ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจ ไม่แสดงสีหน้า “เอาล่ะ ข้ายังต้องไปตามศิษย์น้องรองกลับพรรคอีก ถึงเวลาค่อยไปรวมตัวกันที่เมืองซวนอู่ ว่าแต่พี่ซ่ง พวกเราต่างก็ไม่ได้พบหน้ากันมานานถึงสองปี แม้แต่ลูกสะใภ้ก็ยังเป็นแม่ยาย แล้วเหตุใดเจ้ายังเป็นศิษย์ฝ่ายในอยู่เลยเล่า? ”

ยามพบกันครั้งแรก รูปลักษณ์และปูมหลังของซ่งเล่อล้วนกระตุ้นต่อมความเกลียดชังของฉินจิ่วเกอเข้าอย่างจัง

แต่พอตนเองได้ยกระดับมาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอกแล้ว ยามหยิบจับทำอะไรก็เหมือนมีเทพคอยเกื้อหนุนอยู่ตลอดเวลา

กับศิษย์ฝ่ายใน ฉินจิ่วเกอเริ่มดูแคลนขึ้นมาบ้างแล้ว ต้องเป็นศิษย์สายตรงประตูหายนะต่างหากจึงจะเป็นพวกที่ทางพรรคให้การชุบเลี้ยงอย่างจริงจัง แม้จะเป็นพวกที่อ่อนหัดที่สุด ก็ยังเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่ยอดฝีมือพิสุทธิ์ไพศาลอยู่ดี

“เฮ้อ” ซ่งเล่อส่ายหน้าถอนใจ “บุตรไร้มารดา พูดแล้วก็ยาว”

ขณะที่ซ่งเล่อกำลังเหลียวมองความอ้างว้างของโลกหล้า หวนนึกถึงความผันแปรเปลี่ยนผันทางโลก ฉินจิ่วเกอก็พลันส่งเสียงกระแอมไอขึ้น “ในเมื่อพูดไปแล้วก็ยาว เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเช่นนี้แหละ ข้าจะไปตามน้องรองล่ะ”

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน” ซ่งเล่อลนลานระคนโง่งม รีบคว้าชายเสื้อฉินจิ่วเกอไว้

พี่ฉิน ในเมื่อถามเปิดประเด็นมาแล้ว จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไรเล่า

ตามหลักการ เวลาที่มีคนกำลังพูดเกริ่นเปิดประเด็น ผู้รับฟังก็ควรจะเป็นผู้ฟังที่ดี เฝ้ารอด้วยกิริยาสุขุม เงี่ยหูฟังผู้พูดอย่างตั้งใจสิ

หลังเสร็จสิ้นเรื่องราว ค่อยมานั่งวาดวงกลมด้วยกัน จากนั้นสาปส่งอีกฝ่ายให้อายุยืนยาวร้อยปี กลับสู่สังสารวัฏไป

ฉินจิ่วเกอส่งเสียงหัวร่อออกมาคราหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นทันควัน “เรื่องขี้ปะติ๋ว ให้ข้าเดา กว่าครึ่งคือเรื่องของเจ้าเฉียนหยุนนั่นถูกหรือไม่? ”

พอคิดดูแล้วก็ใช่ แม้จะไม่ดีที่ฉินจิ่วเกอไปก้าวก่ายถึงปัญหาภายในของประตูหายนะ แต่ตอนที่ได้ยินว่าเฉียนหยุนเลื่อนระดับเป็นศิษย์สายตรง เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับพี่ชายมัน

“พี่ฉินรู้? ” ซ่งเล่อโง่งมแล้ว อันที่จริงตัวมันสามารถเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายตรงได้ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว

แต่ผลกลับกลายเป็นว่าพี่ชายของเฉียนหยุนดันเข้ามาขัดขวาง ในหมู่อาวุโสก็มีหลายคนเป็นคนของตระกูลเฉียน โดยเฉพาะอาวุโสที่มีนามว่าเฉียนตัวตัว (เงินไหลมาเทมา) ที่เป็นลุงแท้ๆ ของเฉียนหยุน

บทสรุปก็เป็นอย่างที่เห็น ซ่งเล่อต้องถูกอัปเปหิออกมาตั้งรกรากอยู่ในที่กันดารเช่นนี้

“ตอนอยู่ในเมืองซวนอู่ มันมาหาเรื่องข้าถึงสองครั้งคราว ครั้งแรกถูกข้าจัดการไปตอนอยู่ในโรงประมูล ส่วนครั้งที่สอง คือตอนที่เหลาไกรสรและพรรคจอกประกายสิทธิ์รวมหัวกันลอบกัดข้า หากไม่ใช่อาวุโสมู่หยวนสอดมือเข้ามาก่อน ข้าคงบั่นหัวสุนัขของมันไปแล้ว”

ฉินจิ่วเกอพ่นลมร้อนออกจมูก หมัดกำแน่น ดูไปคล้ายอาชาเดือดคลั่งพร้อมที่จะออกอาละวาดตัวหนึ่ง

“หยา ยังดีที่ท่านไม่ได้ฆ่ามัน ไม่อย่างนั้นท่านต้องเดือดร้อนแน่” ซ่งเล่อเอ่ยจบก็ลดศีรษะลงต่ำด้วยความหดหู่

ในฐานะคนที่เคยตายมาแล้วสองครั้ง ฉินจิ่วเกอย่อมไม่กลัวฟ้าเกรงดิน ยกเว้นไม่มีเงินใช้

แล้วก็ คนที่มันกลัว เห็นจะมีแต่อาวุโสใหญ่กับลั่วเฉิน คนแรกเปรียบได้ดั่งบิดา ส่วนคนหลังก็คือบุคคลที่จะได้ครองโลกในอนาคต

ฉินจิ่วเกอปลอบใจซ่งเล่อ “ไม่มีปัญหา คลื่นสัตว์อสูรบุกครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีของเจ้า ต่อให้ตระกูลเหยียนมีอำนาจเขื่องโขกว่านี้ ก็ไม่มีวันใช้มือคลุมแผ่นฟ้าได้ ถึงตอนนั้นพอเจ้าทะลวงด่านได้เมื่อไร ฐานะศิษย์สายตรงก็ไม่หลุดมือเจ้าไปแน่”

“จริงหรือท่าน? ” ในดวงตาของซ่งเล่อเริ่มเกิดประกายอันตั้งมั่น

ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “แน่นอนว่าไม่จริง เฉียนหยุนผู้นั้น พี่ชายของมันเฉียนไป๋คือศิษย์สายตรง มหายุทธ์กลั่นดวงธาตุ ลุงมันคือเฉียนตัวตัว อาวุโสกลั่นดวงธาตุผู้ร้ายกาจสุดแสน ประมุขตระกูลของพวกมัน ยังเป็นเจ้าประมุขคนปัจจุบันของประตูหายนะ แล้วเจ้าจะเอาอะไรไปสู้? ”

ซ่งเล่อรับฟังจนแทบกระอักเลือด แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ได้

มองดูฉินจิ่วเกอ มองดูรอยยิ้มยียวนบนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ต้องคิดกับตัวเองว่า เจ้าหมอนี่ใช่มาอวยพรให้ข้าอยู่เย็นเป็นสุขจริงๆ รึ?

คงไม่ใช่ถูกเฉียนหยุนติดสินบนไว้ เลยมายั่วยุตนให้ขาดใจตายหรอกนะ?

ช่างเป็นแผนฆ่าคนโดยไม่เห็นเลือดอย่างแท้จริง ดูจากกมลนิสัยเห็นเงินแล้วตาโตของพี่ฉิน ถือว่าเป็นไปได้อย่างที่สุด

“พี่ฉินวางใจเถอะ ข้ามีปณิธานตั้งมั่นเสียอย่าง ประตูหายนะมีอันใด? ตราบใดที่ข้าเฉิดฉายเพียงพอ แม้แต่ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ก็ยังต้องโน้มกิ่งลงมาทาบทามข้า แล้วเจ้าเฉียนหยุนที่เกาะชายกระโปรงผู้อื่นนั้นจะมาเป็นอุปสรรคบนเส้นทางของข้าได้อย่างไร? ”

“เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ? ” ฉินจิ่วเกอประหลาดใจ รู้สึกทนมองซ่งเล่อในภาพเปี่ยมความมั่นใจเช่นนี้ไม่ได้ นี่ช่างมีพลังทำลายล้างกับเพศตรงข้ามเกินไปแล้ว

“อืม ที่จริงข้ามีกลอนบทหนึ่งที่จะต้องเอ่ยออกมาให้ได้” ซ่งเล่อผู้เปี่ยมความทะเยอทะยานมองไปทางใดก็เห็นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

ในขณะนั้น ความมั่นใจของมันก็กลับไปเป็นเหมือนเช่นในอดีต ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ความคิดในแง่บวก

“พี่ซ่ง บทกลอนอันใดล้วนไม่จำเป็น มิสู้ข้าให้ท่านดูของอย่างหนึ่งจะดีกว่า” พบเห็นสหายเก่าคึกคักขนาดนี้ ฉินจิ่วเกอก็เลยหยิบเอาผลการทดลองล่าสุดของมันออกมา

“นี่คืออะไร? ” ซ่งเล่อมองแล้วมองอีก แต่ก็เห็นเพียงท่อนไม้ไผ่ท่อนหนึ่ง ภายในคล้ายมีน้ำตาลโรยอยู่ประปราย

“มันคือดอกไม้ไฟ พอปะทุแล้วจะสวยมากเชียวล่ะ” ฉินจิ่วเกอนำเสนอการคิดค้นครั้งใหญ่นี้อย่างภาคภูมิ

ซ่งเล่อยกมือลูบคาง ถาม “ใช้ทำอะไรได้? ”

“ทำได้ตั้งหลายอย่าง! ”

สำหรับปัญหานี้ สวีเซิ่งเองก็เคยถาม ฉินจิ่วเกออุทิศตนขบคิดใคร่ครวญถึงปัญหานี้อยู่นาน “ฟังนะ ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือกำลังเดินทาง ดอกไม้ไฟนี้ก็ใช้ได้ทุกที่ ทั้งยังช่วยผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยในการฝึกปรือ ทะลวงด่าน และขัดเกลาตัวเอง”

ซ่งเล่อเบิกตาอย่างโง่งม คว้าเอาท่อนไม้ไผ่นั้นมาพิจารณา “ร้ายกาจถึงเพียงนั้น? ”

“แน่อยู่แล้ว! ”

“สาธิตให้ดูหน่อย” ซ่งเล่อเริ่มร้อนใจอยากดูขึ้นแล้วเหมือนกัน พี่ฉินมักทำเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้คนอยู่เรื่อย

ในที่สุดฉินจิ่วเกอก็ค้นพบบุคคลที่ชื่นชมในผลงานของมัน ดังนั้นจึงหยิบท่อนไม้ไผ่นั้นมา แล้วจุดไฟขึ้นที่ปลายด้าม โดยหันไปทางบ้านกระต๊อบของซ่งเล่อ

ปุปุ!

สะเก็ดไฟแลบแปลบปลาบเหมือนบุปผาแต้มแสง ก่อนจะปะทุขึ้นกลางนภา และร่วงดับลงบนหลังคากระต๊อบของซ่งเล่อพอดิบพอดี

ทันใดนั้น สะเก็ดไฟก็ลุกพรึ่บ หญ้าคาลุกลามด้วยเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลุกกระพือฮือโหมอย่างห้ามไม่อยู่ คลื่นเพลิงระอุร้อนสะท้อนอยู่ในดวงตาของซ่งเล่อและฉินจิ่วเกอที่เฝ้ามอง

“นะ..นี่ก็คือสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยด้านการฝึกปรือ? ” ซ่งเล่อตาค้าง ที่แท้มันคืออะไรกันแน่ แล้วไฉนอยู่ๆ บ้านของมันก็ติดไฟขึ้นมาได้?

ฉินจิ่วเกอกล่าวอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ดั่งที่เขาว่าสีสันอาจมีอยู่หรืออาจไม่มี มีอยู่คือไม่มี ไม่มีคือมีอยู่ คิดตามนะ เงินทองก็คือเงินทอง คือพันธนาการที่ขวางไม่ให้เราบรรลุสู่แดนไท่จี๋ ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกำลังลุกเป็นไฟ ก็เป็นนิมิตหมายว่าพี่ซ่งกำลังจะได้เสด็จขึ้นสู่เบื้องบน”

ใบหน้าซีกซ้ายของซ่งเล่อสั่นกระตุก ร่ำไห้เป็นสายเลือด “พี่ฉิน ถึงข้าจะเป็นคนซื่อ แต่ก็ไม่ได้ไร้สมอง”

“ไม่ๆๆ ข้ากลับรู้สึกว่าท่านไร้สมองอยู่บ้าง” ฉินจิ่วเกอชันกายลุกขึ้น ถอยหลังไปสามก้าว จากเพลิงเล็กๆ ตอนนี้พลันพุ่งพวยขึ้นฟ้า

ซ่งเล่อยังคงสับสนและงงงวย ยกมือลูบศีรษะตัวเอง “นี่ข้าโง่เง่าตรงที่ใดกันแน่? ”

ฉินจิ่วเกออธิบายอย่างใจเย็น “หากข้าเห็นบ้านตัวเองกำลังติดไฟ ข้าย่อมไม่มานั่งถกเถียงเรื่องไร้สาระอยู่ตรงนี้ แต่จะรีบวิ่งเข้าไปดับไฟเป็นอย่างแรก”

ซ่งเล่อพลันลุกพรวดพราดเหมือนมีอะไรจี้ตูด ร่ำร้องเสียงหลง “งั้นทำไมยังไม่ช่วยข้าอีก! ”

ฉินจิ่วเกอแหงนหน้ามองตา หลับตาพริ้ม “ก็นี่ไม่ใช่บ้านข้าซะหน่อย ข้าเลยขี้คร้านเกินกว่าจะใส่ใจ”

“เจ้า เจ้า” ซ่งเล่ออยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ตอนนี้เปลวเพลิงกำลังลุกลามได้ที่ กระต๊อบทั้งสามหลังไม่มีหลังไหนรอดพ้นสักหลัง ทั้งหมดถูกย่างสดจนราบเป็นหน้ากลอง

ฉินจิ่วเกอตบบ่าซ่งเล่อเป็นการปลอบใจ “อย่าเสียใจไปเลย อย่างน้อยเจ้าก็ได้เป็นสักขีพยานให้กับดอกไม้ไฟที่ข้าเพิ่งคิดค้นขึ้น ถือว่าเจ้าโชคดีมากแล้ว”

“พี่ฉิน” ซ่งเล่อคว้ามือฉินจิ่วเกอมากุมไว้อย่างสั่นสะเทือน “เฉียนหยุนไม่ได้ส่งท่านมาปองร้ายข้าจริงๆ ใช่ไหม? ”

ฉินจิ่วเกอนิ่งขรึมไปนานค่อนวัน จากนั้นพลันฉีกยิ้มยิงฟัน สลัดตัวให้พ้นจากอีกฝ่าย เปล่งเสียงออกมาสองคำ “เหอะเหอะ”

เห็นท่าทีเช่นนี้ของมัน ซ่งเล่อก็ต้องลงไปตะกุยพื้นอย่างบ้าคลั่ง

*********************

ที่พำนักของศิษย์สายตรงประตูหายนะ เฉียนไป๋ พี่ชายของเฉียนหยุน ถูกอาวุโสเรียกตัวจากการปิดด่าน

คลื่นสัตว์อสูรประชิดใกล้ ศิษย์สายตรงที่รับหน้าที่คุ้มครองที่ทำการหลักพรรค จึงถูกเรียกตัวกลับมาทั้งหมด

ยังมีลุงของเฉียนหยุน เฉียนตัวตัว สามหน่อตระกูลเฉียนต่างก็มานั่งอยู่ในห้องกันพร้อมหน้า ในประตูหายนะทุกวันนี้ ตระกูลเฉียนมีสิทธิ์ออกปากออกเสียงมากที่สุด ไม่ใช่เพราะพวกมันมีเงิน (เฉียน) แต่เป็นเพราะประมุขประตูหายนะก็คือประมุขตระกูลเฉียนนั่นเอง

“ท่านพี่ เราปล่อยซ่งเล่อไว้รังแต่จะเป็นหอกข้างแคร่ แถมมันก็เพิ่งทะลวงพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย ขืนยังเป็นเช่นนี้ต่อไป อาวุโสคนอื่นๆ อาจดึงให้มันเข้าเป็นศิษย์สายตรงด้วยก็ได้”

เฉียนหยุนในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่บนเสื่อที่ทำขึ้นจากไผ่ผืนหนึ่ง

เฉียนไป๋ปิดตารับฟัง สืบเนื่องจากวิชาลมปราณที่มันฝึกปรือ จึงทำให้สังขารของมันเป็นธาตุน้ำแข็ง เรือนผมเป็นสีขาวโพลนทั้งหมด ยามปิดตาสำรวมจิตอยู่ตรงนั้น หากมีใครเข้าใกล้จะรับรู้ได้ถึงไอเย็นหนาแน่นได้ทันที ไม่ต่างจากการอุ้มศิลาเย็นเฉียบก้อนหนึ่งไว้ในมือ

“จะตีโพยตีพายไปทำไม ตราบใดที่มันยังอยู่ในพรรค ก็จะมีพวกสามัญชนนั่นคอยออกหน้าคุ้มครองมัน รอจนเหตุการณ์สัตว์อสูรครั้งนี้ปะทุขึ้นเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นมันย่อมต้องออกไปจากพรรค ข้าอยากรู้เหลือเกินว่ายังจะปกป้องมันอีกได้หรือไม่”

เฉียนตัวตัวสวมอาภรณ์ที่มีเหรียญทองแดงห้อยประดับอยู่เต็ม ลำคอทรงกระบอก “ถูกแล้ว เสี่ยวหยุน เจ้าอย่าได้ผลีผลามไป เจ้าเด็กซ่งเล่อนั่นพรสวรรค์สูงล้ำ ย่อมไม่มีทางมาเข้าร่วมกับพวกเรา ไม่ช้าก็เร็วมันต้องถูกเก็บกวาดแน่ เจ้าไม่ต้องห่วงไป”

“ส่วนเจ้า” เฉียนไป๋ปรายตามองอย่างเย็นชา ส่งผลให้ขนคิ้วของเฉียนหยุนต้องเกิดน้ำแข็งจับตัวขึ้น “ข้ากับอาวุโสทุ่มศิลาวิญญาณและโอสถสมุนไพรไปกับเจ้าตั้งเท่าไร กลับยกระดับเจ้าได้เพียงพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด นอกจากพรสวรรค์จะขาดแคลน ยังไม่มานะฝึกฝีมืออีก! ”

“ข้าทราบแล้ว” เฉียนหยุนแม้เป็นพวกทระนงไม่เห็นหัวใคร แต่กับเฉียนไป๋ที่เป็นพี่ มันยังหวาดกลัวอยู่มาก จึงได้แต่ก้มหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

การฝึกตนมีทางลัดหรือไม่?

แน่นอนว่าต้องมี และผู้ฝึกวิชาปีศาจก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ว่า

หรือไม่ก็ทุ่มใช้สมุนไพรจำนวนมาก ฝืนดูดซับไอวิญญาณจากศิลาวิญญาณ เหล่านี้ล้วนช่วยเลื่อนระดับฝีมือได้ทั้งนั้น

แต่การใช้วิธีการอันสุดโต่ง ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อรากฐาน

แต่ถ้าต้องการทะลวงสู่กลั่นดวงธาตุ จำต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสนีบาตสวรรค์และเพลิงปฐพี หากคิดฝ่าไปให้ได้โดยอาศัยศิลาวิญญาณและวัตถุวิเศษ นั่นย่อมฟุ่มเฟือยจนเกินไป คนส่วนใหญ่แม้แต่จะคิดยังไม่คิด

เฉียนตัวตัวเอ่ย “เจ้าเด็กซ่งเล่อนั่นไม่ใช่ปัญหา หลังเหตุการณ์อสูรบุก ข้าจะส่งศิษย์ออกไปจำนวนหนึ่ง พอถึงศึกมหายุทธ์ก็ทำทีเป็นพลั้งมือทำลายวรยุทธ์มันซะ พวกที่อวดดีไม่ยอมก้มหัวให้เรา จำต้องถูกกำจัด ต่อไปประตูหายนะแห่งนี้ยังจะไม่ตกอยู่ในกำมือของพวกเราอีกรึ”

บนใบหน้าเย็นชาของเฉียนไป๋ในที่สุดก็ถูกความเย้ายวนของอำนาจกระตุ้นให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมา “อาวุโสกล่าวถูกแล้ว วันที่ว่าอยู่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น เมื่อถึงเวลา ข้าจะให้พวกมันได้เห็นว่าอันใดจึงจะเรียกพลังที่แท้จริง”

ทบทวนอยู่ครู่ เฉียนตัวตัวก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะให้เจ้าคุมศิษย์ฝ่ายในไปกำราบคลื่นสัตว์อสูรในเมืองซวนอู่ ถึงตอนนั้นเจ้าก็แค่หาโอกาสเหมาะๆ พาคนไปทำลายวรยุทธ์หรือไม่ก็สังหารเจ้าเด็กซ่งเล่อนั่นเสีย ถือว่าเป็นการขจัดเสี้ยนหนามไปในตัว”

เฉียนหยุนได้ฟังดังนั้นก็รีบคุกเข่าประสานมือคารวะอย่างตื่นเต้น มุมปากวาดออกเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “เช่นนั้นนับว่าประเสริฐสุด แต่ยังมีเจ้าเด็กนั่นอีกคน ข้าจะควานหาตัวมันให้พบ แล้วบดขยี้มันไม่ให้เหลือแม้แต่เศษซาก! ”

“เอาล่ะ ต่อไปก็อย่าได้นำเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มากวนใจข้าอีก ภายในพรรคยังมีพวกที่ไม่อาจดูแคลนได้อยู่ ทั้งยังมีผู้หนุนหลังที่ทรงอำนาจ หากข้าต้องการอยู่เหนือพวกมัน จำต้องขัดเกลาทักษะอีกสักหน่อย คาดว่าคงได้ลับฝีมือในเหตุการณ์สัตว์อสูรนี้เอง”

กล่าวจบ เฉียนไป๋ก็เกล้าผมขาวสลวยของตนไว้หลังศีรษะ ก่อนจะอันตรธานไปจากตรงนั้น