จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 165
“ตาย?”
ฉันเทียนนิ่งอึ้งก่อนจะสบกขึ้นในใจ ตายแล้วแบบนี้ บิดาจะเคลียร์เควสได้ยังไง? แล้วหอทมิฬของข้าล่ะ?”
หงเยว่ตายหรือไม่ไม่ได้ส่งผลต่อจิตใจของเขา แต่เขารับภารกิจมาแล้ว ดังนั้นความเป็นความตายของนางย่อมสําคัญ เมื่อหงเยวตายไปเช่นนี้ ภารกิจของเขาก็จะไม่มีวันสําเร็จและไหงื่อเยว่ก็ย่อมไม่ส่งมอบหอทมิฬให้กับเขายิ่งไม่ต้องพูดถึงรางวัลอื่นๆ
เป็นไปไม่ได้
ระบบจะต้องไม่ผิดพลาด ต่อให้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง มันก็จะเปลี่ยนแค่ระดับของภารกิจจะไม่ยกเลิกเด็ดขาด
ต้องมีปัญหาตรงไหนสักที่
มองดูสีหน้าอันเจ็บปวดของพวกหลัวเย่ นินเทียนก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะโกหก
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ นี่ไม่เท่ากับเขามาเสียเที่ยวหรอกเหรอ?
น้องสาวมันเถอะ นี่ไม่ใช่บิดาถูกโกงแล้วหรอกนะ?” ฉุนเทียนสบถในใจ จากนั้นจึงหันไปถามหลัวเย่ “เป็นไปได้หรือไม่ว่าแค่ชื่อเหมือน? ไหงื่อเยว่คงไม่ส่งข้ามารับคนตายกลับไปหรอกกระมัง?”
“องค์หญิงจือเยวมีน้องสาวเพียงคนเดียว นั่นคือองค์หญิงหงเยว”
“นางตายไปเมื่อสามร้อยปีก่อนยามเมื่ออายุขัยของนางสิ้นสุดลง”
หลัวเย่กล่าวออกมาด้วยสีหน้าหวนรําลึก การตายของหงเยาสร้างความปั่นป่วนไปทั่วทั้งเผ่า แต่เมื่อได้ยินว่าไหงื่อเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ความหวังก็ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้ง
เผ่าหลัวครั้งหนึ่งเคยเป็นชนเผ่าขนาดใหญ่ เป็นเผ่าผู้พิทักษ์ของอาณาเขตหมิงไห่
ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อสามพันปีก่อน บรรพชนของเผ่าหลัวพยายามลุกขึ้นต่อต้านกระนั้นก็ยังไม่อาจหยุดยั้งการล้างสังหารของหลัวโหวซิว ทว่าพวกเขาก็ยังสามารถช่วยเหลือบุตรีทั้งสองของประมุขเผ่าหมิงไฟไว้ได้
ไหงื่อเยว่นําสมาชิกเผ่าบางส่วนหลบหนีออกจากอาณาเขตหมิงไห่ นางต้องการจะหาสถานที่อันสงบเพื่อทะลวงผ่านไปยังขั้นไร้มลทินและกลับมาปลดแอกชนเผ่าหมิงไห่
ในตอนนั้นหงเยว่ไม่ต้องการจากไปและเลือกที่อาศัยอยู่กับสมาชิกเผ่าบางส่วนที่ชายขอบของอาณาเขตหมิงไห่ตัวนางไม่เคยบ่มเพาะพลังฝีมือแม้สักครั้ง ดังนั้นอายุขัยของนางจึงค่อยๆสิ้นสุดลง
เผ่าหลัวเศร้าเสียใจกับการจากไปของนาง แต่พวกเขาก็ทําอะไรไม่ได้
ตลอดหลายพันปีมานี้ พวกเขาเพียงเฝ้ารอคอยการกลับมาของไห้จื้อเยว่
หากแต่ในใจของพวกเขาย่อมทราบดี ไห่ซื้อเยว่จะไม่มีวันกลับมา ปีนั้นหลัวโหวนํากําลังไล่ล่าสังหารพวกไห่จือเยว่ด้วยตนเอง มีผู้คนจํานวนมากที่ตกตายในระหว่างทาง และเป็นไปได้สูงมากว่าไหงื่อเย่วก็คงไม่รอด
ตอนนี้ได้ยินว่าไหงื่อเย่วยังไม่ตายหลัวเย่ก็ตื่นเต้นมาก
อย่างไรก็ตามฉุนเทียนกลับไม่ยินดีแม้แต่น้อย ในใจวิเคราะห์คําพูดของไหงื่อเย่วอีกหลายหนจากสีหน้าท่าทางของนางในตอนนั้น ฉุนเทียนมั่นใจว่ามันต้องไม่ใช่เพียงแค่พี่สาวต้องการช่วยเหลือน้องสาวแน่ต้องมีบางสิ่งที่นางปกปิดเอาไว้ แต่มันคืออะไรกันล่ะ?
เมื่อขบคิดไม่เข้าใจ ฉุนเทียนก็เปิดหน้าต่างระบบขึ้นดู ภารกิจยังขึ้นสถานะดําเนินการ ไม่ได้ถูกยกเลิก
ในเมื่อภารกิจยังคงดําเนินอยู่ เช่นนั้นหงเยว่ก็อาจจะยังไม่ตาย…..
ฉันเทียนนิ่งอึ้งก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป “ร่างของหงเยว่ยังอยู่ที่นี่หรือไม่?”
“เจ้าต้องการจะทําอะไร?”
หงเยว่เป็นองค์หญิงของชนเผ่าหมิงไห่ แม้ว่านางจะตายไปแล้ว แต่พวกเขาจะยอมให้คนนอกมาหมิ่นเกียรติของนางได้อย่างไร? หลังเหรี่ตาจ้องมองฉันเทียนพร้อมจิตสังหารที่เริ่มแผ่พุ่งออกจากร่าง
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องมีคําอธิบายให้กับเจ้าเมืองไหงื่อเยว”
ฉันเทียนรีบอธิบายพลางคิดขึ้นในใจ นําศพกลับไปย่อมไม่ง่าย ดังนั้นข้าจะต้องหาวิธี
บรรยากาศพลันผ่อนคลายลง
หลัวเยู่หัวเราะ “ต้องขออภัยด้วย ร่างขององค์หญิงหงเยว่ยังอยู่ที่นี่ ผ่านไปหลายร้อยปี แต่ศพของนางไม่เคยเน่าเปื่อย ยังคงเหมือนตอนที่นางมีชีวิตอยู่”
“ใช่จริงด้วย
ฉินเทียนนิ่งครุ่นคิด แววตายิ่งมายิ่งเปล่งประกาย
“น้องฉันใช่มีเรื่องที่ยากจะกล่าวออกมาใช่หรือไม่?”
“หากว่ามีก็กล่าวออกมาเถอะ เจ้าเป็นคนที่องค์หญิงจือเยว่ส่งมา พวกเราย่อมต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่” หลัวเย่กล่าวอย่างหนักแน่น
หญิงชราหันไปมองฉันเทียนก่อนจะกล่าวว่า “เพียงบอกต่อท่านผู้นําก็ได้”
“นี่ยากจะกล่าวได้……
“เกรงว่ากล่าวออกไปคงเป็นการล่วงเกินทั้งชนเผ่า
“แม้ว่าเจ้าเมืองไหงื่อเยว่จะมอบหมายให้ข้าพาหงเยว่กลับไป แต่ตอนนี้…..
ฉินเทียนลังเลสีหน้าของเขาดูอึดอัดอย่างมาก หากหลัวเย่อนุญาตให้เขานําร่างของหงเยว่กลับไปก็คงจะดีแต่หากว่าหลัวเย่ไม่อนุญาต…เขาควรจะทําเช่นไร?
ใช้กําลังช่วงชิงงั้นรึ?
พลังฝีมือของหลัวเยไม่ต่ําทรามแม้แต่น้อย ลําพังฉินเทียนยย่อมไม่ใช่คู่มือของเขา ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่รู้ร่างของหงเยว่ถูกเก็บไว้ที่ไหน
กระนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่เขาสมารถยืนยันได้ สถานที่นั้นจะต้องสามารถเข้าถึงได้ มิเช่นนั้นหลัวเยต้องไม่บอกว่าตลอดหลายร้อยปีร่างกายของหงเยว่ยังไม่เน่าเปื่อย หากไม่เข้าไปเห็นด้วยตาตนเอง หลัวเยต้องไม่กล่าวออ กมาเช่นนั้น
ดูเหมือนเขาจะต้องสํารวจดูสักเที่ยว
ฉันเทียนครุ่นคิดอยู่เงียบๆ และเตรียมพร้อมรับมือหากว่าสถานการณ์พัฒนาไปในทางที่เลวร้ายที่สุด
“ร่างขององค์หญิงหงเยว่ไม่อาจนําออกนอกเผ่า เว้นเสียแต่ว่าองค์หญิงจือเยว่จะมานําไปด้วยตัวนางเอง”หลัวเย่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ดังคาด ฉุนเทียนคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้
ตอนนี้เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าหงเยว่จะต้องกุมความลับบางอย่างเอาไว้
และดูเหมือนว่าหลัวเย่ ผู้นําของเผ่าหลัวจะล่วงรู้อะไรบางอย่าง
ฉันเทียนไม่ได้กล่าวร้องขอออกไป เขาเพียงถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “เพียงไม่รู้ว่าจะอธิบายต่อเจ้าเมืองหงื่อเย่วอย่างไร”
ฉินเทียนถอนหายใจ หลัวเยี่ยังคงไม่คลายความระมัดระวังต่อฉุนเทียน
หลัวเยู่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉุนเทียนเลยแม้แต่น้อย คนนอกผู้นี้จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา แม้จะมาในสภาพที่บาดเจ็บแต่ใครจะรู้เล่าว่าเขาจงใจให้ตนตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือไม่?
หรือเขาต้องการร่างขององค์หญิงหงเยว่?
เขาเป็นคนที่องค์หญิงไหงื่อเย่วส่งมาจริงหรือไม่? หรือเขาจะเป็นคนของหลัวโหว?
เขาใช่ล่วงรู้อยู่แล้วหรือไม่ว่าองค์หญิงหงเยว่เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าหมิงไห่และครอบครองหัวใจแห่งหมิงไห่?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสงสัยกับการปรากฏตัวของฉันเทียน หัวใจแห่งหมิงไห่ของหงเยวถือเป็นความหวังสุดท้ายของทั้งชนเผ่า หากว่าตกไปอยู่ในมือของหลัวโหว พวกเขาก็จะหมดหนทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลัวเย่หวาดระแวงฉินเทียน
มีเพียงผู้นําเผ่าเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้ คนอื่นๆย่อมไม่รู้
“น้องฉัน ตอนที่เจ้าได้พบกับองค์หญิงจือเยว่ ให้บอกต่อนางว่าองค์หญิงหงเยว่ยังสบายดีและรอคอยการกลับมาของนางอยู่” หลัวเยยิ้มกล่าว
“ยังสบายดีและรอคอยนางกลับมา?
ฉุนเทียนกล่าวทวนซ้ําอยู่ในใจ นี่ยิ่งทําให้เขามั่นใจว่าหงเยว่จะต้องมีความลับบางอย่าง จะต้องเป็นความลับที่สําคัญจนสามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ของทั้งชนเผ่า
“เข้าใจแล้ว” ฉุนเทียนพยักหน้า เรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะดื้อดึงต่อไป หากว่ายังดื้อดึงต่อไปคงยิ่งสร้างความตื่นตัวต่อหลัวเย่มากขึ้น ทั้งหมดที่ทําได้ในตอนนี้คือได้รับความเชื่อใจจากหลัวเย่เสียก่อน
การที่หลัวเก่จะมีทัศนคติต่อเขาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ หากเขาเป็นหลัวเย่ เขาก็คงไม่เชื่อใจคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงครึ่งวันเช่นกัน
“ท่านผู้นํา”
มีเสียงดังขึ้นจากนอกกระโจม
หลัวเย่กลับมาเยือกเย็นดังเก่า เขาหันไปกล่าวกับหญิงชรา “อย่าได้แพร่งพรายเรื่องที่องค์หญิงจื้อเย่วยังมีชีวิตออกไปแม้แต่หลัวเฟิงก็ด้วย”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
ฉินเทียนเองก็พยักหน้าให้
“เข้ามาได้” หลัวเย่กระแอมก่อนจะตอบกลับ
บุรุษร่างกํายําที่มีมัดกล้ามทั่วร่างพลันเดินเข้ามาในกระโจม เมื่อพบเห็นฉันเทียน เขาก็หัวเราะกล่าว “ไอ้หนูนี่เจ้ายังรอดอยู่งั้นรึ?”
กลิ่นอายที่สัมผัสได้ทําให้ฉุนเทียนคุ้นเคยอยู่บ้าง นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉุนเทียนก็นึกออกก่อนจะกล่าวว่า “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“ฮ่าๆ……..”
บุรุษร่างกํายําผู้นี้มีชื่อว่าหลัวควง ลักษณะนิสัยดูเป็นคนเปิดเผย หนักแน่นและกล้าหาญ เพียงแต่อารมณ์รุนแรงไปบ้าง ปฏิบัติต่อสหายด้วยดี ทว่าแข็งกร้าวต่อศัตรู
“หลัวควง ตระเตรียมเหยื่อล่อแล้วหรือไม่?” หลัวเยถาม
“เรียบร้อยแล้ว” หลัวควงตอบก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ําเสียงที่ดูกังวล “แต่ข้าเกรงว่าการระเบิดของแก่นระดับแปดของปลาไหลไฟฟ้าจะชักนําสัตว์อสูรตัวอื่นๆมานับหมื่น เผ่าของเราใช่ต้านทานอยู่หรือไม่?”
“ต่อให้ต้านไม่ได้ก็ต้องได้” หลัวเย่หน้าเครียดลง “วันนี้พวกอัศวินปีศาจมาที่เผ่าของเราและให้พวกเราจัดเตรียมแก่นจํานวนหนึ่งหมื่นห้าพันแก่นในเวลาสามวัน หากขาดตกไปแม้สักลูกก็จะถูกฆ่าล้างเผ่า”
“ว่าไงนะ?”
หลัวควงกําหมัดแน่นขณะที่ไอสังหารลุกโชนทั่วร่าง “พี่ใหญ่ ใยพวกเราไม่ลุกขึ้นสู้ หนึ่งหมื่นห้าพันแก่นเว้นเสียแต่พวกเราจะสังหารสัตว์อสูรที่ล่อมาได้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นย่อมไม่พอแน่”
“ดังนั้นจึงต้องปิดผนึกเส้นทางถอย”
“ปิดเส้นทางถอย? จะใช้อะไรไปปิดกันเล่า? สัตว์อสูรเป็นหมื่นๆ ทั้งท่านและข้าย่อมไม่อาจต้านทานอาการบาดเจ็บของหลัวเฟิงท่านก็ทราบดี ครั้งนี้สังหารได้สักสองพันก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว”
สัตว์อสูรเป็นหมื่นๆ?”
ฉันเทียนไม่ได้ฟังประโยคอื่น มีเพียงประโยคนี้ที่เข้าหูของเขา ได้ยินเช่นนี้ ฉันเทียนก็รู้สึกพลุ่งพล่านสัตว์อสูรเป็นหมื่นนั่นเป็นค่าประสบการณ์มากมายเพียงใดกัน? หากสังหารได้หมดไม่ใช่ว่าจะส่งเขาเลื่อนไปขั้นสวรรค์เลยหรอกเหรอ?
ฉินเทียนสึกเหิมขึ้นมาแล้ว
“เพื่อที่จะตอบแทนเรื่องที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะเป็นผู้ปิดเส้นทางถอยของพวกมันและจะไม่ปล่อยให้พวกมัน หนีรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียวเอง”
“เจ้า?”
“เจ้าน่ะ?”
ทั้งหลัวเยู่และหลัวควงต่างโพล่งออกมาพร้อมกัน ทั้งสองหันไปมองหน้ากันก่อนจะยึดถือคําพูดของเขาเป็นดั่งสายลมพัดผ่าน พวกเขาเริ่มหารือแผนการกันต่อ
ถูกเมินโดยสิ้นเชิง
ฉือนเทียนนิ่งอึ้ง คิดไม่ถึงว่าตนเองในสายตาของพวกเขาจะอ่อนแอถึงขั้นนั้น
พวกเขาถึงกับไม่ยึดถือคําพูดของฉันเทียนเป็นจริงจัง
แต่มีหรือที่ฉันเทียนจะปล่อยให้โอกาสฟ้าประทานเช่นนี้หลุดมือไป?
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทะลวงไปขั้นสวรรค์ หลังจากครอบครองพลังสวรรค์แล้วก็จะมีทุนรอนเรื่องรางของหงเยว่
ประเด็นคือ หากครั้งนี้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ฉันเทียนก็จะได้รับความไว้วางใจจากหลัวเย่
ถึงตอนนั้นเรื่องราวก็จะง่ายขึ้นแล้ว
ที่คิดไว้ย่อมไม่เพียงแค่นั้น ฉุนเทียนยังคิดถึงภารกิจที่รับมาจากสํานัก การรวบรวม เพลิงทะเลลี้ลับหากนํากลับไปแลกเปลี่ยนเป็นแต้มผลงานได้ก็คงไม่เลว
“พวกท่าน…..”
ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกไป “ให้ข้าร่วมล่าด้วยได้หรือไม่?”
“เจ้าอ่อนแอเกินไป ไม่เหมาะ อยู่ในเผ่าช่วยมารดาหลัวเฟิงรักษาคนเจ็บเถอะ อีกอย่าง เจ้าไม่ใช่สมาชิกของเผ่าคงไม่ดีหากปล่อยให้เจ้าเกิดเรื่อง” หลัวเก่บอกก่อนจะหันไปปรึกษากับหลัวควงต่อ
ฉินเทียนรู้สึกหมดคําจะกล่าว
นับตั้งแต่ที่ข้ามมายังโลกใบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมองข้ามเขาถึงขนาดนี้
ฉินเทียนได้แต่นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา ในใจเจ็บปวดจนอยากซุกร่างเข้ามุมกําแพง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาต้องเข้าร่วมให้จงได้
จะปล่อยโอกาสในการบรรลุขั้นสวรรค์ไปได้ยังไง?
โอกาสดีมาอยู่ตรงหน้าเสียขนาดนี้ มีหรือที่จะไม่คว้าเอาไว้?
สัตว์อสูรเป็นหมื่นๆ นี่มันสวรรค์สําหรับเขาชัดๆ! พลาดโอกาสนี้ไปยังจะไปหาโอกาสไหนได้อีก?
ฉันเทียนตัดสินใจว่าจะลอบติดตามไป.