บทที่ 155 จะง้อผู้ชายที่กำลังโกรธอยู่อย่างไรดี

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

สมาชิกของ DR ล้วนทราบเกี่ยวกับคลื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่อยู่แล้ว เป็นเพราะว่าก็ทำงานด้านซอฟต์แวร์และโปรแกรมเช่นกัน ดังนั้นแล้ว จึงรู้สึกเพียงแค่ว่าหันจื่ออี้เป็นเพื่อนร่วมอาชีพกันก็เท่านั้น ดังนั้นจึงทักทายกันเล็ก ๆ น้อยก็พอแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงค่อย ๆ ทยอยกันมาทักทายหันจื่ออี้กันอย่างครื้นเครง ภาพบรรยากาศเป็นกันเองและเป็นมิตรเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ หลานเสี่ยวถางรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย เธอไม่รู้เลยว่าสือมูเฉินจะหึงหวงหรือเปล่า ทำได้เพียงแค่ถ้าหากว่าสือมูเฉินไปที่ไหน เธอก็จะตามไปด้วยก็เท่านั้น อยู่ราวกับว่าเป็นภรรยาตัวน้อยที่แสนจะเชื่องคนหนึ่งเลย

สือมูเฉินเห็นเธอเป็นเด็กดีเชื่อฟังมากขนาดนั้นแล้ว หัวใจที่ไม่สบายก็มลายหายไปหลายส่วนแล้ว เขาเดินคล้องแขนหลานเสี่ยวถางไปนั่งที่เขตโซฟา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า “ยากมากเลยนะครับเนี่ยที่วันนี้คุณหันจะมาได้ พวกเราควรที่จะเชิญเขาแสดงอะไรให้ทุกคนดูสักหน่อยไหมครับเนี่ย?”

“ดีสิ!” ความคิดความอ่านของสมาชิก DR เป็นไปทางเดียวกันหมด เมื่อได้ยินแล้วก็ต่างปีติยินดีกันเป็นอย่างมาก ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักไปตาม ๆ กัน “คุณหัน ไม่ต้องเขินอาย โดยปกติแล้วพวกเราก็เล่นกันแบบนี้ คุณก็มาเข้าร่วมด้วยกันสิ!”

หันจื่ออี้หมดคำจะพูด หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วผมจะร้องเพลงให้ทุกคนฟังสักเพลงหนึ่งแล้วกันครับ!”

“เยี่ยมมากเลย!” ทันใดนั้นเองก็มีคนพาหันจื่ออี้ไปที่พื้นที่สำหรับร้องเพลงทันที “คุณหันจะร้องเพลงไหนหรือ?”

หันจื่ออี้เอ่ย “เพลงถ้าหากว่าครับ”

มีคนถอนหายใจ “เห้อ เพลงนี้ไม่เพราะเสียหน่อย! ดูท่าแล้วคุณหันนี่คงจะร้องเพลงได้ดีมากเลยสินะ!”

เสียงเพลงดังขึ้น จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ในตอนแรกเริ่ม หันจื่ออี้ร้องเพลงนั้นสามารถที่จะตกนักเรียนหญิงในโรงเรียนได้ไปเป็นจำนวนไม่น้อยเลยจริง ๆ นะ

ในตอนนั้น เขาชื่นชอบการเล่นบาสเกตบอล ร้องเพลงก็ร้องเพราะดี บวกเข้ากับภายนอกที่ไม่สามารถจู้จี้ได้นั้นอีก ถึงแม้ว่าจะเรียนจบไปแล้ว แต่ทว่าภายในโรงเรียนมัธยม ก็ยังคงมีหัวข้อที่พูดคุยเกี่ยวกับเขาไม่หยุดไม่หย่อนเลย

ดังนั้นแล้ว ในตอนนั้นมีผู้หญิงรอบข้างมากมายที่ชื่นชอบหันจื่ออี้ พวกเธอนั้นริษยาเธอเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ เรื่องราวนั้นผ่านไปราวกับสายลมที่พัดผ่าน หลังจากที่สายลมพัดผ่านไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่หลงเหลือทิ้งเอาไว้อีกแล้วจริง ๆ ……

“รักหนึ่งรักนั้นสามารถรองรับความเข้าใจผิดกันได้มากเท่าไหร่ ราวกับว่าอดทนอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่พัดผ่านมาในฤดูหนาว ประโยคเพียงประโยคเดียวนั้นสามารถฉีกขาดความรู้สึกลึกซึ้งได้ ทำให้แปลเปลี่ยนไปเป็นคนห่างคนไกลมากกว่าคนแปลกหน้า……”

เมื่อได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นหูแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงรู้สึกสับสนขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่ง

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ที่ด้านข้างของริมฝีปากของเธอกลับมีลูกเกดเม็ดหนึ่งเพิ่มขึ้นมาทันที

เธอหันสายตากลับไปมองโดยอัตโนมัติ ก็ประสานสายตาเข้ากับสือมูเฉินเข้าพอดี

เขาเผยรอยยิ้มบางเบาให้เธอ “เสี่ยวถางครับ ทานลูกเกด”

หลานเสี่ยวถางเปิดริมฝีปาก สือมูเฉินจึงป้อนลูกเกดเข้าไปในริมฝีปากของเธอ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเธอเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่ว่าเมื่อครู่นี้ความรู้สึกที่เป็นปกติของสือมูเฉินนั้น ราวกับว่าถูกจุดไฟขึ้นมาเสียแล้ว

ในตอนที่กำลังจะมองสีหน้าของเขาให้ชัดเจนนั้นเอง จู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็มืดลงในทันที เธอช้อนสายตาขึ้นอัตโนมัติ ในวินาทีต่อมา ตอนนี้สายตากลับถูกทำให้มืดมิดไปเสียแล้ว

ริมฝีปากมีความรู้สึกถูกกดทับบางอย่าง การรุกรานอย่างดุเดือด ไม่ให้โอกาสที่จะได้หายใจเลยแม้แต่น้อย

เพียงแต่ช่วงเวลาหนึ่งวินาทีนั้นเอง กรามของเธอถูกทำให้เปิดออกเสียแล้ว ตามต่อมาด้วย ลิ้นร้อนที่อ่อนนุ่มและช่ำชองเข้ามาในส่วนลึก นำเอาลูกเกดเม็ดหนึ่งในปากของเธอไป หลังจากนั้น ก็เก็บกลับไปแล้ว

ในตอนที่หลานเสี่ยวถางรู้สึกตกใจจนเนื้อเต้นนั้นเอง จู่ ๆ ในช่องปากก็รับรู้ได้ถึงรสชาติหวานอมเปรี้ยว น้ำของลูกเกดยังคงหลงเหลือเอารสชาติเอาไว้อยู่ และประสาทสัมผัสก็บอกกล่าวให้รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว

หัวใจของหลานเสี่ยวถางเต้นจนแทบจะทะลุถึงลำคอในทันที แม้กระทั่งการหายใจก็ยังลืมเลือนไปแล้ว

แต่ทว่าในวินาทีต่อมา การกดทับเมื่อครู่นี้จู่ ๆ ก็มลายหายไปแล้ว สือมูเฉินผละออกจากริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว เขากลับมานั่งตัวตรง และกำลังเคี้ยวซากลูกเกดอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในปาก

หลานเสี่ยวถางความรู้สึกช้าไปสองวินาที ถึงเคียวลูกเกดที่อยู่ในปากของเธอ เธอสบตามองสือมูเฉินที่อยู่ทางด้านข้างตรง ๆ เขากลับไม่ได้หันศีรษะกลับมาเลย เพียงแค่ทิ้งสีหน้าเย็นชาเอาไว้เท่านั้น

เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย หรือว่าเขายังคงโกรธอยู่อย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะว่าเมื่อครู่นี้เธอตั้งใจฟังหันจื่ออี้ร้องเพลงหรือ?

แต่ทว่า เธอไม่เคยมีประสบการณ์ในการง้อผู้ชายมาก่อนเลย เธอควรที่จะง้อเขาอย่างไรดี?

หลานเสี่ยวถางยื่นมือออกไป ก่อนจะดึงเบา ๆ ไปที่แขนเสื้อเชิ้ตของสือมูเฉิน

เขาไม่ขยับ มองไปทางหน้าจอไกล ๆ ราวกับว่าเขาก็กำลังตั้งใจฟังหันจื่ออี้ร้องเพลงอยู่เช่นกัน

“รักครั้งแรกสุดก็เหมือนราวกับเปลวเพลิง ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกลมพัดจนดับมอด มีบางครั้งที่คำพูดจริง ๆ นั้นทิ่มแทงมากจนเกินไป ดังนั้นจึงมีคนสามารถพูดได้เพียงแค่คำลวง……”

หันจื่ออี้ยังคงร้องเพลงอยู่ แต่ทว่าหลานเสี่ยวถางไม่มีกะจิตกะใจที่จะตั้งใจฟังต่อไปแล้ว

เธอเห็นว่าสือมูเฉินไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลย คิดไปคิดมา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแอปเปิลเอาไว้ชิ้นหนึ่ง ก่อนจะส่งให้กับเขา

เขาเม้มริมฝีปากอยู่ ดูท่าแล้วไม่กินเลย

ผู้ชายในตอนที่ทำตัวง้องอนขึ้นมาแล้ว ราวกับว่ามีท่าทางติ๊งต๊องเช่นนี้หรือ?

หลานเสี่ยวถางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเขย่าแขนของสือมูเฉินไปมา แล้วหันไปเอ่ยกับเขาเบา ๆ ว่า “มูเฉินคะ——”

สือมูเฉินมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเล็กน้อย เขาหันศีรษะกลับมาช้า ๆ ก่อนจะหลุบตามองเธอครั้งหนึ่ง

เธอรีบยกยิ้มหวานให้เขาครั้งหนึ่งทันที

แต่ทว่า เขากลับหันศีรษะกลับไปเสียแล้ว

ในตอนที่หลานเสี่ยวถางรู้สึกท้อแท้ใจเล็กน้อยขึ้นมาแล้วนั้นเอง สายตาของสือมูเฉินก็ตกลงบนที่ลูกเกด เขาสบตามองลูกเกดครั้งหนึ่ง ก่อนจะสบตามองเธออีกครั้งหนึ่ง

อ๋อ ดูท่าแล้วเขาไม่ได้อยากทานแอปเปิล แต่อยากทานลูกเกดสินะ?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงหยิบลูกเกดเม็ดหนึ่งขึ้นมาจากถาด ยื่นเข้าไปหา ก่อนจะป้อนให้สือมูเฉินถึงริมฝีปากด้านข้าง

แต่ทว่า เขาไม่เปิดปากนี่สิ

หลานเสี่ยวถางเบิกตากว้าง สบตามองไปทางเขาอย่างต้องการที่จะถาม

สายตาของสือมูเฉิน ค่อย ๆ มองตกลงไปบนริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางอย่างเชื่องช้า

ดวงตาของเธอเบิกกว้างกลมโตขึ้นทันที ความหมายของเขาก็คือ เขาต้องการให้เธอป้อนเขากับปากหรือ?

จะต้องทำอะไรที่มันไร้สาระมากขนาดนี้เลยหรือไง? ราวกับว่าเขาจงใจให้หันจื่ออี้เห็นอย่างนั้นหรือ? แต่ทว่า ก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลยนี่นาว่าหันจื่ออี้เขาหันหลังให้กับพวกเขาอยู่น่ะ……

หลานเสี่ยวถางมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่ทว่า ในตอนที่เธอมีสติกลับมานั้นเอง สือมูเฉินก็หันศีรษะกลับไปเสียแล้ว ดูท่าแล้วเกรงว่าเขาไม่ได้วางแผนที่จะสนใจเธออีกต่อไปแล้ว

เธอสบตามองไปรอบ ๆ ด้วยความเขินอาย ค้นพบว่าไม่มีคนที่กำลังสนใจพวกเขาอยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงกัดลูกเกดแล้วคาบเอาไว้เบา ๆ ก่อนจะทั้งลากทั้งดึงแขนของสือมูเฉิน แล้วค่อย ๆ สบตามองเขาอย่างน่าสงสาร

นัยน์ตาของเขาเข้มขึ้นมาก ในตอนที่หลานเสี่ยวถางหน้าแดงแก้มแดงมากยิ่งขึ้นนั้นเอง ก็รีบยื่นหน้าเข้าไปหา ก่อนจะคว้าเข้าที่หลังต้นคอของหลานเสี่ยวถางเอาไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น ราวกับว่าการกระทำก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเลย กัดลูกเกดครึ่งหนึ่งจากช่องปากของหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะเหลือทิ้งไว้ให้เธออีกครั้งหนึ่ง

ในตอนนั้นเอง ประจวบเหมาะกับที่มีสมาชิกของ DR ผ่านไปหยิบเครื่องดื่มเข้าพอดี เมื่อหมุนกายกลับมา ก็มองเห็นฉากทั้งหมดเข้าให้แล้ว

ในตอนนั้นเอง นัยน์ตาทั้งสองของเขาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “พระเจ้า ลูกพี่ค้นพบวิธีป้อนอาหารรูปแบบใหม่แล้ว ทุกคนดูเร็วเข้า!”

ทุกคนรีบหันกลับไปมองทันที แต่ทว่า ตอนนี้สือมูเฉินผละออกจากริมฝีปากของหลานเสี่ยวถางไปแล้ว ขาทั้งสองข้างของเขาไขว่ห้างขึ้นบนโซฟา ท่าทางเย็นชา แม้กระทั่งสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว

มีเพียงแค่หลานเสี่ยวถาง ใบหน้าและแก้มแดงซ่าน ริมฝีปากราวกับว่าถูกคนขบกัดไป ทั้งบวมทั้งแดง สีหน้าราวกับคนไร้ความผิด ราวกับว่าถูกคนเอาเปรียบไปเมื่อครู่

“ว้าว มีสถานการณ์แบบนี้จริง ๆ หรือเนี่ย โฮปี้ เมื่อครู่นี้ลูกพี่ป้อนอย่างไรนะ? พวกเราเห็นกันไม่ชัดเลย……”

“มา มา มา ฉันต้องการเครื่องมือแสดงด้วยคนหนึ่ง!” โฮปี้เอ่ยขึ้น ก่อนจะดึงคนคนหนึ่งเข้ามาหา หลังจากนั้น หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา คาบเอาไว้ที่ริมฝีปาก ก่อนจะค่อย ๆ โน้มเข้าหาชายตรงหน้า

ผู้ชายตรงหน้าก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปเช่นกัน ก่อนจะกัดเข้าที่โทรศัพท์อีกด้านหนึ่ง

“ว้าว โรแมนติกมากเลย!” มีเสียงดังครื้นเครงขึ้นในห้องโถงใหญ่อย่างบ้าคลั่งในทันที

สีหน้าของสือมูเฉินยังคงเรียบเฉย ไม่ได้รับการรบกวนเลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งใบหูก็ไม่ขึ้นสีแดงเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหลานเสี่ยวถาง เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมองเธอ เดิมก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะวางมือวางเท้าเอาไว้ตรงไหนดี

มีเพียงแค่หันจื่ออี้ เขานั่งอยู่บนเวที สบตามองหลานเสี่ยวถาง นัยน์ตาเต็มไปด้วยประกายที่แตกละเอียดไปหมด

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ เสียงเพลงก็ดังขึ้นมา เขาจำเนื้อเพลงได้ อีกทั้งก็ไม่ได้มองไปทางหน้าจอ แต่กลับสบตามองไปทางหลานเสี่ยวถางตรง ๆ แล้วร้องเพลงขึ้นมาว่า “ถ้าหากว่าเวลาย้อนกลับไปได้ฉันจะสามารถทำอะไรได้ล่ะ ตามหาเธอแต่กลับไม่ได้เอ่ยคำที่อยากจะเอ่ย ถ้าหากว่าฉันไม่ถอดใจ เธอหลายปีหลังจากนี้ จะโทษฉัน จะเกลียดฉัน หรือว่าจะประทับใจกันนะ? คิดว่าถ้าหากว่าในความเจ็บปวดที่ว่างเปล่าที่สุด……”

เป็นเพราะว่าเขาร้องเพลงเพราะดีจริง ๆ ดังนั้นแล้ว ทุกคนก็ค่อย ๆ เบนสายตาไปจับจ้องมอง ก่อนจะกลับไปยังเสียงร้องใหม่อีกครั้ง

ในเนื้อเพลงที่เจ็บปวดจะเหงาหงอยเช่นนี้ ทำให้ภายในห้องโถงใหญ่ค่อย ๆ มีความรู้สึกร่วมขึ้นมาแล้ว

หลานเสี่ยวถางเป็นเพราะว่าเมื่อครู่นี้เขินอาย ดังนั้นจังไม่กล้ามองสือมูเฉิน อีกทั้งยังจ้องเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่ทางด้านใดด้านหนึ่งแทน

ในตอนนั้นเอง การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเธอ กลับตกอยู่ในสายตาของสือมูเฉิน ราวกับว่าเธอกำลังสบสายตากับหันจื่ออี้เข้าเหมือนกัน

เขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว สัมผัสหอมหวานเมื่อครู่นี้มลายหายไปหมดแล้ว กลับมีสัมผัสของความเปรี้ยวเข้ม ๆ ขึ้นมาแทนที่

เขาหยิบแชมเปญบนโต๊ะตัวเล็กขึ้นมาดื่มสองสามอึก ก่อนจะรู้สึกรำคาญความคิดเห็นของตนเองเมื่อครู่นี้ที่ให้หันจื่ออี้ทำการแสดงในทันที เขาไม่ทันที่จะได้นึกถึงเลย ว่าหันจื่ออี้จะร้องเพลงได้ไม่ต่างจากพวกมืออาชีพเท่าไหร่นัก อีกทั้งนี่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้ทำการแสดงน่ะ?

ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ร้องเพลงได้ไม่เลว แต่ทว่า ถ้าหากว่าให้เขาขึ้นไปร้องเพลงตอนนี้ กลับกันกลับจะทำให้คนรู้สึกว่าเขากำลังทำสงครามอะไรกับหันจื่ออี้ เห็นได้อย่างชัดเจนเลย ว่าเขาเป็นฝ่ายชนะแน่ เดิมก็ไม่ต้องไปเปลืองแรงทำสงครามอะไร ทำแบบนี้ ก็จะมีแต่ความล้มเหลว

ในตอนที่สือมูเฉินนั้นมีความรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่มากมายนั้นเอง หลานเสี่ยวถางหลุดจากภวังค์กลับมาแล้ว เธอสบตามองสือมูเฉิน สัมผัสได้ว่าเขาบันดาลโทสะขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ภายในหัวใจก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นกันขึ้นมามากกว่าเดิม

จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็นึกถึงเหตุผลบางอย่างที่เฉียวโยวโยวเคยพูดเอาไว้ขึ้นมาได้ รูปลักษณ์ภายนอกนั้นมีราคาเป็นอย่างมาก ท่าทางที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักหลากหลายมากมาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เตรียมติดต่อไปหาเฉียวโยวโยว

เธอกดเปิดวีแชท ก่อนจะพิมพ์ตัวอักษรลงไปอย่างรวดเร็ว “จะง้อผู้ชายที่กำลังโกรธอย่างไรดี?”

หลังจากที่ส่งไปแล้ว เธอก็มองสือมูเฉินอีกครั้ง เมื่อเห็นแผ่นหลังตั้งตรงของเขาแล้ว คิ้วขมวดติดกันแน่น ท่าทางเคร่งขรึมปฏิเสธคนกว่าพันคนเช่นนั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว หลานเสี่ยวถางจึงคิดไปคิดมา ก่อนจะปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ และกำลังเตรียมพิมพ์สมทบอีกประโยคหนึ่งไปว่า สถานการณ์ดูเหมือนว่าจะรุนแรงขึ้นเล็กน้อยน่ะ

เพียงแต่ หลังจากที่เธอปลดล็อกแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะโง่เง่าไปแล้วจริง ๆ

เธอจำได้ว่าเธอส่งข้อความไปหาเฉียวโยวโยวนี่นา ทำไมเมื่อเปิดเข้าไปดูแล้ว กลับส่งไปหาคุณ Jarvis ฝั่งนั้นไปได้กันนะ?

หลานเสี่ยวถางกดเรียกคืนข้อความ ที่ด้านบนกลับปรากฏว่าเกินเวลาไปเสียแล้ว

เธอสบตามองโทรศัพท์ด้วยความเศร้าโศก อันที่จริงแล้วก็ยังคงคิดไม่ตก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ถึงค้นพบแล้วว่า โดยปกติแล้วเธอพูดคุยกับเฉียวโยวโยวเยอะมาก ดังนั้นเธอจึงปักหมุดเอาไว้

แต่ทว่าคุณ Jarvis เธอเองก็ปักมุดเอาไว้เช่นกัน ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะว่าเคารพและชื่นชมคนคนนั้น

ตอนนี้ นอกจากที่เธอปักหมุดอาไว้ที่ด้านบนสุดของข้อความทั้งสองคนนั้นแล้ว ยังมือสือมูเฉินอีกด้วย แต่ทว่ารูปภาพประจำตัวของสือมูเฉินนั้นไม่เหมือนกันกับพวกเขา

รูปประจำตัวของเฉียวโยวโยวเมื่อก่อนเป็นภาพถ่ายที่เธอถ่ายให้ ไม่รู้ว่าแปรเปลี่ยนไปเป็นสีโทนเย็นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดังนั้นแล้ว เมื่อครู่นี้เธอไม่ทันได้คิดเยอะอะไร ดังนั้นจึงดูผิดไป!

ทั้งหมดนี้จบเห่หมดแล้ว เธอกับคุณ Jarvis เดิมก็ไม่ได้สนิทสนมกันเลย ไม่เพียงแค่เป็นฝ่ายส่งข้อความไปรบกวนเข้าก่อนเท่านั้น อีกทั้งยังถามคำถามเช่นนี้อีก!

อีกอย่าง คุณ Jarvis กับสือมูเฉินก็ดูสนิทสนมกันด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้ว เกรงว่าเขาคงจะต้องบอกสือมูเฉินด้วยใช่ไหม?

หลานเสี่ยวถางล้มลงบนโซฟาอย่างคนไร้เรี่ยวแรง รู้สึกเพียงแค่ว่าภาพตรงหน้ามืดมนไปหมดแล้ว

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง สือมูเฉินก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง อีกทั้งก็ไม่ได้เอ่ยทักทายอะไรต่อเธอ หลังจากนั้นก็เดินตรงมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำเสียแล้ว

หลานเสี่ยวถางเห็นแผ่นหลังของเขาหายไปจากสายตา รู้สึกเพียงแค่ว่าท้อแท้ใจมากกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง หันจื่ออี้ร้องเพลงเสร็จแล้ว เดินลงมาที่ด้านล่าง แต่ทว่าสือมูเฉินก็ยังคงไม่กลับมา

หลานเสี่ยวถางเห็นว่าหันจื่ออี้เดินเข้ามาใกล้เธอ เธอกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะรีบหลบไปดีไหม เพื่อป้องกันไม่ให้สือมูเฉินกลับมาแล้วเข้าใจผิดมากขึ้นกว่าเดิม แต่ทว่าโทรศัพท์มือถือในมือของเธอกลับสั่นขึ้นมาเล็กน้อย

เธอรีบก้มลงไปเปิดอ่านทันที ก่อนจะค้นพบว่าคุณ Jarvis ตอบกลับข้อความของเธอแล้ว

เขาถามว่า “คุณจะง้อใครหรือครับ?”