จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 168

ครืน……….

ครั้น……….

การปรากฏตัวของสัตว์อสูรระดับเก้าทําให้ฝูงสัตว์อสูรรวมกลุ่มกันโจมตีเป็นครั้งแรก

นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว สัตว์อสูรระดับเก้ายังมีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์อสูรทั่วไป อีกทั้งมันยังรู้จักการนําฝูงและใช้ประโยชน์ด้านจํานวนต่อสู้กับศัตรู

หากเป็นช่วงเวลาอื่น หลัวเย่คงไม่ครั่นคร้ามต่อสัตว์อสูรระดับเก้า

แต่ไม่ใช่กับช่วงเวลานี้ ภายในหุบเขาแห่งนี้มีสัตว์อสูรอยู่เรือนหมื่น หากว่าพวกมันทั้งหมดเชื่อฟังคําสั่งของกอลิล่าขนทอง เช่นนั้นโอกาสที่เผ่าของเขาจะรนอดไปได้ก็จะมีเพียงริบหรี่

ไม่ว่านักรบเผ่าหลัวจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานคลื่นสัตว์อสูรจํานวนนับหมื่นได้

“ยืนหยัดไว้!”

“ป้องกันที่มั่นเอาไว้”

หลัวเย่ตะโกน ขณะที่แทงตรีศูลในมืออกไปไม่หยุด ความเร็วในการพิ่มแทงรวดเร็วเสียจนเหลือไว้เพียงภาพติดตาการแทงแต่ละครั้งยังพรากชีวิตสัตว์อสูรไปหนึ่งชีวิต ไอสังหารที่แผ่พุ่งจากร่างของหลัวเยู่ทําให้พวกสัตว์อสูรตัวสั่นด้วยความกลัว

ท่าทางของหลัวเยู่ในตอนนี้ดุร้ายราวกับเทพสังหารองค์หนึ่งจุติลงในสนามรบ

ได้เห็นท่าทางสู้ไม่ถอยของหลัวเยู่แล้ว พวกนักรบก็สึกเหิมขึ้นมา พวกเขากวัดแกว่งอาวุธในมือสู้หลั่งเลือดไม่ถอยหนี

หลั่งผ่านการฆ่าฟันได้ระยะหนึ่ง สัตว์อสูรระลอกแรกก็ถอนกําลัง

หลัวเผ่ปักตรีศูลลงพื้นพลางถอนหายใจ แรงกดดันจากฝูงสัตว์อสูรครั้งนี้หนักหน่วงยิ่งกว่าครั้งใดแม้ว่าสัตว์อสูรระลอกแรกจะถอยกลับไปแล้ว แต่ระลอกต่อไปคงน่ากลัวยิ่งกว่าเก่า

แต่หากพวกเขาละทิ้งแนวป้องกันพวกเขาก็จะไม่อาจรวบรวมแก่นอสูรได้ครบหนึ่งหมื่นห้าพันแก่นและทั้งเผ่าก็จะถูกกวาดล้าง

และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมา หลัวเยู่ก็จะกลายเป็นคนบาปของเผ่าไปชั่วนิรันดร์

ไม่ได้ พวกเราต้องต้านทานเอาไว้ องค์หญิงจือเยว่ยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงยืนหยัดสืบต่อไปได้นางย่อมกลับมานําพวกเราโค่นล้มทรราชหลัวโหว หลัวเย่ครุ่นคิดขึ้นในใจ

ทว่าตอนนี้เขากลับมองไม่เห็นแสงแห่งความหวังใดๆ

นักรบกว่าครึ่งล้วนได้รับบาดเจ็บ หากยังต้องตั้งรับคลื่นสัตว์อสูรระลอกต่อไป แนวป้องกันคงพังทลายลงแน่

ถึงตอนนั้นไม่ว่าหลัวควงจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เขาก็ไม่อาจยืนหยัดต้านทัพสัตว์อสูรนับหมื่นได้ด้วยตัวคนเดียว

หลัวเย่จมอยู่ในห้วงความคิดอันสับสนยุ่งเหยิง

“ท่านผู้นํา พี่หลัวมานั่นแล้ว!”

นักรบเผ่าคนหนึ่งที่สังเกตเห็นหลัวควงพลันรีบเข้ามารายงานต่อหลัวเย่

การปรากฏตัวขึ้นของหลัวควงสร้างความตื่นตะลึงให้กับทั้งหมด

ในใจหลายคนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หลัวควงถึงกับสามารถต้านทานสัตว์อสูรจํานวนหลายพันนี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ!

“ไฉนจึงมาที่นี่? ไม่ใช่ว่าให้เจ้าเฝ้าทางเข้าหุบเขาหรือไร?” หลัวเยตะโกนถาม

หลัวควงหัวเราะตอบ “พี่ใหญ่โปรดวางใจ สัตว์อสูรจํานวนไม่กี่พันนั้นถูกฆ่าหมดแล้ว ไม่มีสักตัวที่รอดไปได้”

“อะไรนะ?”

ชาวเผ่าทั้งหมดต่างงุนงง สัตว์อสูรเป็นพันๆถูกฆ่าหมดแล้ว?

นักรบทั้งเผ่าร้อยกว่าคนที่อยู่ที่นี่รวมกันเพียงฆ่าได้พันสองพันตัวเท่านั้น แต่หลัวควงอาศัยพลังของตนเพียงลําพังก็สามารถฆ่าสัตว์อสูรไปได้หลายพัน?

ทุกคนล้วนมองดูหลัวควงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

รู้สึกสายตานับร้อยคู่ที่จ้องมองมา หลัวควงก็เริ่มหน้าร้อน ดังนั้นจึงรีบอธิบายออกไป “ไม่ใช่ฝีมือข้าแต่เป็นฝีมือของเจ้าหนฉุนเทียน ไม่สิ ต้องเรียกว่าท่านเทพนิ่นเทียน เขาเพียงโบกมือก็สังหารสัตว์อสูรไปนับพันข้าไม่เคยพบเคยเจอกับบุคคลที่น่าทึ่งขนาดนี้มาก่อน!”

ความตกตะลึงปรากฏขึ้นในแววตาของหลัวเย่ เขาถามออกไปด้วยเสียงอันสั่นเทา “หรือเสียงฟ้าร้องที่ด้านนอกนั่นเป็นฝีมือเขา?”

“ใช่ เป็นฝีมือเขา” นึกถึงภาพสายฟ้ากระหน่ําลงมาไม่หยุด หลัวควงก็ตื่นเต้นขึ้นมา “พี่ใหญ่ ท่านต้องได้ไปเห็นด้วยตาตนเอง ฟ้าร้องดังกึกก้อง จากนั้นสายฟ้าจํานวนนับไม่ถ้วนก็ผ่าลงใส่พวกสัตว์อสูรจนล้มตายพลังของสายฟ้ายิ่งใหญ่เหนือประมาณ

“เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว?”

หลัวเย่ไม่อาจทําใจเชื่อ แต่เขาก็รู้ดีว่าหลัวควงไม่เคยพูดโกหก

ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงไม่ถึงกับโบกมือแล้วสัตว์อสูรตายเป็นพันหรอกกระมัง?

แต่หากว่าไม่มีสัตวอสูรสักตัวหลุดรอดไปได้ งั้นนี่ก็มีความหมายได้เพียงอย่างเดียว

ความหวัง!

หลัวเผ่พลันมองเห็นแสงแห่งความหวัง

เหล่านักรบของชนเผ่าต่างก็มองเห็นความหวัง

กลุ่มคนที่เดิมมีขวัญกําลังใจตกต่ําต่างก็มีสีหน้าท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา

การสังหารฝูงสัตว์อสูรจํานวนนับพันของฉันเทียนได้สร้างขวัญกําลังใจให้กับพวกเขา เมื่อมีบุคคลแข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นนี้คอยเฝ้าทางออก พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปที่ต้องกระทําก็คือเข่นฆ่าสัตว์อสูร

“นักรบกล้าทั้งหลายจงแสดงพลังของพวกเราให้เป็นที่ประจักษ์!”

“ฆ่า!”

สภาวะของชาวเผ่าหลัวพุ่งสู่จุดสูงสุด กอลิล่าขนทองขยับจมูกฟุดฟิดราวกับสูดได้กลิ่นอันตรายมันหยุดชะงัก

จากนั้นมันพลันยกกําปั้นทุบหน้าอกพลางคํารามอย่างเกรี้ยวกราด

สัตว์อสูรตัวอื่นๆส่งเสียงร้องตอบพลางตะบึงเข้าใส่นักรบเผ่าหลัว

“พี่ใหญ่ อย่าฆ่าเจ้าระดับเก้านั่นนะ แค่ทําให้บาดเจ็บหนักก็พอ ฉุนเทียนต้องการฆ่ามันด้วยตัวเอง”หลัวควงมองกอลิล่าขนทองพลางเผยยิ้ม “หากแนวป้องกันเอามันไม่อยู่ เช่นนั้นก็ปล่อยไปเถอะรอดูว่าจะมีหายนะแบบใดรอคอยมันอยู่”

หลัวเย่เองก็ต้องการทราบว่าฉันเทียนแข็งแกร่งถึงเพียงใดจึงทําให้หลัวเยกล่าวเทิดทูนได้ขนาดนี้เช่นกัน

หลัวเย็พยักหน้าก่อนจะตอบว่า “อืม เจ้ากลับไปที่ทางเข้าเถอะ แนวป้องกันนี้คงต้านได้อีกไม่นานทุกอย่างขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว”

“เหอๆ ท่านวางใจเถอะ มีท่านเทพนิ่นเทียนอยู่ ทุกประการล้วนหายห่วง”

กล่าวจบก็พุ่งร่างกลับไปยังทางเข้าหุบเขา

มองส่งเงาร่างของหลัวควงหายไปจากสายตา หลัวเยก็ครุ่นคิดขึ้นในใจ ฉุนเทียนแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเลย?

ตอนนี้ไม่สําคัญว่าฉันเทียนจะแข็งแกร่งขนาดไหน ที่พวกเขาต้องทําก็คือฆ่าสัตวีอสูรให้ได้มากที่สุด!

โดยไม่รอให้ฝูงสัตว์อสูรโถมเข้ามาถึง หลัวเยก็ละทิ้งแนวป้องกันพุ่งตัวออกไปพลางคํารามสุดเสียง “ฆ่า!”

เหล่านักรบทั้งหมดต่างก็ส่งเสียงขนารับก่อนพุ่งร่างติดตามไป

เสียงกรีดร้องของพวกสัตว์อสูรดังขึ้นระงม โลหิตฉีดพุ่งกลาดเกลื่อนท้องสมุทรเกิดเป็นภาพล้างสังหารอย่างดุดัน….

“หวู้ววววว………….

เสียงแตรสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ยังยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ

ฉุนเทียนสูดหายใจเฮือกหนึ่งก่อนที่ปรษรเพลงสีม่วงจะแผ่ขยายออกไป

ตึง….ตึง….ตึง……..

เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงดังมาจากในหุบเขา เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายสายหนึ่ง ฉุนเทียนก็จิตใจหนักอึ้ง นี่คงเป็นสัตว์อสูรระดับเก้าที่หลัวควงบอกสินะ

ลมหายใจอันรนแรงและกระวนกระวาย ลมปราณภายในร่างก็ปั่นป่วนสับสน

“บาดเจ็บอยู่?”

ฉันเทียนยิ้มอย่างดีใจ ยิ่งคิดว่าอีกไม่นานก็จะบรรลุขั้นสวรรค์แล้วก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา

กอลิล่าขนทองระดับเก้านั้นบาดเจ็บอยู่จริงๆ ขณะที่บุกเข้าโจมตี หน้าอกของมันก็ถูกตรีศูลในมือหลัวเย่แทงเข้าอย่างจังจนโลหิตพุ่งทะลัก แต่ตอนนี้กอลิล่าขนทองก็ไม่ต่างจากธนูที่น้าวจนสุดสายมันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องบุกเข้ามา

บาดแผลที่เกิดขึ้นไม่เพียงไม่สร้างความหวาดหวั่นให้กับมัน แต่กลับทําให้มันยิ่งดุร้ายขึ้นกว่าเดิม

“ท่านเทพฉินเทียน พวกมันมาแล้วขอรับ”

สีหน้าของหลัวควงเปลี่ยนเป็นจริงจังขณะเอ่ยเตือนออกมา เขารีบกลับมาอยู่ข้างกายฉันเทียนพลางกระชับตรีศูลในมือเอาไว้แน่น

ให้มันได้ลิ้มรสเป็นก่อนก็แล้วกัน

อัสนีบาตในหมอกปราณสีม่วงส่งเสียงคํารามครืนครัน เพียงรอคอยเป้าหมายให้ใกล้เข้ามาเท่านั้น

เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรแถวแรกใกล้ลุถึงระยะของสายฟ้า ฉุนเทียนก็ลงมือ “จงฟาดผ่า!”

เส้นสายอัสนีสีม่วงพลันกระหน่ําลงถล่มฝูงสัตว์อสูรอย่างไร้ปราณี สัตว์อสูรระดับเจ็ดที่หลุดรอดมาได้ก็ต้องเผชิญกับตรีศูลของหลัวควง

“สยดสยองนัก”

“นี่ก็คือพลังของมนุษย์ที่โลกด้านนอก?”

“น่าเหลือเชื่อจริงๆ”

หลัวเยี่ยืนอยู่บนหุบเขาพลางมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทางเข้าหุบเขา แววตาของเขาเหม่อลอยร่างกายสั่นเทาไม่หยุด สายฟ้าที่ฉินเทียนสร้างออกมานั้นทําให้เขาตกตะลึงถึงขีดสุดไม่รู้ว่านั่นคือพลังอะไรกันแน่?

ในใจตื่นตะลึงจนไร้ซึ่งคําพูด

เมื่อวานเขายังคิดว่าฉันเทียนอ่อนแอเกินจะเข้าร่วม

มาวันนี้ อีกฝ่ายกลับแสดงพลังอันน่าตื่นตระหนกออกมา กลายเป็นตัวแปรสําคัญที่จะตัดสินชะตาของคนทั้งเผ่า

เหล่านักรบของเผ่าต่างส่งเสียงอุทานไม่หยุด ความเทิดทูนต่อฉันเทียนเริ่มปรากฏขึ้นในใจของพวกเขาออกทั้งนี้ยังทําให้พวกเขาเกิดความรู้สึกสนใจต่อโลกเบื้องนอกขึ้นมา

“จงฟาดผ่า!”

“จงฟาดผ่า!”

โจมตีสามครั้งซ้อน!

โจมตีสี่ครั้งซ้อน!

โจมตีห้าครั้งซ้อน!

ฉินเทียนเองก็ไม่รู้ว่าเขาใช้ท่านี้ต่อเนื่องไปแล้วกี่ครั้ง ในหูเพียงได้ยินเสียง “ติ้ง” ดังขึ้นไม่หยุด……

ทันใดนั้นก็มีข้อความหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาไป “ขอแสดงความยินดี เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าได้เลื่อนขึ้นเป็นขั้นที่สอง อัสนีบาตพิฆาตฟ้า”

เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าเลื่อนขั้น!

ฉินเทียนเผยรอยยิ้ม สายตากวาดมองสัตว์อสูรที่ยังพุ่งออกมาจากหุบเขา ทันใดนั้นเขาก็พุ่งร่างไปยังตําแหน่งกึ่งกลางของฝูงสัตว์อสูร

เตามังกรเขียว กระดิ่งเบี่ยงวิญญาณ และเกราะปีศาจโลหิตสงครามพลันปรากฏขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเมื่อสมบัติสายป้องกันปรากฏขึ้นอย่างพร้อมหน้า พลังป้องกันของฉันเทียนก็บรรลุถึงขีดสุดตอนนี้เรื่องที่ต้องทําก็เหลือเพียงประการเดียว

ฆ่าสัตว์อสูรระดับเก้าแล้วเลื่อนไปขั้นสวรรค์!

ค่าประสบการณ์ที่ได้จากสัตว์เล็กสัตว์น้อยไม่มีค่าสําหรับเขาอีกต่อไป ตอนนี้เขาต้องรีบกําจัดบอสของพวกมันเพื่อปลดล็อคแถบค่าประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นค่าประสบการณ์ที่ได้มาก็จะกลายเป็นสูญเปล่าบางทีเขาอาจจะอาศัยโอกาสนี้เลื่อนขึ้นพรวดเดียวสองระดับเลยเป็นก็ได้!

ฉินเทียนพุ่งร่างออกไปด้วยความเร็วสูงสุด

“นั่นเขาจะทําอะไร?”

“หรือจะเสียสติไปแล้ว?”

“ลงไปใจกลางฝูงสัตว์อสูรแบบนั้นไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกเหรอ?”

“ดูที่ร่างกายของเขาสิ ของพวกนั้นมันอะไรกันน่ะ?”

ชาวเผ่าหลัวต่างอุทานขึ้นไม่หยุด หลัวเย่เองก็หรี่ตาลงจับจ้องไปยังฉินเทียน ร่างกายเขม็งเกร็งเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือทุกเวลา

เห็นฉันเทียนพุ่งร่างเข้าไปกลางฝูงสัตว์อสูรเช่นนั้น หลัวควงก็คร่ําเครียด ตอนนี้สมควรรวบรวมแก่นอสูรได้ครบหนึ่งหมื่นห้าพันแก่นแล้ว ที่เหลือจะปล่อยไปก็ไม่เสียหายอะไร

กอลิล่าขนทองพลันรู้สึกตื่นตัว ไม่รอให้ฉุนเทียนบรรลุถึง มันก็ส่งเสียงคํารามก่อนชกกําปั้นออกไป

พลังที่แฝงเร้นอยู่ในกําปั้นมหาศาลเสียจนแหวกน้ําทะเลออกเป็นทางขณะตรงเข้าใส่ร่างของฉันเทียน

สัตว์อสูรระดับเก้าแข็งแกร่งแค่ไหนน่ะ??

ฉินเทียนสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แม้จะตกตะลึงแต่เขากลับไม่ชะงัก

ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังสวรรค์ภายในร่างได้อย่างบางเบา แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เป็นความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ นี่ยิ่งทําให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น ต่อให้เวลานี้ฟ้าจะถล่มลงมาที่ตรงหน้า มันก็ไม่อาจหยุดยั้งความมุ่งมั่นที่จะทะลวงไปขั้นสวรรค์ของเขาได้

ก๊กๆ….

วิ่ง………….

เตามังกรเขียวเปล่งแสงขึ้นคราหนึ่งก่อนที่โล่พลังงานจะปรากฏขึ้นต้านทานการโจมตีจากกอลิล่าขนทองเมื่อมีพลังปราณคอยหนุนเนื่องสมบัติอมตะขั้นกลางก็ดูราวกับจะสามารถต้านทานการโจมตีที่โหมซัดเข้ามา

ฉินเทียนพลันโล่งใจ กลิ่นอายพลังแห่งความมืดค่อยๆหลั่งไหลออกจากร่าง

เมื่อพลังความมืดกลืนกินแผ่กระจายออก บรรดาสัตว์อสูรที่อยู่รอบข้างก็ถูกกลืนกินจนหายวับไป

ครู่ถัดมา พลังคชสารชําระล้างก็ปะทุออก

เสียงมังกรคํารามดังขึ้นจากภายในจุดตันเถียน จากนั้นขุมพลังอันยิ่งใหญ่ก็แผ่ออกจากร่างของฉุนเทียน

กลิ่นอายของฉันเทียนเวลานี้ยิ่งใหญ่ราวกับเทพสงครามไร้พ่าย

เมื่อสามทักษะหลอมผสาน เสาแสงสีดําก็พุ่งขึ้นทะลวงฟ้า รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉันเทียน………

คริน…..

“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น “จีนเทียน สําหรับการสังหารสัตว์อสรระดับบอส ได้รับรางวัล ค่าประสบการณ์1,000,000 หน่วยค่าพลังปราณ 50,000 จุด ค่าการรอดชีวิต 1,000 จุด……”

“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น “ฉินเทียน สําหรับการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสวรรค์ ………”

ทะลวงขั้นแล้ว!