จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 167

“เปรี้ยง…….”สายฟ้าสีม่วงฟาดผ่าลงกลางฝูงสัตว์อสูรที่แน่นขนัด

ภายใต้ผลของบ้าคลั่งขั้นที่สอง สายฟ้าที่ผ่าลงมามีอานุภาพเหนือสายฟ้าตามธรรมชาติ

สัตว์อสูรที่ถูกฟ้าผ่าพลันร่างไหม้เกรียม ตัวที่อยู่รอบๆเองก็พลอยโดนลูกหลงไปด้วย

เห็นค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉินเทียนก็ยิ้มไม่หุบ

การใช้เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าหนึ่งครั้งจะให้ค่าประการณ์เกือบหนึ่งในสาม ทําเช่นนี้อีกสามสี่ครั้งก็จะทําให้เขาเลื่อนไปขั้นสวรรค์ เกรงว่าภายในทวีปเทียนหยวนนี้คงไม่มีใครทะลวงขั้นได้รวดเร็วเท่าเขาอีกแล้ว

ความเร็วในการทะลวงขั้นนี้ กระทั่งอัจฉริยะฟ้าประทานก็เทียบไม่ได้

หลัวควงทรุดตัวลงนั่งบนหินพลางมองดูสัตว์อสูรทยอยกันล้มตายทีละตัว ในใจยังรู้สึกตกตะลึงไม่หายมนุษย์ที่โลกภายนอกร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว?”

นี่ยากจะทําให้เชื่อได้จริงๆ

เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความสนใจใคร่รู้ต่อโลกด้านนอก ในใจเกิดความปรารถนาขึ้นมา

นับตั้งแต่เกิด ตัวเขาก็ไม่เคยย่างกรายออกจากเขตหมิงไห่แม้สักครั้ง อีกทั้งตัวเขายังไม่มีความสนใจในการออกไปสํารวจที่โลกภายนอก นานๆทีก็จะพบเจอมนุษย์บ้าง แต่คนเหล่านั้นก็กลายเป็นศพไปแล้วไม่เคยเห็นม นุษย์เหล่านั้นต่อสู้มาก่อน

เมื่อได้ประจักษ์ท่าโจมตีด้วยสายฟ้าสุดทรงพลังของฉันเทียน หลัวควงก็รู้สึกสะเทือนใจ

ความปรารถนาที่ต้องการจะแข็งแกร่งนั้นผุดขึ้นในใจอย่างแรงกล้า อีกทั้งตอนนี้ตัวเขายังรู้สึกสนใจสภาพสังคมที่โลกด้านนอกในใจนับว่าได้บังเกิดเมล็ดพันธุ์เล็กๆขึ้นมาแล้ว

“พี่หลัวอย่าเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆสิ”

ฉันเทียนหอบหายใจ เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าอาจสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับห้าได้ในพริบตา แต่สําหรับสัตว์อสูรที่ระดับเหนือกว่านั้นขึ้นไปเพียงได้รับบาดเจ็บหนัก ยังไม่ถึงกับตาย

ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?

เมื่อเผชิญกับการกลุ่มรุมจากสัตว์อสูรระดับเจ็ดนับสิบตัว ฉุนเทียนก็ทําได้เพียงหนี

“ไม่ใช่ว่าเทพเจ้านั้นไร้เทียมทานหรอกหรือ?” หลัวควงพึมพํา เห็นสถานการณ์อันทุลักทุเลของฉันเทียนเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะพุ่งตัวออกไปและใช้ตรีศูลจ้วงแทงกะโหลกศีรษะของสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวหนึ่ง

“ช่างแข็งแกร่งจนผิดปกติจริงๆ”

เห็นฉากนี้แล้วฉันเทียนก็อดบ่นออกมาไม่ได้

ร่างกายอันแข็งแกร่งของชาวหมิงไห่นั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะมีได้เลยจริงๆ เพียงจ้วงแทงออกไปอย่างเรียบง่ายก็สามารถปลิดปลงสัตว์อสูรระดับเจ็ดได้แล้ว

นี่ใช่สิ่งที่มนุษย์ปกติทําได้งั้นหรือ?

ในความคิดของฉันเทียนแล้ว พวกหลัวควงนั้นไม่อาจนับได้ว่าเป็นมนุษย์ หรือต่อให้เป็น พวกเขาก็คงจะถูกจัดอยู่ในจําพวกยอดมนุษย์

ในทางกลับกัน หลัวควงเองก็ไม่คิดว่าฉันเทียนนั้นเป็นมนุษย์เช่นกัน

กับสัตว์อสรจํานวนไม่มาก ใช้เวลาไม่กี่อึดใจหลัวควงก็กําจัดฆ่าจนหมด หน้าไม่แดง ลมหายใจยังปกติราวกับไม่ลําบากกินแรงแต่อย่างใด

หลังกําจัดกลุ่มสัตว์อสูรระดับเจ็ดจนหมด ทั้งสองก็หันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา

เอะไรกัน? ปล่อยสายฟ้าเหมือนป

หลัวควงรีบเข้ามาหาฉินเที่ยนด้วยท่าที่กระตือรือร้น ความสา ลาไหลไฟฟ้าได้ด้วย? ช่างคาดไม่ถึงเลยจริงๆ”

“เป็นทักษะที่เรียกว่าเคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า” ฉุนเทียนตอบอย่างมึนงง ในใจยังติดใจเรื่องความแข็งแกร่งผิดมนุษย์ของชาวหมิงไห้ไม่หาย แม้หลัวควงจะโจมตีเพียงครั้งเดียวแต่พลังที่ปลดปล่อยออกไปนั้นน่ากลัวมาก

การโจมตีเช่นนี้ หากใช้ออกได้หมายเป้าหมายในเวลาเดียวกันจะน่ากลัวถึงเพียงไหน?

ความแข็งแกร่งของพลังกายและความรวดเร็วระดับนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์หรือกระทั่งขั้นจุติก็ไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย

ไม่แปลกใจแล้วว่าทําไมราชาหลัวโหวซิวถึงสามารถพัฒนาร่างกายจนเทียบได้กับขั้นไร้มลทินร่างกายของชาวหมิงไห่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนน่าขนลุกจริงๆ

“สอนให้ข้าได้หรือไม่?”

กล่าวจบหลัวควงก็ชะงักก่อนจะยกมือขึ้นเกาะศีรษะพลางหัวเราะอย่างโง่งม เพิ่งนึกได้ว่าตนเองเพิ่งเอ่ยคําขอร้องอันน่าขายหน้าเพียงใดออกไป

นับเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอร้องต่อผู้อื่น ความแข็งแกร่งของเขาภายในเผ่าหลัวนั้นเป็นรองเพียงผู้นําเผ่าหลัวเยู่เท่านั้น มีเพียงผู้อื่นมาร้องขอต่อเขา ตัวเขาไม่เคยเอ่ยปากขอร้องต่อผู้ใดมาก่อน

กลุ่มสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องนั้นดึงดูดใจเขามากจริงๆ

เพียงได้เห็นก็รู้สึกอยากเรียนรู้ขึ้นมาทันที จากนั้นการล่าในภายหน้าก็จะง่ายขึ้นมาก ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องที่ต้องเฝ้าเส้นทางถอยของฝูงสัตว์อสูรอีก

“นี่….”

ฉันเทียนรู้สึกลังเลสีหน้าของเขาดูปั้นยากอย่างมาก

เห็นสีหน้าอันลังเลใจของฉันเทียน หลัวควงก็เอ่ยเสริมขึ้นว่า “ขอเพียงเจ้าสอนข้า ข้าจะตอบแทนเจ้า”

ภายในเผ่าหลัวนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา การแลกเปลี่ยนทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งของแลกสิ่งของ

เฉินเทียนนั้นไม่ใช่ว่าไม่อยากสอน แต่เขาไม่รู้ว่าจะสอนอีกฝ่ายอย่างไร ปัญหาหลักก็คือเขารู้เพียงแค่วิธีโคจรพลังการรวมพลังปราณ และการใช้ทักษะออกไปก็เท่านั้น

ส่วนความลึกล้ําของทักษะที่มีอยู่นั้น เขาไม่มีความรู้อะไรอยู่ในหัวเลย

ในตัวเขาไม่มีตําราทักษะเหลืออยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงมอบให้หลัวควงเพื่อกระชับความสัมพันธ์ไปแล้ว

“หวั่ว……………….

เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ยังดังและยาวนานกว่าสองครั้งก่อน

หลัวควงพลันโพล่งออกมา “คราวนี้ราวสามพันตัว”

“สามพัน?”

ฉันเทียนจิตใจหนักอึ้ง

ระยะกว้างเกินไป ขอบเขตของเคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าในตอนนี้ยังไม่ครอบคลุมขนาดนั้น ด้วยปริมาณสัตว์อสูรมากแบบนี้ ตัวที่ไม่ตายจะต้องฝ่าออกมาได้แน่ๆ…. ฉันเทียนครุ่นคิดขึ้นในใจ

สัตว์อสรพันกว่าตัวก่อนหน้าก็ทําให้รู้สึกหนักใจแล้ว

แต่นี่มีมากถึงสามพัน……

“มาแล้ว?”

ได้ยินเสียงฝีเท้าที่สั่นสะเทือนใกล้เข้ามา ฉุนเทียนก็ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวอีก

แรงสั่นสะเทือนจากการย่าเหยียบของสัตว์อสูรทําให้ก้อนหินบนหุบเขากลิ้งตกลงมา

หากเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าหุบเขาแห่งนี้คงรับไว้ไม่ไหวจนถล่มลงมา

“พี่หลัว พวกเราถอยกันก่อน ท่านเก็บแรงไว้สังหารพวกสัตว์อสูรระดับเจ็ดที่จะหลุดรอดออกมาอย่าให้มันเข้าใกล้ข้าได้” ฉุนเทียนกล่าวอย่างจริงจัง

กล่าวจบเขาก็ถีบตัวทะยานขึ้นสูง

ปราณเพลิงสีม่วงแผ่ออกอย่างรวดเร็ว พลังปราณจํานวนหนึ่งแสนจุดถูกเรียกใช้ไป

สายฟ้าอันน่าหวาดหวันก่อตัวขึ้นที่ด้านบนอีกครั้ง

เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า ทักษะที่งูเขียวยักษ์สัตว์อสูรระดับหกบรรลุแจ้งด้วยตัวเอง อานุภาพของมันไม่ใช่สิ่งที่สายฟ้าตามธรรมชาติจะเทียบเทียมได้ และภายใต้ผลของบ้าคลั่งขั้นที่สองอานุภาพที่สําแดงออกก็สูงล้ําจนผิดสามัญสํานึก

ครั้งนี้ฉินเทียนต้องการจะใช่ออกอย่างต่อเนื่อง

การใช้เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้านั้นจําต้องเตรียมการเล็กน้อย นี่คล้ายกับการร่ายเวทมนตร์

แม้จะใช้เวลาช่วงสั้นๆเพียงห้าวินาที แต่หากจับจังหวะได้ไม่ดี สายฟ้าในรอบที่สองก็จะไม่ถูกเรียกออกมา

ภายใต้ความกดดันที่ต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรเป็นพันๆแล้ว ฉันเทียนก็ไม่มั่นใจว่าจะสงบใจเตรียมการได้

ตอนนี้เขาทําได้หันไปขอความร่วมมือจากหลัวควง

มีเพียงหลัวควงต้านทานการโจมตีของพวกสัตว์อสูรระดับสูงเอาไว้ ฉันเทียนจึงจะมีโอกาสใช้สายฟ้าครั้งที่สองหรือกระทั่งสาม

“เตรียมตัว!”

เมื่อเห็นคลื่นสัตว์อสูรปรากฏขึ้นในระยะมองเห็น ฉุนเทียนก็ตะโกนบอก

“เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า”

“ผ่าลงมา!”

ครีน..

สัตว์อสรตัวแล้วตัวเล่าทยอยล้มตาย

“เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า!”

ค่าพลังปราณอีกหนึ่งแสนจุดถูกใช้ออกไป

ปราณเพลิงสีม่วงแผ่ขยายตัวออกอีกครั้ง

กลุ่มสายฟ้าขนาดใหญ่ถล่มลงใส่ฝูงสัตว์อสูร

หลัวควงยืนกอดอกอยู่เบื้องหน้าฉุนเทียน ขอเพียงมีสัตว์อสูรพุ่งเข้ามา ตรีศูลที่อยู่ในมือจะแทงออกและปลิดชีพสัตว์อสูรตัวนั้นไป

“จงฟาดผ่า!”

ครืน………………..

พวกสัตว์อสูรเกิดความตื่นตระหนก พวกมันเริ่มหลบหนีกันอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งพวกสัตวอสูรที่อยู่แถวหลังๆเองก็เริ่มหมุนตัวหลบหนีกลับไปทางเดิม

“เยี่ยม นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!”

หลัวควงตะโกนออกมาขณะมองดูพวกสัตว์อสูรหลบหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายตาความนับถือที่มีต่อฉุนเทียนยิ่งมายิ่งมีแต่เพิ่มมากขึ้น สายตายามที่มองดูฉันเทียนก็เป็นประกายราวกับจะกลืนกินฉันเทียนลงไปทั้งตัว

เห็นสายตาที่หลัวควงใช้มองดูตนแล้ว ฉันเทียนก็เสียวสันหลังวาบจนอดถอยหลังเว้นระยะอีกสักหลายก้าวไม่ได้

ที่ทางเข้าออกของหุบเขายามนี้สุมซ่อนไว้ด้วยภูเขาซากศพ เห็นซากศพจํานวนนับไม่ถ้วนนี้แล้วสัตว์อสูรที่มุ่งหน้ามาก็พากันแตกตื่น

พวกมันทราบแล้วว่าพวกมันคงไม่อาจตีฝ่าออกไปได้

ฉินเทียนมองดูแถบค่าประสบการณ์ที่ถูกเติมจนเต็มหลอดแล้วแต่ก็ยังไม่เลเวลอัพ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้วว่าตนคงต้องสังหารศัตรูระดับสอบสักตัวก่อน มิชเนนั้นคงไม่สามารถเพิ่มเลเวลและเลื่อนไปขั้นสวรรค์

“พี่หลัว ในนี้มีสัตว์อสูรระดับแปดหรือระดับเก้าอยู่หรือไม่?”

“ระดับเก้าไม่แน่ใจ แต่ระดับแปดนั้นมีแน่” หลัวควงตอบอย่างมั่นใจ

ฉินเทียนพยักหน้า ระดับแปดจะพอหรือเปล่านะ?”

จะเลื่อนจากระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณไประดับหนึ่งขั้นสวรรค์นั้นจําเป็นต้องฆ่าศัตรูระดับบอสจํานวนหนึ่งตัวฉินเทียนเข้าใจว่านี่คงเป็นกฎเกณฑ์ที่ระบบตั้งขึ้นมา

ฉันเทียนไม่แน่ใจว่าการฆ่าสัตว์อสูรระดับแปดจะทําให้เขาเลื่อนขั้นขึ้นหรือไม่

แต่ไม่อย่างไรเขาก็ต้องทดสอบดู

หลังตัดสินใจได้แล้ว ฉันเทียนก็เอ่ยขึ้นกับหลัวควง “พี่หลัว รบกวนท่านไปหลอกล่อสัตว์อสูรระดับแปดมาสักตัวทําให้มันอยู่ในสภาพปางตายได้ยิ่งดี”

หลัวควงพยัหน้าก่อนจะพุ่งตัวเข้าหุบเขาไป

ในใจของหลัวควงวางฐานะของฉันเทียนไว้สูงมาก ความต้องการของฉันเทียนนั้นเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนสิ่งอื่นใด

หลัวควงต้องการให้ฉุนเทียนสอนทักษะเรียกสายฟ้าให้ และด้วยทักษะนี้ก็จะทําให้เผ่าของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก

ภายในหุบเขา…….

หลัวเย่นํานักรบเผ่าเข้าโรมรันกับฝูงสัตว์อสูรอย่างดุเดือด

ทั่วร่างของเขาในยามนี้อาบชโลมไปด้วยโลหิต โลหิตแดงฉานที่หยดไหลลงจากเกราะสีแดงบนร่างยิ่งขับเน้นให้เขาดูน่ากลัวดุงพญามาร

ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าจากปากทางเข้าหุบเขา หลัวเผ่าก็ยิ่งรู้สึกกังวล กระนั้นเขาก็ยังควบคุมตนเองไม่ให้วอกแวกสิ่งที่เขาทําได้ตอนนี้มีเพียงสกัดสัตว์อสูรเอาไว้ไม่ให้หลุดรอดออกไปเพื่อลดแรงกดดันที่หลัวควงจะได้รับ

ต้องทําศึกกับสัตว์อสูรเกือบสองหมื่นตัวด้วยจํานวนนักรบเผ่าเพียงร้อยกว่า นี่นับเป็นศึกที่หนักที่สุดของเผ่าหลัว

แนวป้องกันถูกทะลวงไปได้อีกครั้ง สัตว์อสูรจํานวนหนึ่งหลุดรอดออกไปได้

หลัวเยรีบตะโกนสั่งการก่อนนํานักรบบางส่วนไปตั้งแนวป้องกันขึ้นมาใหม่

ยิ่งป้องกันอย่างขยันขันแข็งมากเท่าไร พลังกายก็ยิ่งต้องใช้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อนานเข้า พวกเขาก็ยิ่งเหน็ดเหนื่อยหลายคนเริ่มหยอหายใจอย่างหนัก พลังต่อสู้ลดลงอักโข

“ฆ่า!”

หลัวเยตะโกนปลุกใจก่อนที่กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่จะแผ่ออกจากร่าง

นักรบเผ่าที่หลั่งโซมกายต่างก็ชอาวุธพลางขานตอบ “ฆ่า……”

คลื่นสัตว์อสูรปรากฏขึ้นอีกระลอก

ในครั้งนี้ยังมีกอลิล่าขนสีทองที่ตัวใหญ่เท่าตึกอยู่ด้วย ในมือของมันสะบัดค้อนยักษ์พลางคํารามเสียงดัง

เสียงคํารามตอบรับจากสัตว์อสูรหลายพันตัวพลันดังขึ้น

พวกสัตว์อสูรราวกับได้รับคําสั่ง พวกมันร้องตอบก่อนจะพุ่งเข้าหาแนวป้องกันของพวกหลัวเย่อย่างบ้าคลั่ง

หลัวเย่สั่นสะท้าน ในใจรู้สึกหนักอึ้ง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดลงขณะที่ตะโกนออกไป “เหล่านักรบผู้หาญกล้าทั้งหลายเพื่อลูกเมียเพื่อเด็กๆและผู้เฒ่าในเผ่าเพื่อบ้านเกิด เพื่อเผ่าของเราจงแสดงพลังของพวกเราให้เป็นที่ประจักษ์สู้!”

“ทั้งหมดเตรียมพร้อม!”

“สู้ สู้ สู้……”

ความคิดฆ่าฟันแผ่พุ่งเทียมฟ้า

สัตว์อสูรระดับเก้านั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าแข็งแกร่ง เปรียบได้ดั่งสัตว์วิเศษตัวหนึ่ง การเหวี่ยงค้อนในมือของมันแต่ละครั้งล้วนสามารถแหวกฝ่าน้ำทะเลเป็นพลังทําลายล้างอันไร้คู่เปรียบกอลิล่าขนทองเงยหน้าส่งเสียงคําราม

สัตว์อสรจํานวนหลายพันถั่งโถมเข้าใส่แนวป้องกัน……