ตอนที่ 184 จะหายใจอยู่ทำไมถ้าไร้คุณธรรม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

พอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับซ่งเล่อ คงพอจะเรียกว่าญาติสนิทมิตรลูบหัวได้อยู่ หากตนไม่มีของติดไม้ติดมือมา ก็คงจะน่าดูเกินไปจริงๆ

สามารถจินตนาการได้ว่า ทันทีที่ซ่งเล่อเห็นฉินจิ่วเกอที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี นอกจากจะไม่มีของมาฝากแล้ว ยังมากินใช้กินดื่มอย่างกับเป็นเจ้าบ้านเสียเอง

สีหน้าของซ่งเล่อ คงจะขื่นขมระทมทุกข์แสนสาหัส ไม่ก็เต็มไปด้วยความขยะแขยงและเหยียดหยาม ปลายจมูกเชิดขึ้นตลอดเวลาอะไรเทือกนั้น

ไม่แน่อาจถึงขั้นชี้นิ้วแล้วพูดทำนองว่า: หนูยังมีเนื้อหนัง คนไร้คุณธรรม คนเมื่อไร้คุณธรรม จะหายใจต่อไปทำไม!

ถึงตอนนั้น สุภาพบุรุษฉินที่อวดอ้างว่าตัวเองช่างเฉิดฉายสง่างามคงได้ถูกซ่งเล่อดูถูกจนตายแล้ว

คิดถึงตรงนี้ ฉินจิ่วเกอก็รู้สึกขวัญผวา กระเหี้ยนกระหือรืออยากหาของขวัญขึ้นมาในบัดดล

หรือจะเอาเป็นศิลาวิญญาณดี?

ถึงแม้จะดี ซ่งเล่อมีความสุข แต่ตัวเองต้องปวดใจ นับว่าไม่คุ้ม

ค่าใช้จ่ายของศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวถือว่าสาหัสเอาการ

หรือจะเอาเป็นโอสถสมุนไพรขาดเหลือดี?

พอมาคิดดูดีๆ ซ่งเล่อหาใช่นักปรุงยา ให้แล้วก็ดูฟุ่มเฟือยไปสักหน่อย คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า

หรือจะไปมันทั้งอย่างนี้?

อย่างไรก็ยังกินฟรีดื่มฟรีทุกอย่างฟรีได้

ได้ยินว่าศิษย์พี่ใหญ่ฝ่ายในประตูหายนะก็คือซ่งเล่อ แม้จะยังห่างไกลจากศิษย์สายตรง แต่ตอนนี้ก็เป็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย

น่ากลัวว่าสุภาพบุรุษฉินผู้ทรงสง่าจะไม่อาจต่อยุทธ์ด้วยไหว

หรือต่อให้ฉินจิ่วเกอเค้นเรี่ยวแรงยามดูดนมมารดาออกมา ในหมู่คนทั้งสาม มันก็ยังด้อยวรยุทธ์ที่สุดอยู่ดี

“สหายท่าน ขอบังอาจถาม มุกวับวาวในมือท่านเม็ดนั้น มีมูลค่าเท่าใด? ” ฉินจิ่วเกอปิดหน้าชั่วร้ายของตัวเองไว้ กลัวว่าจะขู่ขวัญผู้คนจนตาย

คนที่ถูกถามเชิดหน้าอกอย่างภาคภูมิ “หนึ่งหมื่นทอง! ”

“แค่กๆ รบกวนท่านแล้ว อาเร๊ะ? สหายท่านนี้ ในมือท่านไม่ทราบว่าเป็นสมุนไพรชนิดใด? ”

คนถูกถามอีกคนกล่าวอย่างอวดโอ่ “นี่คือหญ้าเหมันต์ สมุนไพรระดับห้า มูลค่าสูงส่งสุดสูง”

“เท่าไหร่หรือท่าน? ”

“ต้องเป็นแหวนมิติระดับต่ำที่จุศิลาวิญญาณไว้เต็มสามวง ข้าถึงจะยอมขาย”

“ถุ่ด! ” ฉินจิ่วเกอถ่มถุยอย่างเดือดดาล

ไฉนของกำนัลพวกนี้ถึงได้แพงขูดเลือดขูดเนื้อถึงเพียงนี้

คนพวกนี้ต่างก็อยากจะประจบศิษย์ฝ่ายในที่พอจะมีพรสวรรค์นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนศิษย์สายตรง นั่นคือภาพลักษณ์ของพรรค เป็นบุคคลที่พรรคชุบเลี้ยงอย่างดี จึงไม่อาจพบเห็นได้

ซ่งเล่อ เป็นถึงหัวหอกศิษย์เอกฝ่ายในประตูหายนะ นับว่าไม่ธรรมดา

สุภาพบุรุษฉินผู้ประหยัดมัธยัสถ์มาโดยตลอด ไม่อาจฟุ่มเฟือยเงินทองมากเกินไป ดังนั้นจึงสอดส่ายสายตาไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง จนปะจะดะเข้ากับสมุนไพรหลากชนิดตามข้างทาง

เมื่อนั้นนัยน์ตาของฉินจิ่วเกอก็วาวโรจน์ มิอาจไม่วิจารณ์ถึงความฟุ่มเฟือยในการประดับประดาพรรคของประตูหายนะอยู่สองสามประโยค

เหมือนอย่างเขาพิรุณเซียน สมุนไพรพวกนี้ล้วนไม่ต่ำกว่าขั้นสามขั้นสี่ บริสุทธิ์พร้อมถูกย่อยรับประทาน แต่กลับไม่อนุญาตผู้คนเอามาใช้ประโยชน์

เสียของ เสียของแท้ๆ

ประตูหายนะเลือกตั้งพรรคอยู่ในเขตลึกบนป่าเขา แน่นอนว่าไม่พ้นพฤติกรรมแย่ๆ นี้ไปได้

ตลอดข้างทาง โอสถสมุนไพรล้ำค่าพบเห็นได้ทั่วไป เหมือนเอาทองคำมาก่อเป็นกำแพง

ฉินจิ่วเกอจ้องมองต้นพฤกษาจิตมังกร สมุนไพรระดับสี่ จากนั้นก็เดินเข้าไปเอามือโอบ แล้วเดินวนพิจารณาอีกหลายรอบ

เสร็จแล้วก็ถอนใจออกมาเล็กน้อย เหลียวซ้ายแลขวา โอเค ปลอดคน

ฟ้าวว!

ด้วยความเร็วชนิดที่มองตามไม่ทัน ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ ทุกอย่างก็เป็นอันสิ้นสุด

หันมามองสุภาพบุรุษฉินอีกที ยังคงสีหน้าท่าทางดั่งสุภาพบุรุษทรงคุณธรรม ยอมกระหายไม่ยอมดื่มน้ำจากโจร เอามือไพล่หลังเดินจากไป

ลดระดับสายตาลงอีกนิด จะพบกับหลุมที่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีขึ้นหลุมหนึ่ง ต้นพฤกษาจิตมังกรที่เคยยืนต้นอยู่ก่อนหน้า เวลานี้กลับอันตรธานไปอย่างน่าพิศวง

ตลอดรายทาง ฉินจิ่วเกอก็ใช้กลเม็ดเดิมซ้ำๆ ฉวยโอกาสตอนที่ทางสะดวก ลงมือขุดถอนสมุนไพรอย่างช่ำชอง

แถมโจรผู้นี้ยังมีนัยน์ตาสูงส่ง สมุนไพรที่ตกเป็นเหยื่อล้วนไม่มีต่ำกว่าระดับสาม และไม่เกินระดับห้า เป็นโจรที่ลึกซึ้งในหลักการ

ประตูหายนะตลอดข้างทาง จะพบศิษย์เฝ้ายามอยู่เพียงประปราย ถึงอย่างไรทุกคนก็ล่วงรู้ถึงอำนาจของประตูหายนะเป็นอย่างดี จึงไม่มีใครกล้าราวีสร้างเรื่องราว ในส่วนของสวนสมุนไพรตลอดข้างทาง ก็ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าจะมีคนหมายตาจนถึงขั้นวางแผนดักอุ้ม

นับแต่ที่ประตูหายนะก่อตั้งพรรคมาแต่สมัยปลายบรรพกาล ก็ไม่เคยเกิดเรื่องน่าตกตะลึงถึงเพียงนี้มาก่อนเช่นกัน

หันกลับมาดูสุภาพบุรุษฉินกันอีกที ทั้งใบหน้าอันเรียบนิ่ง นัยน์ตาที่ไม่หลุกหลิก สองมือที่ไพล่ประสานอยู่ด้านหลัง ท่วงท่าราวผู้คุมสอบที่กำลังเดินตรวจตราวางอำนาจ

ยามก้าวเดิน ยังปรากฏศิษย์ตระกูลเล็กๆ บางกลุ่มที่ขาดความมั่นใจในตัวเองค้อมศีรษะคารวะให้

หลังจากที่เดินมาด้วยอากัปกิริยาเช่นนี้ได้สักระยะหนึ่ง ฉินจิ่วเกอก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ใจแทบจะลอยล่องขึ้นแดนไท่จี๋ไปแล้ว

สุขี สุขีแท้ๆ ในเวลาเพียงครึ่งก้านธูป ตนก็แทบจะขุดเอาสมุนไพรมูลค่าหนึ่งแสนศิลาวิญญาณมาได้

ประสิทธิผลระดับนี้ไม่ด้อยไปกว่าการวางเพลิงปล้นสะดมในเมืองเทียนเอินเลยแม้แต่น้อย

ที่เหลือก็แค่สละแหวนมิติระดับต่ำอันไม่มีค่าอะไรไปหนึ่งวง ใส่ของขวัญไว้ให้เต็ม แล้วสอบถามที่อยู่ของซ่งเล่อมาให้แน่ชัด

ฉินจิ่วเกอตอนนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ อีกเดี๋ยวหากซ่งเล่อเผยสีหน้าประมาณพ่อค้าไร้ยางอายออกมา ตนก็แค่โยนแหวนมิติที่เตรียมไว้ใส่หน้ามันด้วยรอยยิ้มกริ่ม จากนั้นก็เดินหัวร่อฮาฮาจากไป

ซ่งเล่อครอบครองยอดเขาเดี่ยวภายในเขตของฝ่ายในเพียงลำพัง บนยอดเขาปลูกสร้างไว้ด้วยกระต๊อบหญ้าคาสามหลัง ไม่ผิดแน่

ทิวทัศน์สวยยามสายัณห์ แมกไม้หอมบุปผางาม

สุภาพบุรุษฉินมาเยี่ยมเยือนสหายเก่า กระโดดโลดเต้นมาตลอดการเดินทาง ส่งเสียงขับร้องทักทายป่าเขาลำเนาไพร ใบหน้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นดั่งดวงตะวันเฉิดฉาย

ก็อกก็อก

ฉินจิ่วเกอมาถึงหน้าประตูและเริ่มเคาะเป็นจังหวะ

“ใครน่ะ? ” มีเสียงไร้เรี่ยวแรงดังลอดมาจากภายใน เจือความสลดหดหู่ไว้บางเบา

“มาส่งความอบอุ่น รีบมาเปิดประตูเร็วเข้า” ฉินจิ่วเกอบีบจมูกร้องเข้าไป

ผ่านไปพักหนึ่ง ก็มีเสียงคลุกคลักดังมาจากด้านใน จากนั้นบานประตูไม้ไผ่ที่ส่องแสงสว่างก็แง้มเปิดออก

ใบหน้าดวงหนึ่งโผล่ออกมาก่อน จากนั้นต่างคนต่างก็พิจารณากันและกัน ชะงักงันไปตามกันๆ

“เจ้าเป็นใคร? ”

ใบหน้าสองดวง เอ่ยถามขึ้นพร้อมๆ กัน ฉินจิ่วเกองุนงงจนต้องยกมือเกาหลังศีรษะ หรือมันจะมาผิดที่?

คนตรงหน้านี้ เต็มไปด้วยความสลดหดหู่ องคาพยพซูบเซียว ลักษณะเหมือนคนป่วยไข้

รอบริมฝีปาก ยังมีตอขนขึ้นหร็อมแหร็ม ผิวพรรณกระดำกระด่าง ราวกับว่าคนผู้นี้ไม่ได้ล้างหน้ามานานแปดร้อยปี

“พะ.. พี่ฉิน? ”

ซ่งเล่อตะลึงลาน ไฉนจึงเป็นมัน?

“ซะ..ซ่งเล่อ? ” ฉินจิ่วเกอเบิกตากว้างโต ไม่กล้าทำใจเชื่อ คุณชายรูปหล่อปากแดงในวันวาน ไฉนผ่านไปได้เพียงสองปี กลับกลายสภาพมาเป็นตาลุงทึนทึกเช่นนี้ไปได้เล่า?

ยกมือลูบหน้าเรียบรื่นราวไข่ที่เพิ่งแกะเปลือกของตัวเอง ฉินจิ่วเกอก็อารมณ์ชื่นบาน ฐานะบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งแห่งทวีปฉงหลิงของมันนั้นเป็นที่มั่นคงแล้ว

“มา เข้ามาเร็ว”

พบเห็นสหายเก่า ซ่งเล่อรีบหลีกทางเชื้อเชิญสหายเข้าสู่ที่พำนัก

ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะรับเล็กน้อย เชิดหน้ายกเท้ากำลังจะก้าวเข้าไปด้วยจิตใจอันกระปรี้กระเปร่า

โป๊ก!

ขณะที่ปลายเท้าของฉินจิ่วเกอก้าวพ้นธรณีประตูไปได้ครึ่งทาง ประตูไม้ไผ่กลับปิดตัวเองดึงฟึ่บ ลำไม้ไผ่หักๆ พังๆ กระแทกใส่ใบหน้าฉินจิ่วเกอเข้าเต็มรัก

“อะจ๊ากก! ”

ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะปิดประตูกะทันหัน สุภาพบุรุษฉินผู้ใจกว้างดั่งท้องธารจึงถูกลอบทำร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัว มือกุมจมูก ทรุดลงกับพื้นร่ำร้องโอดโอย

กระท่อมหญ้าคาบรรจุห้องหับอันสมถะ หากยังมีกลิ่นหอมจาง น้ำเสียงครื้นเครงของซ่งเล่อก็ดังออกมา “ไม่นึกเลยว่าพี่ฉินจะมาเยี่ยมข้า ช่างเป็นเรื่องอันประเสริฐจริงๆ โปรดรอข้าสักเดี๋ยว”

ฉินจิ่วเกอที่ยังคงนั่งกุมจมูกพลันได้ยินเสียงเปิดประตู และก็เห็นบานประตูเหวี่ยงออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้น ประตูก็เปิดแง้มออกมาแก่มันอีกครา

ภายใน ปรากฏบุรุษหนุ่มรูปงามคิ้วพาดเฉียงนัยน์ตาดุจดาราก้าวเดินออกมา ในมือถือพัด สวมอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ก้าวเดินออกมาอย่างสง่า

ชายผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายปราณีต มีนัยน์ตาดุจประกายดาราพร่างพราว

แก้มของมันราวกับใช้มีดสลักขึ้น ทุกสัดส่วนล้วนดูคมคายสะอาดได้รูป ไม่เหลือหนวดเคราหร็อมแหร็มอยู่อีก

ฉินจิ่วเกอตาค้าง จบกัน บัลลังก์ชายงามแห่งทวีปทำท่าจะล้มครืนแล้ว

“พี่ซ่ง ท่านเมื่อครู่……” ฉินจิ่วเกอถูตา อย่าบอกนะว่าชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลก็เกิดภาพหลอนได้เหมือนกัน?

ซ่งเล่อผุดยิ้มปลอดโปร่ง ลักยิ้มบนแก้มมีเสน่ห์น่าดึงดูด “อ้อ เมื่อครู่ข้ามัวแต่ง่วนอยู่กับการฝึกปรือ จนละเลยสภาพตัวเองไปหน่อย ท่านกับข้าต่างก็ไม่ได้พบกันมานานถึงสองปี ไฉนจู่ๆ วันนี้ถึงมาหาข้าได้? ”

กล่าวจบ ซ่งเล่อก็เอาตัวบังประตู ก่อนสะบัดมือปิดประตูอย่างง่ายๆ แล้วเชิญฉินจิ่วเกอให้มานั่งบนม้านั่งเย็นบั้นท้ายตรงหลังสวนแทน

“ไม่นานมานี้เผ่ามนุษย์เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ข้าก็เลยถือโอกาสนี้แวะมาเยี่ยมเจ้า” ฉินจิ่วเกอกล่าวพลาง ล้วงเอาแหวนมิติที่ตระเตรียมไว้เนิ่นนานไปพลาง “ของขวัญเล็กน้อย คงได้หัวเราะข้าแล้ว”

“ไอหยา เกรงใจท่านจริงๆ ข้าไม่ควรเอาเปรียบพี่ฉินเลย”

เรื่องที่ฉินจิ่วเกอถึงขั้นเตรียมของขวัญมาให้นั้น อยู่เหนือความคาดหมายซ่งเล่อไปมาก ตอนมันอยู่ในพรรค ที่จริงกลับไม่ได้คบหาสหายไว้เลย

“อุหวา หญ้าเชื่อมเมฆา ผลึกโบราณ ใบสุวรรณเพลิงอัคคี รากสวรรค์ไร้ตะเข็บ พี่ฉิน ทั้งหมดนี้เป็นของข้าจริงๆ?” พอเห็นของที่ฉินจิ่วเกอใส่ไว้ในแหวนมิติ ซ่งเล่อก็ตาโต ฉับพลันนัยน์ตาก็เริ่มแดงก่ำ

ฉินจิ่วเกอตบบ่าอีกฝ่าย เอ่ยอย่างเขื่องโข “พวกเราสองพี่น้อง ร่วมเป็นร่วมตาย ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจไป แน่นอน หากว่าเจ้ารู้สึกไม่ดี เช่นนั้นก็เอากลับมา…”

“ฮ่าฮ่า พี่ฉินล้อเล่นแล้ว ข้าขอรับไว้แล้วกัน”

ซ่งเล่อจิตใจสะท้านหวั่นไหว ลอบจดจำน้ำใจของฉินจิ่วเกอ เดิมทีคิดว่าคนผู้นี้คือตัวบัดซบหนึ่ง ตอนนี้ลองมองดู แท้ที่จริงกลับเป็นคนดีมีน้ำใจ ยับสามารถนับเป็นคนได้

ฉินจิ่วเกอลูบจมูกป้อยๆ “ช่วงนี้ในเผ่ามนุษย์มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เจ้ารู้หรือไม่”

ซ่งเล่อหัวเราะเอ่ย “ใช่เรื่องมหายุทธ์สามเผ่าหรือไม่?”

น่าแปลก ผู้แซ่ฉินนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยคิดออกหน้าออกตา ไฉนพลันยินยอมโผล่ออกจากรูมาได้?

ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าไม่ยินยอมโผล่หัวออกจากรู แต่เมื่อได้ยินรายนามของรางวัลแล้ว มีทั้งศาสตราบรรพกาลศาสตราศักดิ์สิทธิ์ โอสถเทพศิลาวิญญาณ ทักษะยุทธ์กำลังภายใน

สรุปแล้ว ของรางวัลที่แจกก็คือ โอ้มายก็อด โอ้มายก็อด เงินทั้งนั้น

ในใจของฉินจิ่วเกอนั้น หน้าตาใหญ่กว่าตัวมัน เงินทองใหญ่กว่าหน้าตา แถมยังไปท่องกลอนสโลแกนพรรคอันยิ่งใหญ่ใส่หน้าอาวุโสใหญ่ไปอีก จะปล่อยผ่านได้อย่างไร?

“มิใช่ แต่เป็นหลายวันมานี้ เผ่ามนุษย์เกิดคลื่นสัตว์อสูรขึ้น” ฉินจิ่วเกอมาตามหาศิษย์น้องรอง ก็เพื่อเรื่องการรับมือคลื่นสัตว์อสูรนี่เอง

ตามชื่อของมัน ถึงเวลานั้น สัตว์อสูรจำนวนมหาศาลจะทะลักหลั่งไหลเข้ามาราวน้ำป่าไหลหลาก

ขอเพียงพลังของพวกมันอยู่ระดับปราณสุริยันหรือหลอมวิญญาณ แต่การเจริญพันธุ์ของพวกมันรวดเร็วยิ่ง

ถึงเวลานั้น สัตว์อสูรนับพันนับหมื่นทะลักทลายเข้าใส่ท่าน จะกลายเป็นมวลพลังอันมหาศาลที่สามารถพลิกคว่ำฟ้าดิน หมื่นอาชาพันกองทัพ แม้แต่กลั่นดวงธาตุ ยังไม่แน่ว่าสามารถล่าถอยอย่างปลอดภัย ไม่ต่างจากกองทัพมดล้มช้าง

“หรือจะเกี่ยวข้องกับพรรคโลหิตนภา?” ทวีปฉงหลิงช่วงหลายปีมานี้ ผู้ฝึกวิชาปีศาจทยอยสร้างปัญหาไม่หยุดยั้ง

ต้นกำเนิดของพวกมัน แน่นอนว่าย่อมมาจากพรรคโลหิตนภา ยังมีจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์โลหิตนภาที่พวกมันบูชาเป็นบรรพชน ต่อให้พลิกตำราบันทึกเก่าคร่ำคร่าแต่โบราณกาล ยังไม่อาจหาชื่อของมันพบ

“อืม เป็นเช่นนั้นจริง คลื่นสัตว์อสูรระเบิดออก ศิษย์ประตูหายนะอย่างพวกเจ้าเองก็ต้องถูกมอบหมายให้ออกไปช่วยเหลือ เจ้าเองก็เตรียมการให้ดี ไม่แน่ว่าพวกเราอาจได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกครั้ง”

“อย่างนั้น เพื่อความสงบสุขของประตูหายนะ ซ่งเล่อน้อมสนอง หมื่นหายนะไม่หวาดหวั่น!”

คุณธรรมล้างอธรรม ราชันขยี้โจรร้าย ในใจของทุกผู้คน นี่ก็คือเรื่องราวอันชอบธรรม

สัตว์อสูรอาละวาดในเขตแดนของเผ่ามนุษย์ ย่อมต้องถูกสะกดด้วยโลหิตและโลหะ ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญถึงสาเหตุหรือที่มาของปัญหาแต่อย่างใด