บทที่ 167 หน้านิ่งชิงจูบ

ทำให้คนเริ่มคิดว่าฐานะยอดอัจฉริยะแห่งสำนักเซียนแพทย์ของไป๋จือเยี่ยนมันจืดจางเสียขนาดไหนกัน?

ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ศิษย์ส่วนมากจึงไม่อยู่ ณ ที่ตรงนั้น ชิงอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ทำไมท่านไม่ไปยังห้องเรียนภาควิชาพิเศษกับข้าเล่า? ที่นั่นมียา ข้าดูอาการบาดเจ็บให้ท่านได้”

“ได้”

สุดท้ายที่ภาควิชาพิเศษก็ไร้เงาคน ทุกคนคงจะพากันไปยังห้องอาหารกันหมดแล้ว ที่นั่นไร้วี่แววของชิงเยี่ยหลี ไม่รู้ว่าจากไปพร้อมกับเยี่ยนหนิงลั่วหรือไม่

แม้ชิงอวี่จะไม่ได้ประทับใจนางนัก แต่นางก็รักเสี่ยวเยี่ยอย่างจริงใจ ที่อีกฝ่ายเป็นปฏิปักษ์กับนางอาจเพราะนางสนิทสนมกับเสี่ยวเยี่ยก็เป็นได้

หากว่าทั้งสองใจตรงกัน นางเองก็จะไม่เข้าไปยุ่ง แม้นางจะสนิทสนมกับเสี่ยวเยี่ย แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา

ในห้องเรียนของภาควิชาพิเศษ ด้วยเพราะมีศิษย์เพียงสิบสองคน ดังนั้นจึงมีโต๊ะเพียง สิบสองตัวเท่านั้น ที่ด้านหลังมีตู้เก็บของวางเรียงรายกันอยู่ให้เหล่าศิษย์เอาไว้ใช้เก็บข้าวของส่วนตัว เนื่องจากห้องเรียนอยู่ไกลจากที่พัก ดังนั้นทิ้งของไว้ในนี้จึงสะดวกกว่ามาก

“นั่งเถอะ ข้าจะไปเอายามาให้” ชิงอวี่กล่าวขณะเดินไปยังตู้ด้านหลัง

โหลวจวินเหยากวาดสายตามองไปรอบ ๆ “โต๊ะตัวไหนเป็นของเจ้าหรือ?”

“ตัวแรก ทางซ้ายสุด” ชิงอวี่ตอบ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น โหลวจวินเหยาก็เดินไปนั่งตรงที่นั่งนาง

เมื่อเหลือบมองไปที่โต๊ะอื่น ๆ อีกหลายตัวที่อยู่โดยรอบก็เห็นของกระจุกกระจิกวางอยู่บนนั้นกับพวกของที่สตรีมักใช้เสริมความงามให้ตนเอง

โต๊ะชิงอวี่นั้นเรียบง่ายกว่ามาก มีเพียงหนังสือวิชาแพทย์และขวดกระเบื้องเล็ก ๆ สองขวดเท่านั้น นอกจากนี้เขายังสังเกตเห็นว่ามีกับดักเล็ก ๆ วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งหากไม่มองให้ดีก็คงไม่สังเกตเห็น

โหลวจวินเหยาหัวเราะ “ทำไมวางของแบบนี้ไว้บนโต๊ะเล่า? ไม่กลัวจะถูกตนเองหรือ?”

“ตอนที่ข้าเพิ่งเข้ามาที่นี่ คนอื่น ๆ ชอบหาทางแกล้งข้าเสมอ เอาทั้งแมลง หนู สัตว์เลื้อยคลาน และของอื่น ๆ ใส่เข้ามาเต็มไปหมด แต่ไม่เพียงไม่ทำให้ข้าตกใจ แต่ตัวเองกลับตกใจเกือบตายแทน และเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องกระทำเรื่องโง่เขลาอีก ข้าจึงไร้ทางเลือก ต้องทำเช่นนี้” ชิงอวี่อธิบายด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

โหลวจวินเหยาอดยิ้มชื่นชมไม่ได้ “เจ้านี่เป็นจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์จริง ๆ ไม่เคยยอมให้ตนเองต้องเสียเปรียบ ใครที่คิดร้ายกับเจ้านี่นับว่าประสบโชคร้ายอย่างแท้จริง”

ชิงอวี่เดินอุ้มขวดเจ็ดแปดขวดเข้ามาพลางเอ่ย “ดีแล้วที่ท่านรู้ถึงจุดนั้น ดังนั้นก็อย่าคิดเลียนแบบเจ้าพวกเด็กเย่อหยิ่งนิสัยเสียจากตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นแล้วคิดฉวยโอกาสกับสตรีเล่า คิดเอาเปรียบข้าไม่ง่ายหรอกนะ”

โหลวจวินเหยาเพียงกะพริบตาใส่นาง ดวงตาสีม่วงงดงามเป็นประกายน่าหลงใหลราวกับดวงดาว

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูไร้เดียงสาเป็นพิเศษ “ข้าเอาเปรียบเจ้าเมื่อไหร่กัน?”

ฮ่า! เสแสร้งเก่ง! ขี้เกียจจะใส่ใจคนผู้นี้จริง ๆ

นางวางขวดยาลงบนโต๊ะ กำลังยื่นมือออกไปก็พลันชะงักค้าง ก่อนจะเก็บมือตนเองกลับ

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้น “เป็นอะไรไป?”

ชิงอวี่เหลือบมองเขาแล้วหลบสายตาไปมองทางอื่น “ท่านบาดเจ็บตรงไหน? ท่านก็ถอดเสื้อคลุมเอาเองแล้วกัน”

“ฮ่า ๆ มาตอนนี้เจ้ากลับเขินงั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาเห็นท่าทีนางก็เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ ก่อนเอ่ยเย้า

ชิงอวี่จ้องเขาโกรธ ๆ “ท่านรีบถอดชุดคลุมออกเถอะ หากคนอื่น ๆ กลับมา ท่านจะเป็นจะตายข้าก็ไม่สนแล้ว”

โหลวจวินเหยาส่ายหน้าท่าทางจนใจ “อำมหิตเหลือเกิน”

แม้ว่าปากจะบ่น แต่มือก็ขยับปลดเข็มขัดตนช้า ๆ ถอดชุดคลุมสีม่วงเข้มตัวนอกออก บนชุดคลุมสีขาวที่เขาสวมอยู่ด้านใน เห็นเป็นรอยเลือดแดงจาง ๆ

เมื่อครู่นางผลักเขาแรงไปหรือไม่?

ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่นพลางมองเขาถอดชุดคลุมออกจนหมด เผยให้เห็นอกแกร่ง เป็นร่างกายที่มีกล้ามเนื้อดูงดงาม ทุกเส้นทุกมุมไร้ที่ติ อีกทั้งยังมีผิวดูนุ่มลื่น เห็นแล้วสตรีคงมีแต่อิจฉาริษยา

แต่บนร่างกายไร้ที่ตินั่นกลับมีรอยกรงเล็บเป็นแผลยาวลึกปรากฏให้เห็น

ชิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น “แผลลึกมาก! ทำไมท่านจึงประมาทเลินเล่อเช่นนี้ได้? หากแผลลึกกว่านี้ อวัยวะภายในคงถูกสะบั้นเป็นชิ้น ๆ แล้ว!”

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ “ข้าก็มีเซียนแพทย์อยู่ไม่ใช่หรือ?”

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะปล่อยให้ตนเองเป็นเช่นนี้ได้! ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ หากท่านไม่คิดรักษาร่างกายตน รนหาที่ตาย ข้าปลิดชีวิตท่านทิ้งเองเสียดีกว่า” ชิงอวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างมาก นางลงมือหนักหน่วงกว่าเดิมราวกับต้องการให้เขาจำเป็นบทเรียน

โหลวจวินเหยาพ่นลมหายใจยาวออกมาราวกับกำลังเจ็บปวดมาก น้ำเสียงยามเอ่ยเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย “หากเจ้ายังลงมืออำมหิตอยู่เช่นนี้ ข้าคงตายด้วยน้ำมือเจ้าก่อนจะมีใครคิดสังหารข้า”

ชิงอวี่หัวเราะเสียงดังก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก จากนั้นนางก็ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่มือที่ทำแผลกลับเบาขึ้นเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทักษะด้านการแพทย์ชั้นยอดของนางหรือไม่ แต่เมื่อตัวยาเย็นเฉียบถูกทาลงบนแผล เขาก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดพลันหายไปกว่าครึ่ง พลังวิญญาณในร่างที่หดหายเริ่มฟื้นคืนอีกครั้ง

โหลวจวินเหยาชะงักไปเล็กน้อย “นี่มันยาอะไรกัน? ผลลัพธ์น่าทึ่งนัก”

ชิงอวี่ตอบขณะพันแผลให้เขา “เป็นยาบรรเทาบาดแผลธรรมดาเท่านั้น ท่านรู้สึกว่าบาดแผลกำลังดีขึ้น พลังวิญญาณของกำลังฟื้นตัวใช่หรือไม่? นั่นเป็นเพราะครั้งที่ข้าดึงเอาหนอนกู๋ออกและถอนคำสาปกลืนอารมณ์ให้ท่าน ข้าทำความสะอาดเส้นพลังในร่างท่านด้วย ต่ออายุให้แก่นพลังในร่างท่านเสียใหม่ ดังนั้นแผลเก่าและโรคเก่าทั้งหลายจึงได้รับการรักษาไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้พิษธรรมดาส่วนมากไม่อาจกล้ำกราย ที่เห็นได้ชัดเลยคือกรงเล็บพิษของอสูรวิญญาณนี่จึงไร้ผลกับท่าน”

“งั้นหรือ” โหลวจวินเหยาพยักหน้าเข้าใจ นัยน์ตาสีม่วงมีรอยยิ้ม “ดูท่าข้าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย เอาแก่นเพลิงเยือกแข็งแค่ต้นหนึ่งแลกกับนักปรุงยาฝีมือฉมังมาได้ตั้งหนึ่งคน ราวกับได้ชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งชีวิตเลยทีเดียว!”

ชิงอวี่สีหน้าไร้อารมณ์พลันเหลือบมองเขา “อย่าคิดว่าท่านจะโชคดีแบบนี้เสมอไป หากยังเอาร่างกายสภาพน่าสมเพชเช่นนี้กลับมาให้ข้าเห็นอีก ข้าจะช่วยส่งท่านไปโลกหน้าก่อนเวลาอันควรให้แทน”

โหลวจวินเหยาหัวเราะ “เจ้าไม่ทำหรอก”

ชิงอวี่หัวเราะหยัน นางรักษาบาดแผลเสร็จแล้ว เห็นว่าแขนเขาติดชุดคลุมอยู่ด้านหลัง สภาพเขาในตอนนี้หากจะขยับกายคงไม่สะดวกเท่าไหร่ นางจึงช่วยเขาดึงชุดคลุมขึ้นมาบนไหล่เขาให้อย่างใจกว้าง

ภาพที่เด็กสาวก้มหน้าลง ช่วยบุรุษรูปงามสวมชุดเช่นนี้เห็นแล้วอบอุ่นในหัวใจนัก

แขนเรียวทั้งสองข้างของนางเอื้อมไปทั้งซ้ายขวา ท่าทางราวกับกำลังโอบกอดเขาอยู่ ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ใกล้มากเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

ทันใดนั้นดวงตาของโหลวจวินเหยาก็ดูลึกล้ำและลึกซึ้งขึ้น เมื่อนางก้มลงช่วยจัดเข็มขัดให้ เขาไม่ทันรู้ตัว แต่แขนทั้งสองข้างกลับยกขึ้นมาอยู่ที่เอวของเด็กสาวอย่างอธิบายไม่ได้ไปแล้ว

ชิงอวี่ชะงักมือไปในพลัน เงยหน้ามองเขาขมวดคิ้วแน่น “คิดจะทำอะไร?”

เขาพลันโอบเอวบางนั่นไว้แล้วบีบเบา ๆ “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าผอมลงอีกแล้วเล่า? อาหารที่นี่แย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ชิงอวี่ตีมือซุกซนของเขาจนหลุดจากเอวนางไป “ที่นี่มีดีที่สุดคือเรื่องของกิน ข้าเองก็มีรูปร่างเช่นนี้มาตลอด ผอมลงเมื่อไหร่กัน?”

“แม่นางเช่นเจ้ามีเนื้อมีหนังสักหน่อยจึงจะดี หากผอมไปจะไม่ดีต่อร่างกาย” โหลวจวินเหยาให้เหตุผล

“ร่างกายข้าแข็งแรงมาตลอด มีด้วยหรือนักปรุงยาขี้โรค? ล้อกันเล่นเป็นแน่” ชิงอวี่โต้กลับ จากนั้นหันไปเก็บขวดยามากมายที่วางเกลื่อนบนโต๊ะ “เสร็จแล้ว ท่านสวมชุดคลุมตัวนอกเองเถอะ”

“ช่วยแล้วไม่ช่วยให้สุดหรือ? อีกทั้งหากไม่ทันระวัง แผลข้าเปิดขึ้นมา คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยทำแผลให้อีกครั้ง”

ชิงอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าเขามีเหตุผล กลางฤดูหนาวเช่นนี้ เขากลับสวมชุดคลุมตัวในบางนัก…

คงไม่เป็นไรกระมัง? เมื่อครู่นางก็ช่วยเขาสวมชุดคลุมตัวในไปแล้ว ช่วยอีกก็คงไม่ต่าง ใครใช้ให้นางติดหนี้บุญคุณเขากันเล่า?

ชิงอวี่จึงเดินไปหยิบเสื้อคลุมเขาด้วยท่าทางยอมรับชะตากรรม เขายกแขนขึ้นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สายตาก็จ้องมองคิ้วที่ขมวดมุ่นของเด็กสาว ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่นางก็ช่วยเขาสวมเสื้อคลุม นัยน์ตาสีม่วงพราวเสน่ห์เจือแววยิ้มจาง ๆ

“จิ้งจอกน้อย” เสียงทุ้มนุ่มลึกของเขาเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“หือ?” ชิงอวี่ตอบรับ เงยหน้ามองเขาไม่ทันรู้ตัว ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มเองก็เพิ่งเงยขึ้นมองนางเช่นกัน ยังไม่ทันรู้ตัว ก็รู้สึกถึงสัมผัสอ่อนนุ่มที่ประทับลงบนหน้าผากเสียแล้ว

ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ชะงักค้างอยู่เช่นนั้น

ชิงอวี่กำลังช่วยเขาสวมชุดคลุม เมื่อชะงักเสื้อคลุมจึงไหลหลุดลงจากไหล่เขาไป

ริมฝีปากของโหลวจวินเหยายังคงประทับอยู่บนหน้าผากเนียน ชั่วอึดใจหนึ่งเขาจึงได้สติ เขาไม่คิดว่าจู่ ๆ แม่นางน้อยจะเงยหน้าขึ้นจนเกิดเรื่องเช่นนี้ได้

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ แม้นางจะใช้มาแล้วถึงสองชีวิต ชิงอวี่กลับทำได้เพียงกะพริบตาค้าง ก่อนจะถอยห่างจากเขาไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นปิดหน้าปากตนเองด้วยใบหน้าออกจะมึนงงอยู่เล็กน้อย “เมื่อครู่… .. ท่านทำอะไร?”

โหลวจวินเหยามีสีหน้าไร้เดียงสานัก “เป็นเจ้าที่จู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา”

“เช่นนั้นก็ความผิดข้าหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว

โหลวจวินเหยาจึงเอ่ยขึ้นอย่างชอบธรรม “ข้าเพียงอยากถามว่าเจ้าเรียนวิชาแพทย์มาจากใคร ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ เจ้าจะเอาตนเองมาชนข้าได้? ข้าไม่ทันคิดหรอก”

“ก็ได้” เด็กสาวไร้เดียงสาเชื่อคำพูดเหล่านั้น ไม่ถามให้มากความอีก นางรีบช่วยเขาสวมชุดคลุม ไม่ทันได้เห็นแววชั่วร้ายในนัยน์ตาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

โหลวจวินเหยามองนางเก็บของลงในตู้เก็บของแล้วพลันเปิดปากถาม “ช่วงนี้เฟิ่งเทียนเหิงมารบกวนเจ้าหรือไม่?”

ชิงอวี่ลงกลอนตู้เก็บของแล้วก็หันมาตอบ “พวกข้าอยู่ภาควิชาเดียวอย่าง อย่างไรก็มีที่ต้องพบหน้ากันบ้าง แต่หลังจากที่เสี่ยวเยี่ยมาถึงก็ดูว่าคนทั้งคู่จะเข้ากันได้ไม่ดีเท่าไหร่ เฟิ่งเทียนเหิงก็ไม่ได้สนใจข้ามากมายนัก เพราะแค่ต้องรับมือกับเสี่ยวเยี่ยก็ทำเอาเขาได้แต่ยืนขมวดคิ้วจนไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว”

เฟิ่งเทียนเหิงเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาพิเศษ อีกทั้งยังเป็นพี่ใหญ่ในหมู่ศิษย์สายหลัก แต่ชิงเยี่ยหลีเองก็ชื่อเสียงโด่งดังทั่วแดน ทั้งยังเป็นอาจารย์สำนัก เฟิ่งเทียนเหิงจึงไม่อาจแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อชิงเยี่ยหลีอย่างเปิดเผยได้

เรื่องนั้นช่วยลดความสนใจที่เขามีต่อชิงอวี่ลงมาก

ได้ยินนางพูดชื่อเสี่ยวเยี่ยอยู่ทุกประโยค นับเป็นชื่อที่นางเอ่ยอย่างสบาย ๆ และเป็นชื่อใช้เรียกใกล้ชิดสนิทสนมนัก โหลวจวินเหยาพลันโค้งริมฝีปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงซ่อนความนัย “ชิงเยี่ยหลีทำเป็นไม่ถูกกับเฟิ่งเทียนเหิง แต่แท้จริงแล้วคิดเบนความสนใจที่เฟิ่งเทียนเหิงมีต่อเจ้า” เขาใส่ใจเจ้านัก”

ชิงอวี่เลิกคิ้ว กำลังจะกล่าวคำก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกประตู จากนั้นก็ได้ยินเสียงใสของหญิงสาวคนหนึ่ง “ชิงเยี่ยหลี ท่านฟังข้าพูดให้จบได้หรือไม่?”

“ข้าเพียงคิดรักท่านอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น เท่านี้ก็ไม่ได้หรือ?”

ชิงอวี่กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ เยี่ยนหนิงลั่วหรือ? คนที่ยิ่งผยองอย่างนางสามารถ… เผยความในใจออกมาเช่นนั้นได้ด้วย?

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วติดจะขบขันอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหันมองทางชิงอวี่ “ดูท่าเขา… จะเนื้อหอมไม่น้อย!”

ชิงอวี่หัวเราะหึใส่เขา สีหน้านางดูภูมิใจเป็นยิ่งนัก “แน่นอน! ถึงจะไม่มีพลัง แต่แค่ใบหน้าของเขาเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาจิตใจหญิงสาวปั่นป่วนได้แล้ว หากเสี่ยวเยี่ยไม่รักสันโดษเย็นชาเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าคงจะมีสตรีไม่น้อยที่ตามเขามายังภาควิชาพิเศษเผื่อจะมีโอกาสได้พบหน้า!”

“โอ๋?” โหลวจวินเหยานัยน์ตาล้ำลึก สีหน้าดูเกียจคร้านไร้อารมณ์ขณะมองดูเด็กสาว ใบหน้าหล่อเหลาอย่างชั่วร้ายของเขามีเสน่ห์มาก ทำเอาคนมองเผลอไผล จมลงสู่ห้วงแห่งตัณหา เป็นใบหน้าที่ล่อลวงคนให้ก่ออาชญากรรม ทันใดนั้นริมฝีปากบางของเขาก็แยกออกเล็กน้อย เสียงแหบพร่าแผ่วต่ำเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้น… หากเทียบข้ากับเขาเล่าเจ้าคิดว่าอย่างไร?”