บทที่ 156 ความต้องการเขาไม่มีที่สิ้นสุดครับ ต้องระงับไฟนั่นเอาไว้

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

หลานเสี่ยวถางสบตามองดูอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย อ้างอิงจากความต่างของช่วงเวลาแล้ว ทางฝั่งคุณ Jarvis ก็น่าจะเที่ยงคืนกว่าแล้วไหมนะ?

เมื่อเธอคิดได้ดังนั้นแล้ว ร่างทั้งร่างราวกับว่ามีเหงื่อเย็น ๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง เธอคงจะไม่ได้ส่งข้อความไปปลุกให้เขาตื่นกลางดึกแบบนี้หรอกใช่ไหม?

เธอรีบตอบข้อความกลับในทันที “คุณ Jarvis คะ เมื่อครู่นี้ฉันส่งผิดคนน่ะค่ะ รบกวนการนอนหลับของคุณหรือเปล่าคะเนี่ย? คุณไม่ต้องสนใจฉันแล้วนะคะ รีบเข้านอนเถอะ! ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ!”

ข้อความของเธอพึ่งจะถูกส่งไปเมื่อครู่นี้เอง เขาก็รีบตอบกลับมาในทันที เพียงแค่สามคำเท่านั้น “เข้าประเด็น”

ประเด็น? ประเด็นก็คือคำถามที่เขาพึ่งถามไปเมื่อครู่นี้หรือ?

หลานเสี่ยวถางไม่มีทางอื่นแล้ว ทำได้เพียงแค่ตอบกลับไปตามจริง “เป็นมูเฉินค่ะ”

คุณ Jarvis ก็ตอบกลับมาอีกครั้งหนึ่งว่า “แล้วทำไมต้องง้อเขาด้วยละครับ? เขาโกรธอะไรหรือ?”

หลานเสี่ยวถางคิดไปคิดมา ก่อนจะพิมพ์ไปประโยคหนึ่งว่า “เป็นเพราะว่าเขาเข้าใจฉันกับรุ่นพี่คนหนึ่งผิดไปน่ะค่ะ อันที่จริงแล้วฉันกับรุ่นพี่ไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ นะคะ แต่ทว่าเขาก็ยังโกรธอยู่เลย”

เธอก้มหน้ากัดฟันส่งกลับไป ก้มศีรษะลงอย่างท้อแท้เพื่อรอข้อความตอบกลับมา

คุณ Jarvis กับสือมูเฉินเป็นเพื่อนกับ ไม่แน่ เขาอาจจะเรียบนำเรื่องนี้ไปบอกแก่สือมูเฉินแล้วก็ได้!

อา อา อา—— หลานเสี่ยวถางยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน หลังจากนั้น ก็เห็นคุณ Jarvis ตอบกลับมาว่า “คุณส่งมาหาผมถูกแล้วล่ะครับ”

ตามมาด้วย ประโยคที่สองก็ถูกส่งเข้ามาแล้ว “การง้อเขานั้นง่ายมากเลยครับ”

หลานเสี่ยวถางลืมเลือนทุกอย่างไรหมด ก่อนจะรีบถามไปอย่างรวดเร็วว่า “ง้ออย่างไรคะ?”

คุณ Jarvis เอ่ยว่า “คุณเป็นฝ่ายไปนอนกับเขาก่อนสิครับ หากเขาได้ระบายโทสะแล้ว นั่นก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะครับ”

อีกนิดเดียวหลานเสี่ยวถางก็แทบจะถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ไม่มั่นคงแล้ว!

นี่เป็นคำพูดของเจ้าของบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยอย่างคุณ Jarvis จริง ๆ หรือ? คงจะไม่ใช่ตัวปลอมหรอกใช่ไหม?

หลานเสี่ยวถางจิ้มเข้าไปดูรูปประจำตัวของคุณ Jarvis ก่อนจะสบตามองรูปภาพของเขาอย่างละเอียด ก็รู้สึกอีกว่าไม่ผิดแน่

แต่ทว่า จะว่าไปแล้ว ชีวิตของคุณ Jarvis นั่นเรียบง่ายและเปิดเผยมากเช่นนี้เลยหรือไงนะ?!

เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร หลังจากที่ข้อความถูกเธอพิมพ์ ๆ ลบ ๆ อยู่หลายครั้งแล้ว สุดท้ายแล้ว ก็พิมพ์ไปแค่มั่ว ๆ คำเดี๋ยวเท่านั้นว่า “อ๋อ”

เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้วนะครับ ส่วนวิธีการอื่น ๆ เกรงว่าจะไม่ได้ผลหรอก เป็นเพราะว่าผมนั้นเข้าใจเขาเป็นอย่างมากอย่างไรล่ะ”

หลานเสี่ยวถางนั้นหมดคำที่จะเอ่ยแล้ว จึงตอบกลับไปอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณ Jarvis”

เธอบีบโทรศัพท์เข้าหากันแน่น ก่อนจะนั่งอีนุงตุงนังอยู่บนโซฟา จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงสายตาที่ส่งมาจากคนที่อยู่ทางด้านข้าง หลานเสี่ยวถางจึงช้อนสายตาขึ้น ก่อนจะมองเห็นหันจื่ออี้ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมานั่งอยู่ที่ด้านข้างของเธอเสียแล้ว

“คุณ——” หลานเสี่ยวถางกำลังจะรีบลุกขึ้น

เมื่อครู่นี้เธอสบตามองหันจื่ออี้มากไปหน่อย สือมูเฉินก็ไม่สบอารมณ์แล้ว ตอนนี้ สือมูเฉินไปแล้ว เธอยังคงนั่งอยู่ด้วยกันกับหันจื่ออี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วถ้าหากเขากลับมาแล้วเห็นเขาล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นแล้วผลลัพธ์ก็คง……

“เสี่ยวถาง ทำไมเห็นฉันแล้วก็จะไปแล้วเสียล่ะ?” หันจื่ออี้เอ่ยขึ้นอย่างได้รับความเจ็บปวดเล็กน้อย “เมื่อกี้นี้คุยกับใครอยู่หรือ? สีหน้าหลายอารมณ์มากขนาดนั้น ฉันมานั่งข้างเธอตั้งนานแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวอีก”

“ไม่มีอะไรค่ะ” หลานเสี่ยวถางลุกขึ้นยืนแล้ว กำลังจะเตรียมตัวที่จะไปให้ไกล ๆ จากหันจื่ออี้

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ทางฝั่งห้องน้ำ สือมูเฉินก็เดินออกมาแล้ว

หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้น ก่อนจะประสานเข้ากับสายตาของเขา

เขามองเธอไม่ถึงสองวินาที ก่อนจะเก็บสายตากลับไปแล้ว หลังจากนั้นก็ไปตกลงบนร่างของหันจื่ออี้

หลานเสี่ยวถางขบเม้มริมฝีปากไปมา ก็ไม่รู้ว่าสือมูเฉินจะเข้ามาหาเธอหรือเปล่า ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาเขา หลังจากนั้นก็ยิ้มให้เขาบางเบาแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “มูเฉินคะ ทำไมไปนานถึงขนาดนั้นแล้วพึ่งมาละคะ?”

คำพูดของเธอยังไม่ทับจบดีที ในตอนที่ภายในหัวใจกำลังครุ่นคิดกังวลอะไรบางอย่างนั้นเอง เขากลับอาศัยจังหวะที่เธอไม่ได้นึกถึงแล้วคว้าเอวของเธอเข้าไปกอดเอาไว้อย่างรวดเร็วในทันที

เขาบีบแก้มของเธอ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มขบขันออกมา “ทำไมครับ ไม่เจอกันแค่ประเดี๋ยวเดียว คิดถึงผมแล้วหรือไง?”

หลานเสี่ยวถางถูกสือมูเฉินทำให้ตกตะลึงอย่างรวดเร็ว ก่อนก้มศีรษะลงต่ำ มีความรู้สึกเก้อเขินขึ้นเล็กน้อย

สือมูเฉินก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อ อีกทั้งยังคล้องแขนเข้าที่หัวไหล่ของเธอ ก่อนจะพาเธอเดินไปพร้อมกัน แล้วกลับไปที่เขตโซฟา

สือมูเฉินนั่งอยู่ตรงกลาง ทำให้หลานเสี่ยวถางห่างออกจากหันจื่ออี้ มือข้างหนึ่งของเขาโอบล้อมและคล้องหลานเสี่ยวถางเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็หยิบลูกเกดขึ้นมา “เสี่ยวถาง ครั้งนี้อยากทานอะไรครับ?”

หลานเสี่ยวถางนึกถึงการ ‘ป้อน’ เมื่อครู่นี้ได้ทันที อุณหภูมิบนใบหน้าก็เพิ่มมากขึ้นหลายส่วน “ฉันทานเองดีกว่าค่ะ”

“อืม” ถึงแม้ว่าสือมูเฉินจะตกคำรับปากแล้ว แต่ทว่า ก็ยังคงหยิบลูกเกดหนึ่งเม็ดขึ้นไปป้อนให้หลานเสี่ยวถางถึงปาก

ในตอนนั้นเอง เขาดูเหมือนพึ่งจะเห็นหันจื่ออี้เหมือนกันก็ไม่ปาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเขาว่า “คุณหัน ยากมากเลยที่จะมารวมตัวกันกับเพื่อนร่วมงานแบบนี้ ไม่ต้องเขินอายมากหรอกนะครับ”

หันจื่ออี้พยักหน้าขึ้นลง “พูดขึ้นมาแล้ว เสี่ยวถางก็เป็นเพื่อนร่วมอาชีพของผมนี่เนอะ!”

จะว่าไปแล้ว เขาก็ยื่นตัวไปทางด้านหน้า สายตามองเลยสือมูเฉินไป ก่อนจะสบตามองไปยังหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถางครับ โครงการ DEEP ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว ช่วงนี้พวกเราก็มีโครงการใหม่โครงการหนึ่งด้วย ฝ่ายบุคคลส่งอีเมลไปให้คุณหรือยัง?”

ในเมื่อถามถึงเรื่องงาน หลานเสี่ยวถางจึงไม่ตอบไม่ได้ เธอพยักหน้า “ค่ะ ส่งมาแล้ว ฉันกำลังดูอยู่ค่ะ”

หันจื่ออี้เอ่ยอีกว่า “โครงการนั่นถือเป็นโครงการแรกในประเทศจีนเลยนะ เป็นเพราะว่าระบบแอนะล็อกของเมื่อก่อนเป็นของต่างประเทศทั้งหมด ดังนั้นแล้ว นี่ก็เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะฝึกฝนโอกาสหนึ่งเลยนะ”

หลานเสี่ยวถางทราบว่าเขาพูดถึงอะไร เพียงแต่ เรื่องนี้เธอยังไม่ทันได้เคยได้พูดกับสือมูเฉินเลย ดังนั้นแล้ว ก็ยังคงไม่สะดวกที่จะตอบกลับไป เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงเอ่ยว่า “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันจะวิเคราะห์ดูก่อนว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะเข้าร่วมได้หรือเปล่า”

แต่ทว่าสือมูเฉินกลับเอ่ยปากขึ้นมาอย่างเชื่องช้าว่า “คุณหันมาร่วมงานเลี้ยงก็คุยเรื่องงานด้วย ที่แท้แล้วเป็นคนที่เคารพงานจริง ๆ เลยนะครับเนี่ย! มิน่าล่ะ อายุก็ยังน้อยถึงได้เป็นรองประธานของบริษัทซอฟต์แวร์เสียแล้ว!”

สีหน้าของหันจื่ออี้แข็งค้างไปในทันที ราวกับว่าครึ่งวันแล้วก็ยังไม่คลายออก

เขารู้ สือมูเฉินกำลังทิ่มแทงเขาอยู่

เพราะว่า ที่เขาสามารถเป็นถึงรองประธานของบริษัทซอฟต์แวร์ได้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่อาศัยความสามารถอันโดดเด่นของเขาทั้งสิ้น การขยันเป็นอย่างมาก เป็นเพราะว่า โลกใบนี้ไม่เคยขาดคนที่โดดเด่นและขยันมาก่อนเลย ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ฐานเงินเดือนของเขานั้นดีกว่าฐานเงินเดือนของพวกพนักงานของบริษัทซอฟต์แวร์เหล่านั้นอีก ไม่รู้ว่าได้ไปตั้งเท่าไหร่แล้วเหมือนกัน!

ได้เป็นรองประธานบริษัทซอฟต์แวร์ เป็นแค่เพราะว่าเขาเป็นลูกเลี้ยงลูกบุญธรรมของผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนปัจจุบันเท่านั้นหรอก!

เป็นเพราะว่าหันจื่ออี้ออกแรงบีบแก้วเครื่องดื่มในมือ ดังนั้นจึงทำให้ซีดขาว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะกักเก็บสายตาแล้วหันไปเอ่ยอย่างมีไมตรีจิตว่า “ผมไปเป็นรองประธานก็เป็นเพราะโชคเท่านั้นแหละครับ จะไปเทียบกับประธานสือได้อย่างไรกัน! ประธานสือได้รับชัยชนะจาก Times Group ได้อย่างสำเร็จ นั่นถึงห่างไกลจากความสามารถของคนธรรมดาที่จะทำได้ต่างหากล่ะครับ!”

ในเมื่อสือมูเฉินถากถางเขา เขาก็ไม่ยอมที่จะเสียเปรียบหรอกนะ สือมูเฉินสามารถเอา Times Group มาอยู่ในกำมือได้ อาศัยทุกอย่างไม่เหมือนกันกับเขา ไม่มีคนคอยสนับสนุน ดังนั้นแล้ว ทั้งหมดจึงอาศัยกลอุบายทั้งสิ้น!

หันจื่ออี้จิบเหล้าเข้าไปหนึ่งอึก กลอุบายเหล่านั้น ก็ไม่ได้สะอาดไปมากกว่าความสัมพันธ์ที่อาศัยการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของเขาไปมากเสียเท่าไหร่หรอก!

ทำไมหลานเสี่ยวถางจะไม่ฟังออกถึงการที่ทั้งสองคนกำลังปะทะคารมกันอยู่ล่ะ เธอหมดคำจะเอ่ยเล็กน้อย สือมูเฉินเดิมก็เป็นคนที่ดูนิ่งเงียบมากคนหนึ่ง แต่ทว่า ขอเพียงแค่ได้เจอหน้ากับหันจื่ออี้ เขานั้น แทบจะแปรเปลี่ยนไปทั้งร่างเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงของเขาเป็นเพราะว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะว่าเขาหึงหวง ดังนั้นแล้ว ถึงแปรเปลี่ยนเป็นไร้สาระผิดปกติมากเช่นนี้เลยอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีคำไหนจะเอ่ยมากไปกว่านี้อีกแล้ว ภายในหัวใจของหลานเสี่ยวถางมีความรู้สึกหวานวูบวาบบางอย่างตีขึ้นมา

เพียงแต่ เธอกลับปกปิดความรู้สึกของตนเอง ทำให้ตนเองไม่ได้ยินเสียงอื่นใดเลย ราวกับว่าน้ำเสียงที่กำลังทำสงครามของทั้งสองคนไม่ได้อยู่ข้างกายก็ไม่ปาน ก่อนจะนั่งรับประทานลูกเกดทีละเม็ดทีละเม็ด

บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าทางผลไม้เข้าไปเยอะมากจนเกินไป เธอก็มีความคิดที่จะไปเข้าห้องน้ำขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

ก่อนจะบอกกล่าวแก่ทั้งสองคนไปเมื่อครู่นี้แล้วก็ลุกขึ้นยืน สือมูเฉินก็ลุกขึ้นตาม หันไปเอ่ยกับหันจื่ออี้ว่า “ภรรยาของผมเป็นคนที่ชอบหลงทางบ่อย ๆ น่ะครับ ไปห้องน้ำก็หลงทางแล้ว ดังนั้นผมขอตัวไปเป็นเพื่อนเธอก่อนนะครับ คุณหันครับ ขออนุญาตสักครู่!”

หันจื่ออี้เห็นเงาของหลานเสี่ยวถางทั้งสองคนหายออกไปจากสายตา ร่างทั้งร่างอยู่บนโซฟา ไร้เรี่ยวไร้แรงเล็กน้อย ราวกับว่าตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อยเช่นกัน

ตอนแรก เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเสี่ยวถางน่ะเป็นเพราะเขาเอง ถ้าหากว่าไม่ได้เป็นเพราะเมื่อหกปีก่อน……

ความคิดของเขาอดที่จะเตลิดไปไกลไม่ได้ หวนนึกถึงฤดูร้อนนั่น

ในตอนนั้นเอง เขาเห็นด้วยตาของตนเองว่าเสี่ยวถางเขียนอะไรลงไปในใบอาสานั่น ในตอนที่เขาเห็นว่าเธอเขียนชื่อมหาวิทยาลัยและคณะของเขาลงไปนั้นเอง ก็ไม่รู้ว่าภายในหัวใจนั้นลิงโลดมากแค่ไหนแล้ว

จำไว้ว่าวันนั้นเอง เขาได้รับโทรศัพท์จากคุณครู บอกว่ามีรายชื่อหลงเหลือของนักเรียนแลกเปลี่ยนของนักศึกษาปีสามอยู่ แนะนำให้เขาไป แต่ทว่าเขาได้ตอบปฏิเสธในตอนนั้นไปแล้ว

ราวกับว่าล้อเล่นกัน เขารอหญิงสาวที่ในที่สุดก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขามาได้แล้วถึงสองปี เขาจะตัดใจไปต่างประเทศได้อย่างไรกัน?

ในวันที่ได้รับแจ้งประกาศนั้นเอง เขานัดหลานเสี่ยวถางให้มาเจอกัน ตามมาด้วย ช่วยแสดงความยินดีแก่เธอ

แต่ทว่า ในวันที่จะเดินทางไปพบหน้าเธอนั้นเอง ก็พบเจอกับเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งไปเลย……

วันนั้น เขามองเห็นอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันกับตาของตัวเอง คนที่มีน้ำใจเช่นเขา เป็นเพราะว่าหมอยังไม่มา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงทำได้เพียงแค่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนที่ได้รับบาดเจ็บให้เลือดหยุดไหล

หลังจากนั้น หมอมาแล้ว บอกว่าเพราะว่าผู้ได้รับบาดเจ็บเสียเลือดมาก จำเป็นที่จะต้องติดต่อกับผู้ลงทะเบียนคนอื่น ๆ เพื่อให้มาบริจาคเลือด เห็นกับตาว่าผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นเสียเลือดไปจำนวนมากและกำลังจะเสียชีวิตแล้ว หันจื่ออี้จึงเข้าไปหาด้วยตนเอง บอกว่าตัวเขาเองนั้นก็มีหมู่เลือดอาร์เอชลบ สามารถบริจาคเลือดได้

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงบอกกล่าวกับหลานเสี่ยวถางไปครั้งหนึ่งว่าจะไปช้าหน่อย บอกว่ากำลังช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่บนรถพยาบาล

เดิมนี่ก็เป็นเรื่องราวของผู้กล้าหาญคนหนึ่งเท่านั้น เรื่องราวดำเนินมาจนถึงตอนนั้นแล้ว ผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับการช่วยเหลือ ก็ควรที่จะจบลงไปได้แล้ว

แต่ทว่า หลังจากที่ผู้ได้รับบาดเจ็บฟื้นขึ้นมา สืบหาว่าเขาเป็นคนบริจาคเลือดให้ รู้สึกประทับใจต่อเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้ว ผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทซอฟต์แวร์ มายังประเทศจีนเพื่อที่จะเยี่ยมเยียนสหายเก่าคนหนึ่ง วันนั้นจึงถือโอกาสไปที่มหาวิทยาลัยหนิงเฉิงพอดี อยากที่จะไปคัดเลือกนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยตนเองสักคนหนึ่ง เพื่อที่จะร่วมเข้าการฝึกฝนกับโครงการของบริษัทซอฟต์แวร์

ในใบรายชื่อของเขามองเห็นชื่อของหันจื่ออี้ เมื่อดูประวัติการทำงานของเขาแล้ว ทันใดนั้นเอง ก็รีบตัดสินให้เขาได้เลยทันที

แต่ทว่า หลังจากที่เขาได้ยินคุณครูบอกว่า ว่าหันจื่ออี้ไม่ยินยอม คุณครูยังบอกอีกว่า แฟนสาวของหันจื่ออี้ก็พึ่งสอบเข้าคณะซอฟต์แวร์ของมหาวิยาลัยหนิงเฉิงได้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว หันจื่ออี้ไม่ได้ทางไปต่างประเทศแน่

ในตอนนั้นเอง เขาไปหาหันจื่ออี้ด้วยตนเอง บอกกล่าวข้อเสนอพิเศษมากมาย แต่ว่า หันจื่ออี้หนุ่มคนนั้นกลับไม่ทำอะไรเลย จนกระทั่ง——

วันนั้น เขาพึ่งได้พูดคุยกับหันจื่ออี้เสร็จแล้วก็แยกจากกันแล้ว ก็เห็นหันจื่ออี้ถูกผู้คนรุมล้อมเอาไว้อยู่ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังเอ่ยพ่อยืมลูกชดใช้อะไรบางอย่างทำนองนั้นอีกด้วย

หลังจากนั้น เขาก็ไปสืบหาสถานการณ์ที่บ้านของหันจื่ออี้ อีกทั้งยังบอกกับหันจื่ออี้อีกด้วย เขาสามารถช่วยเขาคืนเงินได้ แต่อันดับแรกเลยก็คือ หันจื่ออี้จำเป็นที่จะต้องไปต่างประเทศกับเขาก่อน อีกทั้งยังต้องแต่งงานกับลูกสาวของตนเองด้วย และต้องไม่ติดต่อกับหลานเสี่ยวถางอีก

เขาบอกหันจื่ออี้ไปตามตรง เพื่อให้หันจื่ออี้จึงกลายไปเป็นลูกเขยของตนเอง ไม่เพียงแค่รู้สึกว่าเขานั่นโดดเด่นเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นเพราะว่า ลูกสาวของเขาก็มีหมู่เลือดเป็นอาร์เอชลบอีกด้วย ดังนั้นแล้วจึงหวังว่าถ้าหากว่าลูกสาวของเขาได้พบเจอกับอุบัติเหตุเข้าแล้วล่ะก็ หันจื่ออี้ก็จะสามารถเข้าไปช่วยเหลือเธอได้ในทันที

แน่นอน หันจื่ออี้ปฏิเสธโดยไม่คิดเลย แต่ทว่า ในตอนนั้นเขากลับโยนรายงานเล่มหนึ่งไปให้ ที่ด้านบนเขียนเอาไว้ว่าเป็นเหตุผลของการเสียชีวิตที่แท้จริงของบิดามารดาของหันจื่ออี้

ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวตาย แต่ทว่าเป็นการถูกฆ่า!

เขารับปากว่าจะช่วยเขาสืบหาฆาตกรตัวจริง รับปากว่าจะช่วยเขาคืนความบริสุทธิ์ให้ แต่ทว่า กลับกันกลับต้องการให้หันจื่ออี้ยอมศิโรราบ

ในตอนนั้นเอง หันจื่ออี้นอนไม่หลับติดต่อกันสามวัน นั่งอยู่ที่ด้านหน้าหลุมฝังศพของบิดามารดา สุดท้ายแล้ว ก็ตอบรับเขา เขายอมที่จะไปต่างประเทศกับเขา ยินยอมที่จะไม่ติดต่อกับหลานเสี่ยวถาง แต่ทว่า เขากลับไม่สามารถแต่งานกับลูกสาวของเขาได้

สุดท้ายแล้ว หันจื่ออี้ก็กลายเป็นลูกบุญธรรมของเขาอย่างสมบูรณ์ เรื่องราวทั้งหมดจึงจบลงเช่นนี้