ตอนที่ 166

รวบรวมแก่นจํานวนหนึ่งหมื่นห้าพันแก่นในเวลาสามวันด้วยกําลังคนไม่ถึงร้อย เรื่องนี้ยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์

แต่หากว่าการล่าในครั้งนี้ประสบความสําเร็จ เช่นนั้นก็ยังพอมีโอกาส

ดังนั้นแม้ว่าอาจเสี่ยงไปบ้าง แต่หลัวเย่คงต้องปิดเส้นทางถอยเอาไว้ด้วยตนเอง

ฉินเทียนไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใด การปิดทางถอยนั้นยากขนาดนั้นเลย?

อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาจะล่ากันอย่างไร?

ฟังจากคําพูดก่อนหน้าของหลัวควงแล้ว ดูเหมือนว่าจะพูดถึงเหยื่อล่ออะไรสักอย่าง

เมื่อคิดถึงปลาไหลไฟฟ้าที่ลากกลับมาวันนั้น ฉุนเทียนก็พอจะคาดเดาออกแล้วว่านั่นก็คือเหยื่อล่อที่ว่าการระเบิดของแก่นจะปลดปล่อยพลังงานที่สะสมเอาไว้ในนั้นออกมา พวกสัตว์อสูรทั้งหลายย่อมถูกดึงดูดมา

ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา การสังหารสัตว์อสูรบางส่วนย่อมไม่ยากเกินความสามารถ

ที่สําคัญก็คือเส้นทางถอย

หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว ฉันเทียนก็พอจะเข้าใจว่าทําไมเส้นทางถอยจึงเป็นจุดที่สําคัญที่สุด

คืนนั้นฉันเทียนนั่งบ่มเพาะอยู่ในกระโจมและใช้กลิ่นอายนักล่าช่วยกําจัดพลังตกค้างให้กับเหยาคงจากนั้นจึงเริ่มใช้เวลาหลอมกลั่นแก่นอสูรเพื่อเติมพลังปราณไว้ในจุดตันเถียน

เมื่อจะต้องเผชิญกับคลื่นสัตว์อสูร ฉุนเทียนก็ต้องเตรียมพลังปราณเอาไว้ให้เพียงพอใช้งานมิเช่นนั้นหากเกิดเหตุระหว่างต่อสู้คงย่ําแย่แล้ว ทว่าอาศัยเพียงพลังปราณจากแก่นยังคงไม่พอยังต้องมีโอสถอีกจํานวนหนึ่ง

คืนนั้นฉันเทียนจัดเตรียมสิ่งต่างๆจนไม่ได้พักผ่อน

ผู้ที่วุ่นวายจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนย่อมไม่ได้มีเพียงฉินเทียน สมาชิกของเผ่าเองก็วุ่นวายตลอดคืนหลัวเย่ได้จัดสรรหน้าที่ตําแหน่งป้องกันและกลุ่มออกล่าจากนั้นเขาจึงเรียกรวมสตรีและคนชรามาเพื่อเตรียมตัวขุดแก่

อาจกล่าวได้ว่าเผ่าหลัวทั้งเผ่าแทบจะเข้าสู่สภาพพร้อมทําสงคราม

การล่าครั้งนี้ หากว่าพวกเขาทําไม่สําเร็จ…หลัวเปคิดถึงตรงนี้ก็ไม่กล้าคิดต่อไป

เมื่อแสงแรกมาถึง ทุกอย่างก็เตรียมการเสร็จสิ้น ภายในลานกว้างของเผ่า ชาวเผ่าที่สวมใส่เกราะและตรีศูลอยู่ในมือนับร้อยก็มารวมตัวกันสีหน้าแววตาของคนทั้งหมดล้วนเผยความมุ่งมั่นออกมาอย่างแรงกล้า

ฉินเทียนที่มองดูมาจากมุมมืดยังอดเดาะลิ้นเสียไม่ได้ ชาวหมิงไห่ช่างมีร่างกายแข็งแกร่งจริงๆย้อนกลับมาดูร่างอันผอมบางของตัวเองแล้วในใจก็ยิ่งรู้สึกอิจฉา

ร่างกายอันกํายํา โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกายสิ่งเหล่านี้ทําให้ชาวหมิงไห่แข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะมนุษย์ทั่วๆไป

ด้วยขุมกําลังที่เผ่าหลัวมีแล้ว กระทั่งสํานักนิกายระดับสามก็ยังเทียบพวกเขาไม่ได้เสียด้วยซ้ํา

หลัวเยู่แหวกกระโจมเดินออกมา ตัวเขาในเวลานี้เปลี่ยนมาสวมใส่เกราะสีแดงที่แผ่แสงออกมาเป็นพักๆตรีศูลที่อยู่ในมือก็มีสีแดงไม่ต่างจากชุดเกราะราวกับสร้างมาคู่กัน

“ฆ่า!”

ชาวเผ่าที่อยู่ในลานกว้างร้อยกว่าคนพลันส่งเสียงตะโกนตอบ “ฆ่า ฆ่า ฆ่า!”

เสียงตะโกนอย่างพร้อมเพียงนี้ได้ปลุกกระตุ้นให้คนทั้งหมดรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ไม่เว้นแม้แต่ฉินเทียน

ทั้งเผ่าเคลื่อนกําลังเข้าสู่หุบเขาด้วยขวัญกําลังใจที่เต็มเปี่ยม

เฉินเทียนเก็บซ่อนกลิ่นอายก่อนจะลอบติดตามไป………..

ตู้ม……

โฮก…….

เมื่อออกมาจากเผ่า พวกเขาก็เข้าสู่เขตพทะเลสีดํา ห่างไปไม่ไกลมีเสียงสัตว์อสูรคํารามดังแว่วมา

เสียงคํารามนั้นทําให้พื้นดินใต้ทะเลสั่นสะเทือน คลื่นน้ํากระเพื่อมอย่างปั่นป่วน

เผชิญกับคลื่นใต้น้ําอันแสนปั่นป่วน สีหน้าของเหล่านักรบเผ่าหลัวล้วนไร้ซึ่งความหวาดเกรงตรงกันข้ามแววตาของพวกเขายังเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

ในพื้นที่ทะเลแถบนี้ พวกเขาก็คือผู้ปกครอง สัตว์เล็กสัตว์น้อยใต้ทะเลย่อมไม่อาจทําให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวอะไร

คลื่นน้ํายิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์อสูรจํานวนมากเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่หุบเขา บ้างก็มาเป็นกลุ่ม บ้างก็มาเพียงตัวเดียวทว่าแววตาของพวกมันทั้งหมดล้วนแต่เผยแววตื่นเต้นออกมา

พลังของแก่นระดับแปดนั้นดึงดูดใจอย่างยิ่ง

สัตว์อสูรระดับห้าที่หลอมกลั่นแก่นระดับแปดได้จะช่วยให้มันเลื่อนระดับได้ถึงสองระดับ!

เมื่อออกห่างจากหบเขามาได้สิบกิโลเมตร ทั้งเผ่าก็หยุดอยู่กับที่ หลังจากหลัวเยโบกมือคราหนึ่งทั้งหมดก็พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

จีนเทียนคาดเดาว่าคงมีเรื่องเกิด เขาเรียกใช้บ้าคลั่งขั้นที่สองก่อนจะไล่ตามหลังไป

โฮก…………..

โฮก……

สัตว์อสูรทะเลต่างเริ่มส่งเสียงคํารามเป็นการประกาศอาณาเขต

ทว่าเสียงคํารามเหล่านั้นล้วนไม่ได้ผล สัตว์อสูรต่างกลุ่มยังคงทยอยหลั่งไหลเข้ามา

หุบเขาที่เคยกว้างขวางพลันเปลี่ยนเป็นคับแคบขึ้นมา พวกสัตว์อสูรเริ่มเปิดฉากต่อสู้กันเองไม่ว่าซากศพหรือแก่นของปลาไหลไฟฟ้าก็ล้วนแต่มีส่วนช่วยในการยกระดับของพวกมัน

“น้องรอง ระวังตัวด้วย”

หลัวเย่กล่าวเตือน

หลัวควงยิ้มตอบ “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล ข้าจะเฝ้าทางถอยของพวกมันเอาไว้เอง ส่วนพวกที่อยู่ด้านในต้องให้ท่านจัดการแล้ว”

หลัวเย่หันไปมองหลัวควงอย่างจริงจังก่อนจะนํานักรบของเผ่าเข้าสู่หุบเขา

หลัวควงสูดหายใจเข้าปอด กลิ่นอายสุดแกร่งปะทุออก ร่างของเขามุ่งตรงไปยังทางเข้าหุบเขา

สภาพทางภูมิศาสตร์และองค์ประกอบของหุบเขานั้นค่อนข้างพิเศษ หากมองจากด้านบนลงมาจะเห็นว่าหุบเขาแห่งนี้คดเคี้ยวและวกเป็นวง และนั่นก็ทําให้หุบเขาแห่งนี้มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวดังนั้นเมื่อพวกสัตว์อสูรถูกบีบจนต้องหลบหนี แรงกดดันที่ใหญ่ที่สุดย่อมตกใส่หัวผู้ที่เฝ้าปิดเส้นทางเข้าออกนั้น

ด้วยกําลังรบที่มีอย่างจํากัด พวกเขาย่อมส่งคนไปเฝ้าได้ไม่มาก

หลัวควงร่อนตัวลงพร้อมกับฟาดตรีศูลในมือออกไปอย่างดุดัน กลิ่นอายสุดแกร่งกร้าวไม่ต่างจากขุนเขาขนาดยักษ์พลันโถมไปยังทางออกหุบเขา

สัตว์อสูรที่อยู่แถบนั้นนับร้อยตัวพลันตกตายในทันที

ฟองโลหิตฟุ้งกระจายคละคลุ้ง เผชิญกับสัตว์อสูรระดับห้า เพียงกระบวนท่าเดียวของพวกเขาก็เข่นฆ่าได้ทั้งฝูง

ตอนนี้เองที่ฉันเทียนค้นพบว่าพวกเขาเพียงพึ่งพากําลังกายล้วนๆ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีกําลังกายแข็งแกร่งเพียงใดหลังโรมรันกับสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก พละกําลังของพวกเขาก็จะค่อยๆถดถอยจนไม่อาจสังหารอย่างง่ายดายอีก

พวกสัตว์อสูรพลันแตกตื่นประดุจนกตื่นเกาทัณฑ์ พวกมันเริ่มดิ้นรนเพื่อหลบหนี เผชิญกับคลื่นสัตว์อสูรที่บ้าคลั่งหลัวควงจะต้านทานได้อย่างไร?

การเข่นฆ่าภายในหุบเขาเริ่มดเดือดขึ้น

ฉินเทียนยังคงซ่อนตัวเฝ้ามองดู ไม่ได้รีบร้อนจะลงมือแต่อย่างใด

สัตว์อสูรที่เลือกถอยหนีเริ่มเพิ่มจํานวนขึ้น ตอนแรกหลัวควงยังต้านทานไว้ได้ไม่ยาก แต่ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งรับมือด้วยความยากลําบากที่ปากทางเข้าออกของหุบเขาสุมซ่อนไว้ด้วยซากศพสัตว์อสูรเป็นภูเขาตามร่างของหลัวควงปรากฏบาดแผลอยู่เกลื่อนกลาด

“หวี่……………..

ภายในหุบเขาพลันมีเสียงแตรดังขึ้น

นี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพวกสัตว์อสูรได้ฝ่าแนวป้องกันไปแล้ว

หลัวควงเบิกตากว้าง ตรีศูลในมือจ้วงแทงใส่สัตว์อสูรที่วิ่งเข้ามาก่อนจะเหวี่ยงสะบัดไปด้านข้าง

ครืน…..

เสียงการต่อสู้อันรุนแรงดังออกมาจากภายในหุบเขา กลิ่นอายบางส่วนเริ่มมุ่งหน้ามายังทางเข้าหุบเขาหลัวควงกระชับตรีศูลที่อยู่ในมือพลางคําราม”ไสหัวเข้ามา!”

เห็นกลุ่มสัตว์อสูรนับพันปรากฏขึ้นในระยะสายตา ฉันเทียนก็รู้สึกตื่นเต้น

กลุ่มสัตว์อสูรที่พุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งนับพันย่อมไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะหยุดยั้งได้ หลัวควงบิดคอคราหนึ่งก่อนที่ร่างกายของเขาจะปลดปล่อยกลิ่นอายพลังปราณอันมหาศาลออกมาวินาทีนั้นฉันเทียนรู้สึกราวกับตนเองกําลังเห็นภาพหลอนว่าหลัวควงตัวใหญ่ขึ้นนับสิบเท่ากลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ

หลัวควงโบกตรีศูลในมือคราหนึ่งก่อเป็นคลื่นน้ําสามสายพุ่งตรงเข้าใส่ฝูงสัตว์อสูร

เผชิญหน้ากับคลื่นน้ําที่พุ่งเข้าใส่ พวกสัตว์อสูรไม่ได้ชะลอความเร็วแต่อย่างใด ตรงกันข้ามพวกมันกลับเพิ่มความเร็วขึ้นและพุ่งปะทะกับคลื่นน้ํา…..

ฉวะ…….

สัตว์อสูรที่อยู่แถวหน้าพลันถูกตัดขาดครึ่งท่อน แต่ความเร็วของคลื่นน้ําเองก็ลดลงเช่นกันเมื่อผ่านสัตว์อสูรแถวแรกไปพลังของมันก็ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสาม

สัตว์อสูรในแถวที่สองบาดเจ็บประปราย ไม่ได้สูญเสียอย่างหนักเหมือนสัตว์อสูรแถวแรก

ลําคอของหลัวควงพลันเขม็งเกร็งจนเส้นเลือดปูดโปน ใบหน้าทอแววเคร่งเครียด เขากระทืบเท้าส่งตัวพุ่งเข้าหาฝูงสัตว์อสูร

ตรีศูลในมือกวัดแกว่งอย่างเร็วรี่ กระนั้นกลับดูเหมือนว่าความเร็วของฝูงสัตว์อสูรจะไม่ลดลงแม้แต่น้อยสถานการณ์เริ่มเลวร้าย ดังนั้นหลัวควงจําต้องถอยกลับไปยังจุดเดิมอย่างเสียไม่ได้

ทันใดนั้นจู่ๆขาของเขาก็เกิดสะดุดจนเสียหลักล้มหงายหลัง หลัวควงใจหายวาบ เขารีบแทงตรีศูลไปด้านหลังเพื่อหวังคําร่างตนเองไว้ทว่าที่ด้านหน้ากลับปรากฏสัตว์อสูรระดับเจ็ดสองตัวพุ่งเข้าโจมตี…

หลัวควงตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี หากว่าเขาหงายหลังล้มลงไป เกรงว่าการยืนกลับมาคงไม่ง่ายแล้ว

ในขณะที่ตกอยู่ในหัวงวิกฤต เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้นแทรก

“เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า จงฟาดผ่า!”

“ทําลายพวกมันซะ…” ร่างของฉุนเทียนลอบลงมาจากทางด้านบน ปราณเพลิงสีม่วงแผ่พุ่งออกโดยรอบบริเวณก่อนที่วินาทีต่อมาอัสนีบาตจะผ่าลงมา

เสียงสายฟ้าค่ารามดังกึกก้องทั่วพื้นที่

บริเวณปากทางเข้าหุบเขาพลันสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว

คริน…..

สัตว์อสูรหลายพันตัวต่างเตลิดหนีชุลมุน แม้กระนั้นก็ยังไม่อาจหลบรอดจากสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาเป็นวงกว้าง………

“ได้รับค่าประสบการณ์ 50,000 หน่วย ค่าพลังปราณ 1,100 จุด ค่าการรอดชีวิต 3 จุด…….”

“ได้รับค่าประสบการณ์ 50,000 หน่วย ค่าพลังปราณ 1,100 จุด ค่าการรอดชีวิต 3 จุด……”

“ขอแสดงความยินดีสําหรับการได้รับแก่นโลหิตจํานวน 1 หยด…..

“ได้รับค่าประสบการณ์ 50,000 หน่วย ค่าพลังปราณ 1,100 จุด ค่าการรอดชีวิต 3 จุด…….”

เสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นอย่างถี่รัวแทบจะทําให้ฉุนเทียนหูดับไป แต่ใบหน้าของฉันเทียนกลับแสดงความตื่นเต้นออกมา ในจํานวนสัตว์อสูรนับพันนี้ กว่าครึ่งล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรระดับห้า

สัตว์อสูรระดับห้าตกตายในเสี้ยววิ สัตว์อสูรระดับหกบ้างลมหายใจรวยรินบ้างตกตาย ขณะที่พวกสัตว์อสูรระดับเจ็ดบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจขยับเคลื่อนไหว

หลัวควงจ้องมองไปยังฝูงสัตว์อสูรที่ล้มตายด้วยสายตาอันเลื่อนลอยเป็นเวลาสิบกว่าวินาทีจากนั้นจึงค่อยๆหันไปมองฉันเทียนด้วยท่าทางราวกับหุ่นยนต์มองดูร่างของฉันเทียนที่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะแล้วเขาก็รู้สึกราวกับตัวเองกําลังมองดูเทพเจ้า……

“ตั้ง!”

“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ฉุนเทียน สําหรับการเลื่อนระดับเป็นระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณ…..”

“ฮ่าๆ………..”

เฉินเทียนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตื่นเต้น “ระดับเก้าแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็ขั้นสวรรค์รอให้บิดาไปถึงขั้นสวรรค์ก่อนเถอะถึงตอนนั้นบิดกาจะกลับไปเช็คบิลเรียงตัวเลย……”

คิดถึงตอนที่ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์คับขันอย่างไม่อาจทอะไรได้แล้วก็ฉุนกึกขึ้นมา

“นั่น…นะ……น้องชาย…..ตคกลงแล้วเจ้า….เป็นคนหรือเทพกันแน่?…” หลัวควงเงยหน้าขึ้นถามเสียงสั่น

เพียงพริบตาเดียว คลื่นสัตว์อสูรนับพันๆก็ถูกทําลายล้างจนย่อยยับ นี่ย่อมไม่ใช่ขอบเขตที่มนุษย์ผู้หนึ่งจะกระทําได้เลย

หลัวควงเหม่อลอย เขารู้สึกราวกับตนเองกําลังฝันไป มองดูซากศพสัตว์อสูรที่กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดแล้วสุดท้ายก็ทําใจยอมรับได้ว่านี่คือความจริงแต่นี่ก็ยิ่งทําให้เขาตกตะลึงกว่าเดิม เดิมที่เขาคิดว่าฉันเทียนเป็นเพียงชายหนุ่มบอบบางคนหนึ่งคิดไม่ถึงว่าภายในร่างอันบอบบางนั้นจะกักเก็บไว้ด้วยพลังความแข็งแกร่งดุจเทพเจ้า

ได้ยินเสียงสายฟ้าคํารามครืนครันจากทางเข้าหบเขา หลัวเก็วิตกกังวล

“หวี่…………….

สัญญาณที่บ่งบอกว่าสัตว์อสูรฝ่าทะลวงแนวป้องกันดังขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้จํานวนสัตว์อสูรที่หลุดรอดไปยังมากกว่าครั้งก่อน

เฉินเทียนไม่มีเวลาตอบคําถามของหลัวควง เขารีบโคจรพลังปราณเพื่อเตรียมตัวจะใช้เคล็ดวิชชทะลวงฟ้าอีกครั้ง

เห็นฉันเทียนตั้งสมาธิไม่ตอบคํา ในใจหลัวควงก็ยิ่งเพิ่มความเคารพ เมื่อได้เห็นปราณเพลิงสีม่วงแผ่ขยายออกไปอีกครั้ง หลัวควงก็รีบหลบฉากออกไปด้านข้าง

ในใจของเขาตอนนี้ยึดถือฉุนเทียนเป็นดั่งเทพเจ้าที่เหินร่อนลงมาจากฟ้าเพื่อช่วยเผ่าของเขาให้ผ่านพ้นมหันตภัย

แม้ว่าจวนของสัตว์อสูรระลอกนี้จะมีมากมายกว่าเดิม กระนั้นหลัวควงกลับไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด

ปราณเพลิงสีม่วงเริ่มควบแน่นกลายเป็นอัสนีบาตผ่าฟาดลงมา….

มองดูแถบค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฉุนเทียนก็ฉีกยิ้มกว้าง

ใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดเลื่อนระดับได้รวดเร็วเท่าเขาอีก?