีอยู่ ถือว่ารายงานเสนอหัวข้อของคุณผ่านนะครับ ส่วนการวิเคราะห์ส่วนประกอบของยาตันชีหั่วเซวี่ยนั้นก็ทำได้ดี โดยรวมถือว่าดีมากครับ”

ไป๋เยี่ยยิ้ม เขามีความสุขมากที่ได้รับคำชมจากอาจารย์

หลิวป๋อหลี่ปรับสีหน้าของตนเอง “แต่อย่าชะล่าใจไป นี่ก็เปิดเทอมแล้ว คุณต้องดึงสติกลับมาด้วย ในเมื่อคุณเลือกที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แล้วก็อย่าได้ทำตัวเหลาะแหละ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีที่สุดและสิ่งที่ห้ามทำที่สุดคือห้ามเรียนโดยไม่คิดต่อ”

ไป๋เยี่ยได้แต่ยิ้ม “ครับอาจารย์ ผมจะตั้งใจครับ”

หลิวป๋อหลี่ส่ายหัว “ทุกคนต่างมีข้อกำหนดและมาตรฐานที่แตกต่างกัน คุณแตกต่างจากคนอื่น ดังนั้นข้อกำหนดที่ผมมอบให้คุณก็จะแตกต่างออกไปเหมือนกัน การบ่มเพาะองค์ความรู้ในสามปีต่อจากนี้ คุณจะมีเวลาฝึกฝนทั้งสิ้นสามสิบสามเดือน ผมไม่ต้องการให้คุณตีพิมพ์บทความมากมาย แต่ผมต้องการให้คุณเวียนไปศึกษางานจากแต่ละแผนก ผมจะบอกหัวหน้าของแต่ละแผนกไม่ให้ปฏิบัติต่อคุณในฐานะนักศึกษาฝึกงาน แต่ให้ปฏิบัติต่อคุณเสมือนเป็นแพทย์ประจำแผนกนั้นๆ”

“งานของคุณจะเยอะมาก แต่ละแผนกจะมีงานมอบหมายให้คุณทำ ผมจะขอให้แต่ละแผนกจัดทำรายการงานที่ต้องทำโดยละเอียดให้คุณ ถึงตอนนั้นคุณก็จะได้รับแจ้งเอง หลังจากออกมาจากแผนกใดๆ จะมีการประเมินคะแนนของคุณตามประสิทธิภาพงาน หากได้แปดสิบคะแนนขึ้นไปจะถือว่าผ่าน คุณมั่นใจในตัวเองไหม”

ไป๋เยี่ยชอบการเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ และได้รับงานใหม่ๆ เขาจึงตอบตกลงไปอย่างมั่นใจ

ทันทีที่เดินออกมา ไป๋เยี่ยก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ

[ติ๊ง! ภารกิจจากอาจารย์: ทำการวิเคราะห์และวิจัยเกี่ยวกับส่วนผสมของยาตันชีหั่วเซวี่ยสำเร็จ ค้นพบสารนอร์แทนชิโนน-3

ได้รับค่าประสบการณ์ทักษะงานวิจัย 10,000 แต้ม, โอกาสจับรางวัลแบบเลือกหมวดหมู่ 3 ดาวจำนวนหนึ่งครั้ง: 1. ทักษะงานวิจัย 2. ทักษะภาคปฏิบัติ]

[ติ๊ง! ภารกิจจากอาจารย์: จัดทำรายงานเสนอหัวข้อให้เสร็จก่อนวันเปิดเทอมในเดือนกันยายนและได้รับการอนุมัติจากอาจารย์

ได้รับค่าประสบการณ์ทักษะงานวิจัย 3,000 แต้ม, โอกาสจับรางวัลแบบเลือกหมวดหมู่ 3 ดาวจำนวนหนึ่งครั้ง: 1. ทักษะงานวิจัย 2. ทักษะภาคปฏิบัติ]

เสียงแจ้งเตือนจากระบบทำให้ไป๋เยี่ยมีความสุขมาก เยี่ยมเลย! ทำภารกิจสำเร็จแล้ว!

นักศึกษาระดับปริญญาโทเองก็ต้องเข้าเรียนเช่นกัน ซึ่งวันต่อๆ ไปพวกเขาจะต้องเข้าเรียน เข้าอบรมก่อนฝึกงาน และเข้าประชุม ฯลฯ กินเวลาราวๆ หนึ่งสัปดาห์

โรงพยาบาลผู่เจ๋อเป็นโรงพยาบาลในเครือของสถาบันแพทย์แผนจีนแห่งชาติ ทุกๆ ปีจะมีนักศึกษาระดับปริญญาโทจำนวนมากเข้ามาศึกษาต่อที่นี่ ส่วนไป๋เยี่ยเข้ามาได้โดยโควต้าพิเศษของหลิวป๋อหลี่

แต่ถึงกระนั้น เรซูเม่ของไป๋เยี่ยก็ดูน่ากลัวสำหรับเพื่อนร่วมชั้นมากจริงๆ มีหลายคนที่ยังไม่เคยตีพิมพ์บทความใดๆ ในขณะที่ไป๋เยี่ยได้ตีพิมพ์บทความที่มีคะแนนไอเอฟสูงถึงสองร้อยห้าสิบแปดคะแนน

ในระหว่างการฝึกอบรมก่อนฝึกงาน หลิวป๋อหลี่ก็กล่าวสุนทรพจน์ให้กับนักศึกษาทุกคน

จะมีระบบการประเมินงาน โดยทุกแผนกจะได้รับแบบประเมินในช่วงที่มีการเวียนฝึกงาน และนักศึกษาที่มีผลประเมินยอดเยี่ยมก็จะได้เข้าทำงานในโรงพยาบาล

ข่าวนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในชั้นเรียนมาก ปัจจุบันมีนักศึกษาระดับปริญญาโทมากเกินไป หากจะกล่าวว่ามีนักศึกษาปริญญาโทอยู่ทุกหนทุกแห่งก็ไม่เกินจริงสักนิด

อย่าว่าแต่โรงพยาบาลชั้นนำในเมืองหลวงอย่างผู่เจ๋อเลย แม้แต่โรงพยาบาลชั้นนำในเมืองหลักของแต่ละมณฑลก็ยังเข้าไปทำงานด้วยยากเลย

ในยุคที่อัตราการจ้างงานอยู่ในขั้นวิกฤตนี้ คำพูดของหลิวป๋อหลี่จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน

อาคารเก่าหลังหนึ่งในโรงพยาบาลผู่เจ๋อถูกจัดไว้ให้นักศึกษาปริญญาโทใช้เป็นหอพัก โดยกำหนดให้พักห้องละสี่คน艾琳小說

สมาชิกในหอของไป๋เยี่ยอีกสามคนนั้น มีสองคนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง ส่วนอีกหนึ่งคนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนอี้เป่ย ส่วนไป๋เยี่ยเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี

หยางเฉาคือคนที่มีอายุเยอะสุด เขาเป็นคนจากเมืองต้าถงที่อยู่ในมณฑลจิ้นซี ปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง หลังเรียนจบเขาก็เข้าทำงานได้ราวๆ สองสามปีและรู้สึกไม่ชอบงานที่ทำ จึงมาสิบเรียนต่อปริญญาโทในแผนกม้ามและกระเพาะอาหาร

หยางเผิงเหว่ยเป็นคนที่อายุน้อยสุดในนี้ เขามีอายุเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น เขามาจากเมืองหลวง หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง เขาก็สอบเรียนต่อปริญญาโททันที ซึ่งเขาก็ทำคะแนนได้สูงมากเลยทีเดียว ตอนนี้เขากำลังศึกษาอยู่ในแผนกศัลยกรรมกระดูก

ส่วนเหอเสี่ยวหมิงที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนอี้เป่ยมีอายุยี่สิบสี่ปีเท่ากับไป๋เยี่ย ครอบครัวของเขามาจากสือเจียจวงในมณฑลอี้เป่ย เขาเลือกศึกษาต่อในแผนกอายุรกรรมหัวใจ

ทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว จึงทำความรู้จักกันได้เร็วมาก หยางเฉาเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความรู้มาก บรรยากาศในหอพักก็ค่อนข้างมีความกลมเกลียวกันดี

วันที่สิบเอ็ด กันยายน การฝึกอบรมเสร็จสิ้นลงแล้ว และมีการประกาศรายชื่อการเวียนฝึกอบรมตามแผนกลงในกลุ่มแชทของชั้นเรียน

การฝึกอบรมอย่างเป็นทางการจะเริ่มในวันที่ยี่สิบ กันยายน ไป๋เยี่ยลองเปิดตารางหาชื่อของตนเอง และพบว่าแผนกแรกที่เขาต้องไปก็คือแผนกทวารหนัก!

แม้ว่าการฝึกอบรมจะไม่ได้ที่ครอบคลุมทุกแผนก แต่ทุกคนจะต้องได้เวียนไปฝึกงานในแผนกแม่และเด็กด้วย

เพราะว่าผู้ป่วยไม่ได้ป่วยตามแผนกในโรงพยาบาล มีผู้ป่วยจำนวนมากที่มีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอาจมีความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคปอดบวมร่วมด้วย…

ดังนั้นคุณจึงมีความรู้แค่แขนงเดียวไม่ได้