จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 163
ตอนที่ฉินเทียนโดนการโจมตีครั้งสุดท้ายของปลาไหลไฟฟ้า เขายังคงหลงเหลือสติอยู่เลือนลาง
ในตอนนั้นเขาสัมผัสได้ถึงขุมพลังแกร่งกล้าสองขุมจากเงาร่างคล้ายมนุษย์ถือตรีศูล เพียงออกอาวุธไม่กี่ที ก็สังหารปลาไหลไฟฟ้าระดับแปดไป ช่างแข็งแกร่งนัก
เสียงฝีเท้าจากด้านนอกกระโจมทําให้ฉินเทียนกดดันไม่เบา
อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง
แม้แต่กลิ่นอายของบุรุษที่เพิ่งฟื้นฟูก็ยังพลุ่งพล่านแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
บุรุษวัยกลางคนผิวเข้มแต่งกายเปลือยหน้าอกจํานวนสามคนเดินเข้ามาในกระโจม กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าปลาไหลไฟฟ้าแม้แต่น้อย
บุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นํามองดูบุรุษที่ฟื้นฟูจนอาการดีขึ้นอย่างตกตะลึง “หลัวเฟิง เจ้าดีขึ้นแล้ว?”
เมื่อราวหนึ่งเดือนที่แล้ว เพื่อที่จะจะจ่ายส่วยอันแสนกดขี่ พวกเขาได้รวมกลุ่มกันไปล่าสัตว์อสูร หลัวเฟิง โชคร้ายถูกสัตว์อสูรนับหมื่นกลุ้มรุมจนชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ตอนที่ช่วยเขาออกมาได้อาการของหลัวเฟิงก็สาหัสแล้ว หากไม่ใช่เพราะชนเผ่าหมิงไห่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง เวลานั้นเขาคงตายไปแล้ว
หนึ่งเดือนมานี้บาดแผลของเขาก็เริ่มเน่าเปื่อย อาการหนักจนเหมือนมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน ที่หลัวเย่มาในวันนี้ ก็เพื่อที่จะมาเจอหลัวเฟิงเป็นครั้งสุดท้าย แต่คิดไม่ถึงว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะดีขึ้นมา นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ
“ท่านผู้นํา” หลัวเฟิงและหญิงชราโค้งตัวลงเล็กน้อย
หลัวเยโบกมือและเดินเข้ามาหาหลัวเฟิงด้วยความตื่นเต้น สายตากวาดมองทั่วร่างของหลัวเฟิงก่อนจะวางมือลงบนบ่า “บาดแผลหายสนิท กระทั่งรอยแผลเป็นก็ไม่หลงเหลือ เจ้าทําได้อย่างไร? เมือวานนี้กระทั่งมาร ดาของเจ้าก็ยังบอกว่าเจ้าคงอยู่ได้ไม่เกินสามวัน มาวันนี้เจ้ากลับฟื้นขึ้นมาดุจมังกรผงาด”
หญิงชรานางนี้เป็นหมอรักษาประจําเผ่า ดังนั้นการวินิฉัยของนางย่อมไม่ผิดพลาด อีกทั้งนางคงไม่เอ่ยปากแช่งให้บุตรชายของนางอายุสั้นปานนั้น
หลัวเฟิงหันไปมองหญิงชรา เขาเองก็ไม่ทราบว่าตนหายดีได้อย่างไร เขาเพียงรู้สึกถึงพลังชีวิตเต็มเปี่ยมไหลผ่านตามร่าง จากนั้นบาดแผลของเขาก็ค่อยๆหายเป็นปลิดทิ้ง
หลัวเฟิงยกมือเกาศีรษะก่อนจะตอบอย่างมึนงง “ข้าเองก็ไม่รู้”
“เป็นเขาที่ช่วยชีวิตบุตรชายข้า”
หญิงชรากล่าวอย่างซาบซึ่งก่อนจะเดินไปข้างฉินเทียนก่อนจะตระเตรียมคุกเข่าขอบคุณ แต่ฉินเทียนยื่นมือมาพยุงเอาไว้ก่อนจะรีบกล่าวว่า “ท่านยายไม่จําเป็นต้องทําเช่นนี้”
“เขางั้นรึ?”
หลัวเย่มองฉินเทียนอย่างไม่อาจทําใจเชื่อ ทว่าที่สมาชิกเผ่าได้รับการช่วยเหลือไว้ก็เป็นเรื่องจริง ดังนั้นการขอบคุณย่อมต้องแสดงออก “ขอบคุณเจ้ามาก”
“ควรเป็นข้าที่ต้องขอบคุณมากกว่า มิเช่นนั้นข้าคงกลายเป็นศพอยู่กันทะเลไปแล้ว” ฉินเทียนตอบกลับอย่างจริงจัง
“เจ้าก็คือชายหนุ่มที่หลัวควงช่วยไว้?”
หลัวเยยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ปลาไหลไฟฟ้าตัวนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่ง พวกเราถูกมันลอบโจมตีและหลบหนีไปได้หลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะเจ้าพวกเราก็ปราบมันไม่สําเร็จ ฮ่าๆ…..”
ฉินเทียนยิ้มเขื่อน
คนเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป ลงมือเพียงท่าสองท่าก็กําจัดปลาไหลไฟฟ้าได้แล้ว ต่อให้ไม่มีฉินเทียนเบี่ยงเบนความสนใจไป พวกเขาก็ยังสามารถสังหารปลาไหลไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย หลัวเย่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อปลอบใจฉินเทียน ที่ทําให้ฉินเทียนรู้สึกขอบคุณ
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสนทนากัน
จากข้อมูลที่ได้มา ฉินเทียนก็พบว่าตอนนี้ตัวเขามาถึงชายแดนของอาณาเขตหมิงไห่แล้ว และชนเผ่าที่เขาอยู่ตอนนี้เรียกว่าชนเผ่าชายขอบ เพื่อที่จะไม่ถูกขับไล่ออกไป พวกเขาจะต้องจ่ายส่วยเป็นแก่นอสูรจํานวนหนึ่งหมื่นแก่นเป็นประจําทุกเดือน
ได้ฟังถึงตรงนี้ฉินเทียนก็ต้องตะลึง
แก่นจํานวนหนึ่งหมื่นแก่น กระทั่งสํานักบางแห่งก็ยังไม่มีแก่นจํานวนมากถึงเพียงนี้ด้วยซ้ํา
ต้องฆ่าสัตว์อสูรระดับห้าหนึ่งพันตัวทุกเดือน นี่มันแนวคิดแบบไหนกัน?
นี่มันฝันร้ายชัดๆ!
หากไม่ส่งส่วยให้ครบกําหนดก็จะถูกเนรเทศทันที พวกเขาอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกมาหลายชั่วอายุคน พวกเขาย่อมไม่เต็มใจจะไปจากแผ่นดินถิ่นเกิดไม่ว่ามันจะทุกข์ยากเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทนอยู่อย่างถูกกดขี่มาตลอด
เพื่อที่จะรวบรวมให้ครบหนึ่งหมื่นแก่น ชนเผ่าของเขาแทบจะต้องเกณฑ์สมาชิกทั้งหมดออกไปล่าหลายครั้ง กระนั้นอัตราสําเร็จก็ต่ําอย่างมาก
ระหว่างการออกล่าเดือนที่แล้ว หลัวเฟิงยืนหยัดปกป้องเส้นทางถอยของกลุ่มจนตัวเองต้องบาดเจ็บสาหัส
ในการออกล่าแทบทุกครั้งล้วนมีการสูญเสีย จํานวนสมาชิกเผ่าที่ลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่องทําให้หลัวเย่ตกอยู่ในสภาวะเคร่งเครียดมาตลอด
อีกทั้งวันที่ต้องจ่ายส่วยของเดือนนี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หลังจากการล่าล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ชนเผ่าของเขาก็เก็บสะสมแก่นได้ไม่ถึงหนึ่งในสาม เวลาก็กระชั้นเข้ามาแล้ว…
คิดถึงตรงนี้ หลัวเก็ถอนหายใจยาว
ในฐานะผู้นําเผ่าแล้ว ภาระที่แบกรับไว้ย่อมหนักอึ้งอย่างที่สุด
“พี่หลัว ท่านไม่เคยคิดจะไปจากที่นี่เลยหรือ?” ฉินเทียนอดถามออกไปไม่ได้ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว การจะสร้างรากฐานบนแผ่นดินเทียนหยวนย่อมไม่ยากแต่อย่างใด
“จากไป?” หลัวเย่เปลี่ยนสีหน้า “หากไปแล้วก็จะกลับมาไม่ได้อีก”
หากอพยพออกไป พวกเขาก็จะกลับมาไม่ได้อีก นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่เคยคิดจะจากไปไหน
“แล้วหากต่อต้านเล่า?”
“ต่อต้าน?” หลัวเยู่หัวเราะอย่างขมขึ้น “ต่อต้านไปก็มีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น”
ฉินเทียนพลันนิ่งเงียบ ดูจากสีหน้าของหลัวเยู่แล้วเขาก็ไม่กล่าวอะไรอีก
ฉินเทียนอยากจะบอกออกไปว่าหากพวกท่านไม่ต่อต้าน สุดท้ายแล้วพวกท่านก็ยังคงต้องตายอยู่ดี ทําไมจึงไม่รวบรวมกําลังโค่นล้มผู้นําทรราชเล่า?
ฉินเทียนเพียงคิดแต่ไม่ได้กล่าวออกมา หลัวเย่เป็นผู้นําเผ่า ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร ในใจก็ต้องคํานึงถึงความอยู่รอดของเผ่ามาก่อนอยู่แล้ว
การต่อต้านก็ไม่ต่างจากลากสมาชิกทั้งเผ่าไปตาย โอกาสสําเร็จต่ําเตี้ยติดดิน หลัวเย่ย่อมไม่เลือกวิธีนี้
ทั้งกระโจมตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปพักหนึ่ง หลัวเยู่ก็ลุกขึ้นยืน “หลัวเฟิง เจ้าพักผ่อนเถอะ ไม่จําเป็นต้องเข้าร่วมการล่าในวันพรุ่งนี้”
“ท่านผู้นํา ข้าหายดีแล้ว” หลัวเพิ่งรีบลุกขึ้นท้วง
“นี่เป็นคําสั่ง” หลัวเขมวดคิ้วกล่าว หลัวเฟิงก้มหน้าลงต่ําก่อนจะกลับไปนั่งที่
“ฉินเทียน ขอต้อนรับเข้าสู่อาณาเขตหมิงไห่ หลังจากนี้ไม่กี่วันข้าจะคิดหาทางส่งเจ้าไป….”
“เจี๊ยกๆ…” มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกกระโจมพร้อมกับเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย
“อ้า….” มีเสียงกรีดร้องของสตรีหลายนางดังขึ้นจากนอกกระโจม
หลัวเย็พลันมีสีหน้าเคร่งเครียด กลิ่นอายของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเป็นจิตสังหาร เขาแค่นเสียงเย็น “อัศวินปีศาจ!”
บุรุษสองคนที่ติดตามหลัวเย่มาพลันลุกขึ้นพร้อมจิตสังหารอันเข้มข้น
หลัวเย่เดินออกจากกระโจมไปพร้อมความโกรธที่อัดแน่น ผู้ติดตามทั้งสองก็ตามติดไป
ฉินเทียนได้แต่ตะลึงกับกลิ่นอายอันแข็งกร้าวของหลัวเย่ จากนั้นจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายจากด้านนอก ฉินเทียนขมวดคิ้วขณะที่พึมพําขึ้นในใจ “พวกปีศาจ?