บทที่ 169 ศึกเกิดเพราะชายงาม
ชิงเยี่ยหลีและเด็กสาวคนนั้นรู้จักกันอย่างไม่ต้องสงสัย
โหลวไป่เชียนเองจะมาที่นี่เพราะนางด้วยหรือไม่?
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งเทียนเหิงยิ่งลึกขึ้น ฮ่า! ช่างเป็นแม่นางน้อยที่น่าปรารถนาเสียจริง มีผู้คนจับตามองอยู่มากมายถึงเพียงนี้
แต่เขาจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมาฉวยสิ่งที่เขาหมายตาไว้เป็นอันขาด
——————————-
อารามจันทร์กระจ่าง
“มีแต่พวกขยะไร้ประโยชน์!”
พลังมหาศาลที่อยู่เบื้องหลังม่านระเบิดออกมา ทำให้ทุกคนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างกระเด็นและกระอักเลือดออกมาทันที
“เจ้าอารามโปรดระงับความโกรธ ข้าน้อยทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วจริง ๆ แต่สถานที่นั้นไม่ใช่ที่ที่พวกเราสามารถเข้าไปได้…. ” ผู้คนที่อยู่ด้านล่างแท่นไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่าง กลับทรุดลงคุกเข่าเอ่ยอ้อนวอนเสียงสั่น
“โอ๋? ฉะนั้นข้าควรลงโทษทุกคนเลยงั้นหรือ?” สตรีคนนั้นถามพลางหัวเราะ เสียงของนางซ่อนไอสังหารเยือกเย็น “พวกเจ้ายอมให้นางหนีไปที่นั่นได้อย่างไร? ไม่ต้องกล่าวเรื่องฟื้นคืนวิญญาณ แต่นางอาจรวบรวมเศษวิญญาณทั้งหมดได้ด้วยซ้ำ! และหากนางได้พลังกลับคืนมาเมื่อครั้งพลังนางอยู่จุดสูงสุด ทั่วทั้งอารามจันทร์กระจ่างคงต้องพินาศสิ้น พวกเจ้าล้วนเป็นมือสังหารชั้นดีแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้นับเป็นความอัปยศอย่างสูง!”
“เจ้าอาราม หากนางฟื้นขึ้นมาแล้วอย่างไร? บุรุษคนนั้นก็ตายไปแล้ว นางตัวคนเดียว หากสู้สุดกำลังพวกเราก็อาจชนะได้!”
ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายแวววาวราวกับว่ากำลังนึกถึงเรื่องในอดีต จากนั้นริมฝีปากของนางก็ยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ “เขาตายแล้ว… ข้าก็หวังว่าเขาจะตายไปจริง ๆ แล้วเช่นกัน…”
นางได้เห็นร่างไร้ชีวิตของเขาอย่างชัดเจน และเขาก็ไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว
ฮ่า ๆ คนสองคนที่นางเคยรักมากที่สุด… ช่างน่าขัน… ที่นางฆ่าพวกเขาด้วยมือของนางเอง
ให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่ว่าดีแล้วหรือ?
ทำไมเล่า? ทำไมถึงหักหลังนาง?
“แคว้นมารเป็นอย่างไรบ้าง?” นางตั้งสติเสียใหม่ จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา
“นับตั้งแต่ที่ท่านจอมมารกลับมา การรักษาความปลอดภัยที่พรมแดนของแคว้นมารก็แน่นหนาขึ้น ไม่ได้ข่าวจากคนที่ส่งไปในแดนนั้นอีกเลย พวกเขาอาจถูกพบตัวแล้วก็เป็นได้ขอรับ”
“อืม ดูเหมือนว่าโหลวจวินเหยาจะสังเกตเห็นแล้ว พวกเขาเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยให้สูงขึ้นเพราะเขาไม่ได้อยู่บนแดนเมฆาสวรรค์” นางหัวเราะเยาะ ในดวงตางดงามพลันมีลมพายุก่อกำเนิด “เพื่อที่จะชุบชีวิตผู้หญิงคนนั้น โหลวจวินเหยาพยายามทุกวิถีทาง นางโชคดีจริง ๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังมีคนที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อนางเสมอ”
หึงหวงหรือ?
นางคิดว่ามันน่าจะเป็นความริษยาในสิ่งที่โหยหามากต่างหาก มันงอกเงยขึ้นมาจากความโลภ จากนั้นก่อเกิดเป็นไอสังหารที่นางสัมผัสได้อยู่ภายใน
————————————
“เฟยเอ๋อร์ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็ดีแล้ว” เสียงอ่อนโยนเจือด้วยความรักของบุรุษคนหนึ่งกระซิบอยู่ข้างหูนาง
คิ้วดั่งใบหลิวของชิงหลานเฟยขมวดน้อย ๆ ขณะกำลังตกลงสู่ห้วงฝัน
“เจ้าเป็นใคร?”
ทำไมนางถึงเห็นหน้าเขาไม่ชัดเล่า? แต่เสียงของเขา… รู้สึกคุ้นเคยมากจนนางรู้สึกถึงน้ำตาที่กำลังหลั่งรินอยู่ภายใน
เขากับนางเคยรู้จักกันหรือ?
ชายคนนั้นลูบแก้มนางเบา ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้าจำข้าไม่ได้อีกต่อไป เช่นนั้นก็ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป”
“เจ้ารู้จักข้าหรือ? “เจ้าเป็นใครกัน?” เมื่อเห็นว่าเขาค่อย ๆ หายไป ชิงหลานเฟยก็รีบเอื้อมมือออกไปด้วยความตื่นตระหนก แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ
“เฟยเอ๋อร์ ข้าจะคอยเฝ้ามองดูเจ้าตลอดไป”
ก่อนที่เขาจะหายตัวไป เขาได้ทิ้งคำพูดเหล่านั้นเอาไว้
ชิงหลานเฟยลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความตกใจ แผ่นหลังชุ่มเหงื่อ
นางประคองศีรษะไว้ด้วยความเจ็บปวด ส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ เสียงเบาของนางปลุกอาเยว่ที่นอนอยู่ไม่ไกลนักจนตื่น นางหรี่ตาที่ง่วงงุนขึ้นดูน้อย ๆ ก็พบกับภาพนั้น เด็กน้อยรีบลุกขึ้นจากเตียงพลางถามอย่างเป็นห่วง “มีอะไรหรือพี่เฟย?”
“ข้าปวดหัว…..” ชิงหลานเฟยกัดฟันแน่นเอ่ยเน้นทุกคำ
“ท่านจำอะไรได้บ้างหรือไม่?” อาเยว่ถามอย่างระมัดระวัง
“ข้า… คิดว่าข้าฝันถึงคนคนหนึ่งที่ข้ารู้สึกคุ้นเคยมาก แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร” ชิงหลานเฟยพึมพำเสียงเบา
อาเยว่จึงเผยรอยยิ้ม “ฝันเห็นคนคุ้นเคยนับเป็นสัญญาณที่ดีนะพี่เฟย ข้าคิดว่าอีกไม่นานท่านคงจะค่อย ๆ ฟื้นความทรงจำได้แล้ว”
ชิงหลานเฟยมองเด็กน้อยด้วยสายตาสับสน “จริงหรือ?”
“แน่นอน! ข้าไม่โกหกท่านหรอก” อาเยว่กล่าวพลางหัวเราะ
อาการปวดหัวของชิงหลานเฟยบรรเทาลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิงตัวน้อย นางก็รู้สึกสบายใจขึ้น “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
อาเยว่เห็นนางหน้านิ่วคิ้วขมวดแต่ยังคงงดงามนัก อดจ้องนางด้วยความหลงใหลไปชั่วขณะไม่ได้ ถึงตอนที่นางโตเร็ว ๆ เมื่อไหร่ ถ้างามได้อย่างพี่เฟยก็คงจะดี
ตอนที่กำลังเพ้อฝันอยู่นั่นเอง ก็พลันจำสิ่งที่ท่านปู่เอ่ยกับตนในวันนั้นได้ นางเอ่ยเสียงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย “พี่เฟย ท่านต้องอยู่ในกระโจมต่ออีกสักหลายวัน อย่าออกไปเดินเตร่ข้างนอกเล่า!”
ชนเผ่าหมานนั้นเกลียดชังคนที่ไม่ได้มาจากเผ่าตนเอง ดังนั้นอาเยว่จึงซ่อนชิงหลานเฟยไว้ภายในกระโจมอยู่ตลอด แต่เพราะกระโจมแต่ละแห่งอยู่ห่างกันไม่น้อย ชิงหลานเฟยจึงเคยได้ออกไปนอกกระโจมบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยมีใครพบนาง แต่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า นางจะออกไปข้างนอกไม่ได้
นางสัมผัสได้ถึงแววเคร่งขรึมในน้ำเสียงอีกฝ่าย พลันถามขึ้นด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
อาเยว่กัดริมฝีปากตนเล็กน้อย ดูลังเลไม่กล้าเอ่ยคำ
“ไม่สะดวกจะบอกหรือ? เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม ข้าจะอยู่ด้านในก็แล้วกัน” ชิงหลานเฟยกล่าวอย่างเข้าใจ
“ไม่ใช่ว่าข้าบอกท่านไม่ได้นะ ข้าได้ยินจากท่านปู่ว่าหัวหน้าเผ่าเหมือนจะถูกผีสิง อารมณ์เปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนโหดเหี้ยมทารุณ ข้ากลัวว่าหากท่านพบเขาเข้า เขาจะสังหารท่าน” อาเยว่เอ่ย ในใจนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ถูกสิงหรือ?”
“ใช่แล้ว! พรุ่งนี้ข้าคิดจะไปดูหัวหน้าเผ่าว่าเขาถูกจิตมารเข้าแทรกระหว่างบำเพ็ญเพียรหรือไม่ หัวหน้าเผ่าจริง ๆ แล้วเป็นคนใจดีมาก ไม่ค่อยอารมณ์ร้อน แต่กลับกลายเป็นเช่นนั้นได้… ”
“ได้ยินจากท่านปู่ว่าหัวหน้าเผ่า… สองสามวันมานี้สังหารคนไปมากมาย”
“เวลาพูดเขายังไม่ค่อยแม้แต่จะขึ้นเสียง แล้วทำไมกลายเป็นคนกระหายเลือดเช่นนี้ได้?”
ชิงหลานเฟยมองเด็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “แล้วเจ้าไม่กลัวหรือ?
อาเยว่แลบลิ้นดูซุกซน “ข้าเป็นแพทย์น้อยฝีมือดีที่สุดในชนเผ่าหมาน ข้าไม่กลัวหรอก!”
“อืม อาเยว่มีฝีมือมากจริง ๆ” ชิงหลานเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำชม ดวงหน้าเล็กของเด็กน้อยก็ขึ้นสีแดง เกาศีรษะตนเขิน ๆ
————————-
“อาจารย์ ช่วงนี้ข้าไม่อาจเรียกพลังจากจุดตันเถียนมาได้เลย ทำให้ไม่อาจรวมพลังยามบำเพ็ญเพียรได้ ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงที่ใด ท่านช่วยชี้แนะให้ข้าได้หรือไม่?”
สาวน้อยหน้าตาน่ารักเอ่ยถามร่างสูงมีกล้ามเนื้อเบื้องหน้า นัยน์ตาเจือแววขวยเขิน ใบหน้าอีกฝ่ายมีเสน่ห์ชั่วร้ายนัก อีกทั้งกายยังแผ่กลิ่นอายเกียจคร้านออกมา
เขานอนเอนหลังพิงต้นไม้ ดวงตาสีดำน่ามองหรี่ลงน้อย ๆ จ้องมองแสงอ่อน ๆ ที่อยู่เหนือศีรษะ ภายในดวงตากระจ่างราวกับมีประกายระยับของดวงดาว สั่นสะท้านใจคน เห็นแล้วเป็นต้องอยากเข้าใกล้
ไม่ห่างออกไปนัก คนกลุ่มหนึ่งกำลังซ่อนตัวแอบมองภาพฉากนั้นอยู่
“อาจารย์คนใหม่ของเราเข้ามาแต่ละคน หล่อเหลามากขึ้นเรื่อย ๆ เลย! ดูสิ กระทั่งเจ้าตัวร้ายแห่งภาควิชาพิเศษที่ไม่ค่อยปักใจกับอะไรยังถูกพวกเขาทำเอาปั่นป่วน!”
“ใช่แล้ว! แต่ไม่ใช่ว่าสาวงามประจำสำนัก ก่อนหน้านี้มาที่นี่บ่อยครั้งเพราะอยากทำความรู้จักกับชิงเยี่ยหลีหรอกหรือ? แล้วดูตอนนี้สิ ข้าว่าโหลวไป่เชียนผู้นี้เทียบเป็นคนละชั้น ดูเหมือนปีศาจลวงเสน่ห์ที่ไล่ยั่วยวนใจคนไปทั่วอย่างไรก็อย่างนั้นเลย ได้ยินว่าผู้อาวุโสจากสภาผู้อาวุโสมาส่งอาหารให้เขาด้วยนะ ข้าว่าเจตนาชัดเจนมาก!”
“แต่ข้าว่าเขามาที่สำนักละอองหมอกเพื่อมายั่วยวนศิษย์สาว ๆ มากกว่า”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นได้หรือไม่? อาจารย์โหลวมีความสามารถจริง ก่อนหน้านี้เขายังช่วยให้ข้าทะลวงด่านได้เลยนะ! เขาโชคดีมีใบหน้าหล่อเหลา เจ้าจะไปโทษอะไรได้เล่า?”
“นางพูดถูกนะ แม้อาจารย์ทั้งสองท่านของเราจะประหลาดพิลึก แต่ก็มีความสามารถสูงส่งนัก! คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ผู้มีพลังสูงส่ง อีกคนเป็นอาจารย์ระดับเจ็ดดาวในตำนาน ข้าว่าภาควิชาพิเศษได้ประโยชน์ก้อนใหญ่ก็คราวนี้ล่ะ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ? พวกเจ้าอย่าทำเป็นองุ่นเปรี้ยวคอยอิจฉาที่พวกเขาเป็นที่ชื่นชอบในหมู่สตรีเลย”
ผู้พูดคือเด็กน้อยหน้าตุ๊กตาที่เชี่ยวชาญด้านพิษ นางสังเกตมาระยะหนึ่ง ตอนนี้เชื่ออาจารย์ทั้งสองท่านอย่างสนิทใจ นางทำอะไรไม่ได้ ก็ใบหน้าพวกเขาหล่อเหลาน่ามองมากจริง ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้นก็ส่งเสียงเยาะเย้ยทันที “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่านะว่าเจ้าเลือกข้างเพราะความหล่อเหลาของพวกเขา เจ้านี่ตกหลุมรักง่ายเสียจริง ไม่รู้ว่าใครกันที่คอยบอกแต่ว่าจะซื่อสัตย์แต่กับพี่ใหญ่ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป้าหมายไปรวดเร็วนัก ช่างเป็นคนโง่เขลามากเสียจริง”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ไหนลองพูดอีกทีสิ!” ดวงตาของเด็กสาวเบิกกว้างแทบจะระเบิดด้วยความโกรธ นางถกแขนเสื้อขึ้นยืนเท้าเอว “บุรุษก็ไม่ใช่ สตรีก็ไม่เชิงอย่างเจ้าอยากมีเรื่องงั้นหรือ?”
“ก็มาสิ คิดว่าข้ากลัวหรือ?” เขาเกลียดคนที่ว่าเรื่องหน้าตาเขาเป็นที่สุด แล้วยัยเด็กนี่เพิ่งจะเรียกเขาว่าบุรุษก็ไม่ใช่ สตรีก็ไม่เชิง! แม้จะคนเป็นญาติกัน แต่ยามเขาโกรธก็ไม่ไว้หน้าใคร ถึงนางจะเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย ๆ แต่เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่นิด!
ทั้งสองเป็นคู่หูคู่ระเบิดอารมณ์แห่งภาควิชา หากต่อสู้กันจริง ๆ ด้วยความสามารถในการทำลายล้างของทั้งคู่แล้วก็คงจะทำลายทั้งภาควิชาพิเศษลงก็เป็นได้
ทุกคนรีบก้าวไปห้ามปรามพวกเขาทันที “พวกเจ้าใจเย็นลงก่อน ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้เล่า?”
“ถูกต้อง! พวกเจ้านี่ พวกเราก็เป็นศิษย์ด้วยกันทั้งสิ้น สู้กันไปมีแต่จะทำลายความสามัคคีในภาควิชานะ!”
“พวกเจ้าถอยไปเสียจะดีกว่า ข้าจะอัดเจ้าคนหน้าเหมือนสตรีผู้นี้ให้เละจนบิดามารดาจำหน้าไม่ได้เลยคอยดู!” เด็กน้อยหน้าตุ๊กตายังคงโกรธจัด กระแทกหนึ่งฝ่ามือออกไป ส่งผลให้คนที่เข้ามาห้ามกระเด็นออกไปทันที
โชคดีที่พวกเขาหลบได้ทันการณ์ ไม่เช่นนั้นคงได้กระอักเลือดแล้ว
จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ “มันจบแล้ว….. หมดสิ้นแล้ว…”
กลิ่นอายของนางเปลี่ยนเป็นเด็ดขาด นิ้วมือเรียวงามงองุ้มเป็นกรงเล็บ ที่ปลายนิ้วมีลูกกลมสีน้ำตาลอ่อนพุ่งออกมา ภายในเห็นแมลงมีพิษหลากชนิด และเมื่อลูกกลมถูกปล่อยออกมา แมลงด้านในก็พุ่งออกมาทันที ก่อนจะกระโจนไปพร้อมกลิ่นอายชั่วร้าย
ส่วนชายหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้นเผยยิ้มเยาะ จากนั้นรอยยิ้มก็พลันจางหายไปจากใบหน้าชั่วร้าย พริบตานั้นผิวเนียนของเขาก็เกิดแสงเรืองสีทองขึ้นมา ตอนที่แมลงพิษถูกผิวเขาก็จะได้ยินเสียงดังฉ่า ก่อนที่พวกมันจะร่วงลงพื้น
“ลูกไม้กระจอก คิดหรือว่าแมลงตัวจ้อยจะใช้กับข้าได้?”
เด็กสาวหัวเราะออกมาดัง ๆ ด้วยความดูถูก “งั้นหรือ? ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะอยู่ยงคงกระพันไร้จุดอ่อนหรอก”
ว่าแล้วนัยน์ตานางพลันเปล่งประกายเฉียบคม จากนั้นประทับฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกันเป็นทรงกลม ปากก็ร่ายคำไปด้วย ทุกคนเห็นนางใช้ท่านั้นก็เปลี่ยนสีหน้า รีบถอยห่างไปไกล กลัวว่าจะถูกลูกหลงไปด้วย
มีเพียงซิงถงที่ยืนงงถูกทิ้งไว้คนเดียว พอเขารู้ตัวก็สายไปแล้ว แมลงพิษนับพันนับหมื่นตัวค่อย ๆ ขยายร่างขึ้นต่อหน้าต่อตา มันล้อมกายชายหน้าสตรีเอาไว้ ปิดหนทางหนี
ชายหนุ่มท่าทางอ้อนแอ้นมีร่างกายที่ดาบหรือหอกไม่อาจแทงเข้าได้ อีกทั้งยังทนทานต่อไฟและพิษ แต่ซิงถงยังเด็กนัก แม้จะมีอสูรวิญญาณผูกสัญญาไว้ในร่าง แต่กับแมลงพิษมากมายเช่นนั้นเขาไม่มีทางรับมือไหว ได้แต่ยืนจ้องภาพมันตาค้าง