จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 164
นอกกระโจม ฝุ่นทรายสีเหลืองลอยฟังทั่วบริเวณ
พื้นที่ที่เคยสงบมาบัดนี้กลับตกอยู่ในความปั่นป่วน กระโจมหลายสิบหลังถูกพลิกตลบกระจุยกระจายเสียงกรีดร้องร่ําไห้ดังขึ้นระงม
เมื่อออกมานอกกระโจม ฉุนเทียนก็เห็นสภาพอันเละเทะที่ด้านนอก
พื้นที่ตรงกลางของเผ่าเป็นลานกว้างที่ปกติใช้สําหรับการประชุม
หากแต่ในเวลานี้กลับมีนักรบสวมเกราะเหล็กห้าคนขี่สัตว์ปีศาจกําลังวางท่าอยู่ แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยแววหยามเหยียดยามที่มองดูชาวเผ่าแตกตื่นลนลาน
ทั่วร่างของพวกมันสวมใส่เกราะสีดําสนิท เว้นไว้เพียงส่วนดวงตาสําหรับการมอง สายตาที่เผยผ่านเกราะเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับหยามเหยียดสรรพสิ่ง
กลิ่นอายหยินอันชั่นร้ายที่แผ่ออกจากร่างของพวกมันสร้างแรงกดดันต่อสิ่งมีชีวิตโดยรอบ ในมือพวกมันยังกุมหอกซึ่งเปล่งแสงอันเย็นเยียบออกมา
พวกสัตว์ปีศาจที่เป็นพาหนะล้วนแต่มีร่างกายใหญ่โต ร่างกายแต่ละส่วนดูแข็งแรงกํายํา ยามพวกมันหายใจยังปล่อยควันกรดออกมา เหนือส่วนจมูกขึ้นไปยังมีเขาแหลมซึ่งมีกระแสไฟฟ้ากระพริบวูบวาบอยู่เป็นระยะ
พวกมันคือแรดสายฟ้า สัตว์ปีศาจที่มีพลังป้องกันสูง ระดับห้าช่วงปลาย
สัตว์พาหนะยังดุร้ายขนาดนี้ ผู้ที่ขี่พวกมันยิ่งไม่อ่อนแอ ตัดสินจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา พวกมันล้วนบรรลุถึงขั้นสวรรค์
“หลัวเย่ ไสหัวออกมาให้กับบิดา!”
อัศวินที่อยู่ตรงกลางกระตุ้นให้แรดสายฟ้าเดินขึ้นหน้าก่อนจะตะโกนออกมา
เหล่าชาวเผ่าที่อยู่ในลานกว้างซึ่งไม่ได้อ่อนแอกว่าอีกฝ่ายได้กําหมัดกัดฟันแน่น ทั้งหมดจ้องมองไปยังเหล่าอัศวินปีศาจด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง หากไม่ใช่เพราะหวั่นเกรงขมอํานาจที่เบื้องหลังชาวเผ่าก็คงพุ่งออกไปสับสังหารเจ้าพวกนี้ไปแล้ว
“มองอะไร?”
“ยังไม่รีบไปเรียกหลัวเย่ออกมาอีก กล้าขัดขวางการทํางานของบิดา ข้าจะสังหารครอบครัวเจ้าเสียให้หมด”
“ฮีม”
อัศวินปีศาจแค่นเสียงพลางไม่กลัวเกรง เหล่าผู้ที่ต่อต้านพวกมันมีแต่ต้องตายสถานเดียว
มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าอัศวินปีศาจก็คือตัวแทนของประมุขหลัวโหว?
ไม่ไว้หน้าพวกมันก็เท่ากับไม่ไว้หน้าราชันแห่งหมิงไห่
ชนเผ่าเล็กๆแห่งนี้ย่อมถูกกวาดล้างจนสิ้นซากได้ในไม่ถึงอึดใจ
“เป็นท่านผู้ตรวจการนี่เอง ขออภัยที่ต้องให้รอขอรับ” หลัวเยเดินออกมาคุกเข่าลงเบื้องหน้าอัศวินหัวหน้ากลุ่มในใจไม่ทราบเก็บซ่อนความเคียดแค้นไว้มากเพียงใด
“เหอะ หลัวเย่ เจ้านี่ช่างกล้าจริงๆ ถึงกับให้พวกเราเป็นฝ่ายรอ ดูเหมือนเจ้าคงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตแล้วสินะ”
หัวหน้าอัศวินแค่นเสียงพลางกระตุ้นแรดสายฟ้าให้เดินไปหยุดตรงหน้าของหลัวเย่ ลมหายใจที่แรดสายฟ้าระบายออกมาพลันแผดเผาใบหน้าของหลัวเย่
หลัวเยู่กัดฟันสะกดกลั้นความเจ็บปวด รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าพลางกล่าวออกไปด้วยความเคารพ”ขอท่านผู้ตรวจการโปรดให้อภัย ครั้งหน้าจะไม่มีเช่นนี้อีกขอรับ”
อดกลั้น
“หลัวเย่ เจ้าต้องอดกลั้นไว้ในใจหลัวเย่เต็มไปด้วยความโกรธ เขากําหมัดแน่นจนเล็บฝังเข้าไปในเนื้อ
อดกลั้น เพราะหากปล่อยให้ความโกรธครอบงํา สมาชิกเผ่าทั้งหมดของเขาต้องตาย จิตใจของเขาพลันสงบ
” ไม่สนุกเอาเสียเลย” หัวหน้าอัศวินแค่นเสียงพลางสะบัดหอกไป
“นี่คือการลงโทษ หากเกิดขึ้นอีกครั้ง ชีวิตสุนัขของเจ้าจะถูกปลิดปลง”
หลัวเยู่ไม่กล้าต่อต้าน ยิ่งไม่กล้าหลบหลีก หอกนั้นผาดเข้ากับใบหน้าของหลัวเย่จนโลหิตไหลซึมแต่หลัวเยู่ไม่ได้ยกมือปาดเช็ด
“ท่านผู้นํา!”
“ท่านผู้นํา!”
สมาชิกเผ่าบางคนตะโกนพลางปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทําให้ฉันเทียนตกตะลึงออกมา มองดูหลัวเยถูกหยามเหยียดอย่างรุนแรง กระทั่งฉินเทียนที่เป็นคนนอกยังทนไม่ได้
หัวหน้าอัศวินชะงักก่อนจะตะโกนออกมา “คิดกบฏร์?”
“พวกสามัญชนที่ไม่รู้ที่ต่ําที่สูง คิกก่อกบฏงั้นรึ?”
อัศวินปีศาจปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมา หลัวเผ่พลันก้มศีรษะ “ข้าน้อยไม่กล้า”
ขณะที่ก้มศีรษะลงก็ลอบส่งสายตาให้สมาชิกเผ่าโดยรอบไม่ให้กระทํานุ่มบ่าม
หัวหน้าอัศวินหรี่ตาลงก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น “ต่อให้มอบความกล้ากว่านี้เป็นหมื่นเท่า พวกเจ้าก็ยังไม่กล้าอยู่ดีก่อกบฏมีโทษสถานเดียว ตาย!”
“หลัวเย่ พวกเรามาเพื่อบอกต่อเจ้าว่า เดือนนี้พวกเจ้าจะต้องจ่ายแก่นจํานวนหนึ่งหมื่นห้าพันแก่น ให้รวบรวมมาภายในสามวัน” ประโยคต่อมายังหนาวเหน็บยิ่งกว่า “หากไม่จัดส่งทั้งชนเผ่าจะถูกกวาดล้าง”
คํา ‘กวาดล้าง ถูกเน้นเสียงหนัก ในน้ําเสียงยังแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
“อะไรนะ? แก่นจํานวนหนึ่งหมื่นห้าพันแก่น?!”
“คิดว่าพวกเราผลิตแก่นได้เองงั้นเรอะ อย่าได้บีบคั้นกันเกินไปนัก….”
เสียงพูดคุยพลันระเบิดขึ้นทั่วลานกว้าง หนึ่งหมื่นแก่นถือเป็นขีดจํากัดของพวกเขาแล้วหนึ่งหมื่นห้าพันแก่นในเวลาสามวันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เงื่อนไขเช่นนี้คงเพราะเป็นสาเหตุเดียว อัศวินปีศาจผู้นี้คงคิดกําจัดชนเผ่าของพวกเขา
ฉันเทียนตกตะลึง เขาย่อมเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยค
ได้ยินเสียงตะโกนอย่างไม่พอใจของชาวเผ่า หัวหน้าอัศวินก็หัวเราะ “หลัวเย่ เจ้ามีเวลาสามวัน” สามวันให้หลัง หากยังจัดเตรียมไม่แล้วเสร็จ อาณาเขตหมิงไห่ย่อมไม่มีที่ให้ชนเผ่าชั้นต่ําของเจ้าอาศัยอยู่อีกฮ่าๆ…….”
กล่าวจบก็กระตุ้นให้แรดสายฟ้าออกวิ่งโดยไม่สนใจสิ่งใด
สมาชิกหลายคนถูกแรดสายฟ้าพุ่งชนจนลอยละลิ่วออกไป และไม่อาจลุกขึ้นมาอีก
ทั่วทั้งเผ่าพลันตกอยู่ในความปั่นป่วน
ท่ามกลางฝุ่นทรายปลิวคละคลุ้ง ฉุนเทียนสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของหลัวเยเริ่มปะทุออกมา กลิ่นอายนั้นรุนแรงยิ่งไม่รู้ว่าหลัวเยต้องมีความอดทนอดกลั้นมากมายเพียงใด? ฉุนเทียนทอดถอนใจ”หนึ่งหมื่นห้าพันแก่นยากยิ่ง…”
“ท่านผู้นํา ลองเสี่ยงกับพวกมันเถอะ!”
“ใช่แล้ว ลองเสี่ยงดูสักตั้ง!”
“หนึ่งหมื่นห้าพันแก่นในสามวัน นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? นี่ก็แค่ข้ออ้างที่จะกวาดล้างชนเผ่าของเราเท่านั้นท่านผู้นํามาถึงขั้นนี้แล้ว ใยไม่ลุกขึ้นสู้กับพวกมันดูสักตั้ง?”
หลัวเย่ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าของเขามืดครึมขณะที่ในใจรู้สึกเจ็บปวดยิ่ง เขาเองก็ต้องการจะสู้ทว่าสมาชิกที่พอจะต่อสู้ได้ก็มีไม่เกินหนึ่งร้อยคนเท่านั้น อีกทั้งครึ่งหนึ่งยังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บ ด้วยกําลังของพวกเขาใน ตอนนี้แล้ว ความหวังที่จะชนะย่อมไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยว
สู้งั้นรึ? นั่นก็เพียงแค่ทําให้ชนเผ่าของเขาตกตายเร็วขึ้นกว่าเดิม
แต่เขาก็ไม่หลงเหลือทางเลือกอื่นอีก
หลัวเย่รู้สึกเจ็บปวดใจ
หนึ่งหมื่นห้าพันแก่น ภาระนี้ไม่ต่างจากมีภูเขาลูกใหญ่กดทับอกจนหายใจไม่ออก
ฉันเทียนมองดูฉากที่เกิดขึ้นพลางคิดขึ้นในใจ ลุกขึ้นสู้ก็รังแต่ทําให้ทั้งเผ่าตายเร็วขึ้น แต่หากไม่ต่อต้านก็ต้องตายอยู่ดี นี่สมควรทําอย่างไร?
“มีเพียงทางเลือกเดียว ฆ่า!”
จิตสังหารของฉันเทียนเริ่มลุกโชน
ในช่วงบ่ายของวันนั้น ทั่วทั้งชนเผ่าต่างชุลมุนวุ่นวาย
ฉินเทียนติดตามหญิงชราไปพบผู้บาดเจ็บทีละคน จากนั้นใช้ทักษะปรุงยาระดับสามของเขาปรุงกลั่นยาให้ผู้บาดเจ็บ
ตอนนี้เขาเพียงช่วยได้เท่านี้
ในบ่ายวันต่อมา ทักษะในการปรุงยาของฉันเทียนก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ใกล้จะเลื่อนขึ้นเป็นระดับสี่
แม้กระนั้นฉันเทียนกลับไม่รู้สึกยินดีใดๆ สถานการณ์ภายในเผ่ากลับเป็นดั่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้ สมาชิกเผ่าส่วนใหญ่ล้วนมีอาการบาดเจ็บ ผู้ที่ยังพอต่อสู้ได้มีน้อยมาก ได้ทราบเช่นนี้ฉันเทียนก็นับว่าเข้าใจความกังวลของหลัวเยู่แล้ว
เมื่อมีข้อผูกมัดมากมายเช่นนี้ การต่อต้านย่อมไม่ใช่ทางเลือกอันประเสริฐ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ชนเผ่านี้ก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เขาย่อมช่วยเท่าที่จะช่วยได้
“ท่านยาย ในชนเผ่าท่านมีสตรีที่ชื่อว่าหงเยว่หรือไม่?
ขณะที่ฉันเทียนเดินตามหญิงชราไปตรวจดูผู้บาดเจ็บก็เอ่ยปากถามขึ้น
สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนไปก่อนที่สายตาจะเฉียบคมขึ้น นางหันไปจ้องฉุนเทียนก่อนจะถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน? ไฉนจึงรู้จักนามหงเยว่?”
ฉินเทียนตะลึง สีหน้าของหญิงชราทําให้เขาต้องขนลุก ฉุนเทียนสงบใจลงก่อนจะตอบตามจริง “เป็นเจ้าเมืองอสูรไหงื่อเยว่ส่งข้ามา”
“อะไรนะ?”
หญิงชราตกใจ นางรีบยื่นมือไปจับแขนฉุนเทียนเอาไว้ก่อนจะเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “จะ…เจ้า ผู้ที่เจ้าเรียกว่าไหงื่อเยว่….ใช่สตรีที่มีเส้นผมสีม่วงและดวงตาสีม่วงหรือไม่?”
ฉินเทียนพยักหน้า “ใช่แล้ว”
“ขอบคุณสวรรค์ องค์หญิงจือเยว่ยังมีชีวิตอยู่” ร่างของหญิงชราสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น หยดน้ําตาเริ่มไหลเต็มใบหน้า”ตามข้ามา”
หญิงชราจับแขนของฉันเทียนแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไป
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงกระโจมของผู้นําเผ่า
ภายในกระโจมเงียบงันจนวังเวง เมื่อเห็นหญิงชราเดินเข้ามา หลัวเฟิงก็ประหลาดใจ “ท่านแม่ไฉนท่านมาแล้ว?”
หลัวเยู่หันมองมา เมื่อสังเกตเห็นแววตาที่ดูตื่นเต้นยินดีของหญิงชราก็อดหันไปถามฉุนเทียนที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น?”
หญิงชรากลืนน้ําลายก่อนจะกล่าวออกมา “ท่านผู้นํา พวกเรามีบางอย่างต้องพูดคุยกับท่าน”
“ท่านแม่ พวกเรากําลังประชุมเรื่องสําคัญกันอยู่” หลัวเฟิงลุกขึ้นเดินไปหาหญิงชรา
หญิงชราฉุดลากฉันเทียนก้าวขึ้นหน้าโดยไม่สนใจหลัวเฟิง “เป็นเรื่องสําคัญมากๆ”
เห็นท่าทีของหญิงชรา ผู้อาวุโสหลายคนก็เริ่มไม่พอใจ ไฉนหญิงชราจึงบุกรุกเข้ามาขัดขวางการประชุมของพวกเขา? กระทั่งยังขอให้พวกเขาถอยออกไปก่อนขณะที่พวกเขาประชุมมาถึงช่วงสําคัญนางคิดสร้างปัญหา หรือ?
หลัวเย่มองหญิงชราคราหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “ออกไปก่อน พวกค่อยคุยกันต่อในภายหลัง”
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสหลายคนถลึงตามมองหญิงชราก่อนเดินออกไป
เมื่อคนทั้งหมดออกไปแล้ว หญิงชราก็เดินเข้าไปกล่าวเบาๆกับหลัวเย่ “องค์หญิงจือเยว่ยังมีชีวิตอยู่”
คํากล่าวของนางประดุจสายฟ้าอัสนีฟาดผ่าลง
หลัวเย่เบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยถามอย่างจริงจัง “อะไร? เรื่องจริงงั้นรึ?”
“เป็นเรื่องจริง ที่รอบกายนางยังมีสาวใช้อีกนับสิบ”
ฉันเทียนเอ่ยตอบ สาวใช้แต่ละนางล้วนงามพิลาศล้ํา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลืมเลือน เห็นใบหน้าอันตื่นเต้นยินดีของพวกหลัวเยู่แล้วฉุนเทียนก็ประหลาดใจ ดูเหมือนฐานะในจิตใจชาวเผ่าของไหงื่อเยว่จะสูงส่งมากและบางที่พวกเขาอาจจะคิดว่าไหงื่อเยว่ได้ตายไปแล้วเมื่อหลายพันปีก่อน
“องค์หญิงจือเยว่ยังมีชีวิตอยู่!” หลัวเยู่ใจสั่นสะท้าน เขารีบเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “นางได้บอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด? บอกหรือไม่ว่าจะกลับมานําพวกเราต่อสู้กับหลัวโหวว?”
“นางไม่ได้บอก แต่นางได้ขอให้นางมาพาหงเยว่กลับไป” ฉุนเทียนตอบ “ดูเหมือนนางคงไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
“หงเยว!”
สีหน้าของหลัวเมืดครึ้มลง
หญิงชราถอนหายใจ “หงเยว่ตายแล้ว”
“ตายแล้ว?”
ได้ยินเช่นนี้ฉินเทียนก็ใจหายวาบ หัวสมองพลันเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
ตายไปแล้วเช่นนั้นภารกิจของเขาจะทําให้สําเร็จได้อย่างไร?