บทที่ 168 โหลวจวินเหยา… เป็นคนวิตถาร?
ในดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นมีระลอกคลื่นเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้าง เป็นมนต์เสน่ห์ที่ลวงเอาวิญญาณคนจนไม่อาจละสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นได้
ชิงอวี่มองตรงไปในดวงตาคู่นั้นของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบคางแล้วเอ่ยขึ้นช้า ๆ“ว่ากันว่าจิตใจของคนที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี ยิ่งนานวันจะยิ่งบิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของโหลวจวินเหยาพลันแข็งค้าง แม่นางน้อยเอ่ยอ้อม ๆ ว่าเขาเป็นชายแก่งั้นหรือ?
แล้วนางไปได้ยินคำกล่าวไร้สาระเช่นนั้นมาจากโลกไหนกัน?
ที่ด้านนอกยังคงได้ยินเสียงเยี่ยนหนิงลั่วดังขึ้น
“ท่านรู้หรือไม่? ตั้งแต่จำความได้ข้าก็ฝันแบบเดิมมาตลอด” เยี่ยนหนิงลั่วกำมือแน่น นัยน์ตาลดลงต่ำ แม้นางจะรู้ว่าเขาหมดความอดทนกับนาง แต่นางก็ยังรู้สึกอยากบอกมันกับเขา
หากเป็นในอดีต นางก็คงไม่คิดทำสิ่งที่จะทำให้เขาเกลียดชังนาง
เพราะนางเชื่อมั่นว่าไม่มีสตรีใดที่เหมาะกับชิงเยี่ยหลีไปมากกว่านางอีกแล้ว
แต่เมื่อได้รับรู้ถึงตัวตนของเยี่ยนชิงอวี่ รู้ว่านางมีอดีตที่ไม่มีใครรู้ร่วมกันกับชิงเยี่ยหลี นั่นทำให้นางรู้สึกลนลานอยู่เล็กน้อย
“ข้ามักฝันเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่ง แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นใบหน้าของเขาเลยสักครั้ง แต่วันหนึ่ง ในที่สุดข้าก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร หลังจากคืนนั้น ข้าก็ได้พบกับท่านที่บาดเจ็บอยู่บนภูเขา”
“ท่านจำได้หรือไม่? นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน” ดวงตาของเยี่ยนหนิงลั่วนั้นซื่อตรงขณะมองใบหน้าเย็นชาของชายหนุ่มตรงหน้า
“จำได้แล้วอย่างไร” ชิงเยี่ยหลีกล่าวอย่างไม่แยแส
เยี่ยนหนิงลั่วริมฝีปากแข็งค้างไปเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากตนเอง น้ำเสียงเอ่ยขึ้นเพียงแผ่วเบา “ตั้งแต่เด็ก ข้าคิดมาโดยตลอดว่าท่านเป็นคนที่ชะตาลิขิตไว้ เพราะฉะนั้นแม้จะเสี่ยงทำให้องค์ฮ่องเต้กริ้ว แต่ข้าก็ยังพยายามยกเลิกการหมั้นหมายไป…”
“ข้า… จะเป็นของท่านคนเดียวเท่านั้น”
“โอ้ รักมั่นคงไม่น้อย!” โหลวจวินเหยาได้ยินบทสนทนาด้านนอกแล้วก็ขบขันเป็นยิ่งนัก มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “ได้ยินเช่นนี้แล้วเจ้าไม่โกรธบ้างหรือ?”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “ทำไมข้าต้องโกรธเล่า?”
“หากชิงเยี่ยหลีไปอยู่กับนางเข้าจริง ๆ ต่อไปอาจไม่ใส่ใจเจ้าอีก ไม่คอยปกป้องเป็นห่วงเจ้าอีกก็ได้ เจ้าไม่หึงหวงบ้างหรือ?” โหลวจวินเหยาถาม
ชิงอวี่หัวเราะออกมา “เสี่ยวเยี่ยมีอิสระในการเลือกทางเดินเอง หากเขาชอบเยี่ยนหนิงลั่วจริง ๆ ก็ไม่มีใครมาหยุดเขาได้หากไม่ใช่ตัวเขาเองที่รู้สึกเสียใจทีหลัง”
“เจ้าไม่ใส่ใจจริงหรือ?” โหลวจวินเหยามองตานางพลางถามต่อ
“ทุกคนตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตตนเอง ไม่จำเป็นต้องสงเคราะห์คนอื่น ๆ หรือต้องบังคับใจตนให้ต้องทำในสิ่งที่ไม่คิดอยาก ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ?” ชิงอวี่ยิ้มง่าย ๆ เป็นการตอบกลับ
โหลวจวินเหยานัยน์ตาเป็นประกายแวววาว ไม่เอ่ยอะไรอีก
เป็นตอนนั้นเองที่ชิงเยี่ยหลีพลันเอ่ยคำ น้ำเสียงเขาไร้ซึ่งอารมณ์ “นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”
เยี่ยนหนิงลั่วส่งเสียงราวกับสะอึกอยู่เล็กน้อย “ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ? ถึงท่านจะไม่อาจตอบความรู้สึกข้าได้ แต่จำเป็นต้องปฏิเสธ ทำตัวเหินห่างกันเช่นนี้เลยหรือ? หรือเป็นเพราะ… ท่านมีใครอยู่ในใจแล้ว?”
ได้ยินชิงเยี่ยหลีปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใย กระทั่งชิงอวี่ยังชะงักไป เดิมทีนางคิดว่าแม้เสี่ยวเยี่ยจะไม่ได้ชอบพอกับเยี่ยนหนิงลั่ว แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เกลียด
เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด แสดงความรู้สึกไม่เก่ง ใช้การกระทำแสดงออกแทนความรู้สึกอยู่เสมอ อย่างน้อย มีนางเป็นข้อยกเว้นไปคนหนึ่ง เยี่ยนหนิงลั่วก็เป็นเพียงสตรีนางเดียวที่ดูสนิทสนมกับเขากว่าคนอื่น ๆ อยู่เล็กน้อย เป็นคนที่เขาไม่ได้ปฏิเสธไปในทันที
แต่ตรงหน้านางตอนนี้ นางกลับได้ยินเขาปฏิเสธนางอย่างตรงไปตรงมา
หรือเขาจะตกหลุมรักคนอื่นไปแล้วจริง ๆ?
และเมื่อชิงเยี่ยหลีเอ่ยคำขึ้นอีกครั้ง มันก็ยิ่งเยียบเย็นและหนาวเหน็บลึกถึงกระดูก “ข้าจะไม่ได้ชอบคนอื่น”
“แล้วชิงอวี่เล่า? ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าไม่ชอบนางเช่นกัน?” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยขึ้น แทบไม่อาจคงความสงบเยือกเย็นไว้ได้ นางจ้องตรงไปยังเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ท่านไม่ชอบให้คนอื่น ๆ เข้าใกล้มากเกินไป แต่กลับปล่อยให้ชิงอวี่แตะต้องได้ ท่านเย็นชาและไร้หัวใจกับคนอื่น แต่ใจออ่อนและอ่อนโยนกับนางเท่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะท่านชอบนางใช่หรือไม่?”
คำพูดของนางคล้ายกับเป็นการถามซอกแซก ส่งผลให้กลิ่นอายของชิงเยี่ยหลีพลันหนักหน่วง ราวกับความลับที่เก็บซ่อนไว้ในใจที่ไม่อยากให้ใครรู้ถูกทิ่มแทง
ในตอนนั้น สายตาที่ชิงเยี่ยหลีใช้มองนางนั้นราวกับนางเป็นคนไร้ชีวิต เต็มไปด้วยไอสังหารเย็นยะเยือก เป็นดั่งคมมีดเชือดเฉือนหัวใจเยี่ยนหนิงลั่ว
เยี่ยนหนิงลั่วพลันหัวเราะแผ่วเบา นัยน์ตาขุ่นมัวราวกับกำลังจะมีบางอย่างเอ่อล้นออกมา แต่นางก็ฝืนกลั้นมันไว้ ไม่อยากให้ตนเองมีสภาพไม่น่ามองต่อหน้าเขา
“ชิงเยี่ยหลี ท่านนี่มันน่าสมเพช” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยพลางหัวเราะดูถูก
นัยน์ตาสีเขียวเข้มของเขาพลันล้ำลึกขึ้น “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เยี่ยนหนิงลั่วจ้องเขานิ่ง เอ่ยเน้นย้ำคำทุกคำ “เพราะนางไม่ได้รักท่าน ท่านจึงไม่กล้าบอกให้นางรับรู้ กลัวว่านางจะถอยห่างจากท่านไปตลอดกาล ท่านไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่ารักนางงั้นหรือ?”
ชิงเยี่ยหลีมองใบหน้านางด้วยใบหน้าเรียบเฉย ครู่หนึ่งจึงยกริมฝีปากขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเย็นชารอยยิ้มหนึ่ง
เยี่ยนหนิงลั่วตกตะลึงไป
ข้อเสียเพียงประการเดียวของใบหน้าชิงเยี่ยหลีนั้นคือการที่เขาไม่ค่อยเปลี่ยนสีหน้ามากนัก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงรอยยิ้มเลย
แต่รอยยิ้มบนหน้าเขาในตอนนี้กลับเจือความเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าดวงจันทร์ในฤดูหนาว
นัยน์ตาเขาจ้องตรงมายังนาง หากแต่ภายในมันว่างเปล่าไร้จุดรวมสายตา ราวกับว่ามองไม่เห็นตัวตนใด ดูเศร้า ดูอ้างว้าง ดูไร้ชีวิต
เยี่ยนหนิงลั่วพลันรู้สึกลนลานจนทำอะไรไม่ถูก “ชิงเยี่ยหลี ข้า… ”
“เจ้าจะรู้อะไร?” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยขึ้น “จากนี้ไป อย่ามาให้ข้าเห็นอีก”
ร่างสูงเพรียวหันหลังกลับแล้วค่อย ๆ เดินจากไปทันที ไม่กี่ชั่วลมหายใจเขาก็หายไปไม่ทิ้งร่องรอยใด
เยี่ยนหนิงลั่วใบหน้าซีดลง เปล่งเสียงเรียกอีกฝ่าย “ชิงเยี่ยหลี–”
น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบกลับคำนาง นางกัดริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินจากไปอีกทาง
จากนั้นครู่หนึ่ง ประตูก็ค่อย ๆ เปิดออกมา ชิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าซับซ้อน นางยืนอยู่ตรงประตูที่เปิดออกบานนั้น
“อะไร เจ้าจะไล่ตามไปหรือ?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน เอนหลังพิงกำแพงอยู่ที่ด้านหลัง
ชิงอวี่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวน้อย ๆ “ไม่ดีกว่า ตอนนี้เสี่ยวเยี่ยคงอารมณ์ไม่ดี… เพราะจริง ๆ แล้วเขาอาจไม่ได้รักข้า แต่เยี่ยนหนิงลั่วดันเข้าใจผิดไปเอง”
โหลวจวินเหยาได้ยินคำนางก็เกือบหัวเราะลั่น “เขาไม่ได้ชอบเจ้าและโกรธเพราะอีกฝ่ายเข้าใจผิดงั้นหรือ?”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว มองไปที่ชายหนุ่มด้วยความมึนงงเล็กน้อย “ไม่ใช่หรือ?”
จู่ ๆ โหลวจวินเหยาก็ยื่นมือมาขยี้ผมนาง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “จิ้งจอกน้อยเอ๋ย เจ้านี่เป็นสมบัติล้ำค่าเสียจริง”
แม่นางน้อยเฉลียวฉลาดมีไหวพริบแต่กลับไร้เดียงสาเช่นนี้ เห็นกันชัด ๆ ว่าชิงเยี่ยหลีหลงนางจนเอาแต่คิดถึงนางอยู่ตลอดเวลา นางกล้าเอ่ยคำน่ารักไร้เดียงสาเช่นนั้นออกมาได้อย่างไรกัน?
ถูกขยี้หัวอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้ นางจึงตวัดสายตามองโหลวจวินเหยาแล้วเอ่ยขึ้น “แค่ใช้ปากพูดก็พอ ทำไมต้องแตะเนื้อต้องตัวข้าด้วย? ข้าไม่ใช่ลูกสุนัขนะ!”
ใครบางคนคงลืมไปเสียแล้วว่าตนเองก็ชอบขยี้หัวน้องชายเช่นกัน
โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงดัง “อืม ๆ เจ้าไม่ใช่ลูกสุนัข จะมีลูกสุนัขที่ไหนน่ารักได้เท่าเจ้ากัน?”
“โหลวจวินเหยา ท่านอยากโดนอัดหรือ?” ชิงอวี่ใบหน้าดำคล้ำเสียยิ่งกว่าก้นหม้อ หากไม่ใช่เพราะเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือนาง นางก็คงซัดปากเสีย ๆ ของเขาจนพิการไปแล้ว
“ข้าหยอกเล่น เจ้าอย่าโกรธไปเลย”
โหลวจวินเหยารู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด ไม่ล้ำเส้นจนเกินไป เห็นเด็กสาวยังขมวดคิ้วแน่น เขาก็ก้มหน้าลงอย่างจนใจ ก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ น้ำเสียงคล้ายว่าพยายามเอาใจนาง “ข้าให้ขยี้หัวกลับดีหรือไม่?”
ชิงอวี่ชะงักไป เมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขายื่นมาใกล้เช่นนี้ ไม่รู้ทำไม แต่ภาพน่าอายเมื่อครั้งก่อนพลันปรากฏขึ้นในหัว สองแก้มพลันรู้สึกร้อนฉ่า ก่อนยื่นมือผลักหน้าเขาออกไปแล้วเอ่ยเสียงโกรธ “ทำเป็นเด็กไปได้”
สัมผัสที่มือน้อยของนางแตะแก้มเขานั้นกลับรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อนางคิดจะเก็บมือกลับไป เขาก็รีบคว้ามือนางไว้
ท่านคิดจะทำอะไร?” ชิงอวี่จ้องเขาพลางเอ่ยถาม
ชายหนุ่มทำเพียงยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มชั่วร้าย นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายระยับจ้องกลับมายังนาง มือใหญ่ของเขาค่อย ๆ เพิ่มแรงจับแขนนางมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะดึงมือนางมาแตะที่แก้มเขาอีกครั้ง
ปกติแล้วมือของนางจะเย็นยะเยือกอยู่ตลอด แต่เมื่อสัมผัสแก้มชายหนุ่มแล้ว มันกลับเริ่มอุ่นขึ้นมา มือของชายหนุ่มเองก็อุ่นร้อนขึ้นเช่นกัน แขนนางที่ถูกจับกุมไว้เริ่มอุ่นตาม ในใจพลันรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา
“ท่าน…..” นางที่มักจะมีสีหน้าตรงไปตรงมาและใจดีอยู่ตลอด แปรเปลี่ยนไปราวกับลูกกวางน้อยขี้ตกใจ นัยน์ตาหงส์ของนางเบิกกว้าง ดูตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ใบหน้างามพลันแต่งแต้มด้วยสีชมพูจาง
“โหลวจวินเหยา นี่ท่านกำลังทำอะไร?”
ชิงอวี่พยายามดึงมือตนกลับมา แต่แม้จะใช้แรงมากขนาดไหน อีกฝ่ายกลับไม่แม้แต่จะขยับ แขนของนางถูกอีกฝ่ายกอบกุมไว้แน่นนัก มันถูกจับกุมไว้อย่างแน่นหนา และแม้นางจะไม่อาจสลัดมันหลุดได้ แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
ใบหน้าชิงอวี่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง “ท่านถูกผีสิงหรือไร? ทำไมวันนี้จึงทำตัวแปลก ๆ”
เจ้าคนอันธพาลผู้นี้คิดอะไรจึงจับแขนนางไว้ไม่ยอมปล่อยเช่นนี้?
ความสัมพันธ์ของพวกนางสนิทสนมกันจนถึงกับถึงเนื้อถึงตัวกันเช่นนี้ได้แล้วหรือ?
ดูท่าถูกอสูรวิญญาณลอบโจมตีไปครั้งนี้ คงทำให้เขาสติไม่สมประกอบไปเสียแล้ว
โหลวจวินเหยาได้ยินเช่นนั้นก็บีบนิ้วนางแน่นแล้วพึมพำเสียงเบา “ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่าตนเองถูกสิงหรือไม่ เหตุใดยามได้เห็นหน้าจิ้งจอกน้อยเช่นเจ้าแล้วถึงได้มีความสุขมากขนาดนี้?”
ชิงอวี่พลันรู้สึกหนาวสะท้าน รีบยกแขนอีกข้างขึ้นจับข้อมือเขาด้วยท่าทางสั่นกลัว แต่เมื่อครู่นางเพิ่งทำการรักษาให้เขาไป ชีพจรเขาจึงมั่นคงมาก เป็นปกติอย่างถึงที่สุด ไม่มีวี่แววการถูกครอบงำแต่อย่างใด
“ท่านปล่อยมือข้าก่อน ข้าจะได้ตรวจอาการให้ท่านดี ๆ ได้” ชิงอวี่พยายามต่อรอง
โหลวจวินเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตนเองก็มีท่าทีแปลกไปจริง ๆ ดังนั้นจึงปล่อยข้อมือน้อยไปในที่สุด แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือพริบตาต่อมา เด็กสาวตรงหน้ากลับใช้วิชาเคลื่อนกาย หายไปต่อหน้าต่อตาเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว นางหนีไปจริง ๆ หรือ?
เขาล้อกันเล่นเป็นแน่ เขาไม่รู้เลยหรือว่าในสายตาชิงอวี่ตอนนี้ ตัวเขานั้นได้กลายเป็นคนวิตถารที่มีความชอบวิปริตมากขนาดไหน? หากนางไม่หนี แล้วจะให้หนีตอนไหนกันเล่า?
————————————–
“โหลวไป่เชียน…”
เฟิ่งเทียนเหิงพึมพำชื่อนั้นขึ้นเบา ๆ กับตนเอง แต่กลับไม่รู้สึกอะไร “คนผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน?”
เหวินเหรินเชียนส่ายหัวก่อนตอบ “คนผู้นี้ลึกลับนัก ไม่รู้ว่าเป็นคนที่เหลืออยู่จากขุมอำนาจเก่าของเจ้าสำนักคนก่อนหรือไม่ พลังบำเพ็ญเขาสูงส่งนัก ลึกล้ำจนข้าไม่อาจสอดรู้สอดเห็นได้”
เฟิ่งเทียนเหิงหรี่ตาลง “เขามีเจตนาอะไรจึงมาที่สำนักเราได้? หรือจะมาเป็นอาจารย์เพื่อมาหาเลี้ยงชีพเท่านั้น?”
“เขาเป็นอาจารย์ระดับเจ็ดดาว ทั่วทั้งแดนมีเพียงไม่กี่คนที่จะเทียบชั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการยอมรับให้เป็นอาจารย์ภาควิชาพิเศษในทันทีอีกด้วย”
“ภาควิชาพิเศษอีกแล้ว” เฟิ่งเทียนเหิงหัวร่อ ช่วงนี้ภาควิชาพิเศษมีเรื่องเกิดขึ้นมากจริง ๆ มีคนเข้ามาคนแล้วคนเล่า