จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 169

ร่างของกอลิล่าขนทองล้มครืนลง

ฉินทียนพลันเลื่อนขั้น

ระดับหนึ่งขั้นสวรรค์!

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นที่จุดตันเถียน พลังมหาศาลแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของเขา เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต แตกต่างไปจากพลังมังกรคชสาร ดูกร้าวกว่า ทรงพลังยิ่งกว่า

นี่ก็คือพลังที่ถือกําเนิดขึ้นจากฟ้าดิน

พลังที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายอขงเขาได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้จุดตันเถียน กระดูก เส้นเอ็นโลหิต และ กระทั่งเปลี่ยนแปลงทุกอณในร่าง

ร่างกายของฉินเทียนร้อนผ่าว แต่เขากลับรู้สึกสบายอย่างไม่อาจสรรหาถ้อยคํามาบรรยาย ฉินเทียนตื่นเต้น ยินดีเสียจนส่งเสียงครางออกไปไม่ได้

“อา พลังสวรรค์”

“นี่ก็คือพลังสวรรค์”

“ฮ่าๆ…”

ฉินเทียนหัวเราะอย่างสุขใจ ฝ่ามือรวบกําแน่น พลังสวรรค์พลันปะทุกระจายออก สัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบ พลันสั่นเทิ้มอย่างขลาดเขลา ไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวด้วยกลัวว่าจะไปกระตุ้นโทสะของชายหนุ่มที่ฉีกยิ้มราวกับคนบ้าที่เบื้องหน้า

ฉินเทียนเพียงเพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่อาจควบคุมพลังสวรรค์ได้อย่างคล่องมือ

การขยับเคลื่อนไหวแต่ละครั้งล้วนแต่บังเกิดคลื่นพลังแผ่พุ่งออก ทําให้พลังปราณของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง

พลังสวรรค์เป็นพลังที่มีเพียงผู้บรรลุขั้นสวรรค์เท่านั้นที่สามารถครอบครอง นี่ก็คือพลังที่ถือกําเนิดขึ้นจากพลังฟ้าดิน เป็นพลังอันร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังต้องการพลังปราณคอยเกื้อหนุน

หากไม่มีพลังปราณ พลังอันร้ายกาจนี้ก็ไม่อาจใช้ออก

ขณะที่หัวเราะอย่างเริงร่า ฉินเทียนก็พลันชกหมัดต่อยออกไป

หนึ่งกําปั้นที่แฝงพลังสวรรค์พุ่งชกออก

สัตว์อสูรระดับห้าที่โชคร้ายตัวหนึ่งก็ระเบิดเป็นจุล

ฉินเทียนชกหมัดออกอีกครั้ง สัตวอสูรระดับหกก็ลอยกระเด็น ร่างของฉินเทียนไหววูบก่อนจะปรากฏขึ้น เหนือร่างของสัตว์อสูรระดับหกตัวนั้นแล้วยกขาฟาดลงมา

ติ้ง!

เกิดหลุมขนาดเล็กขึ้นตรงตําแหน่งที่ศพของสัตว์อสูรตัวนั้นตกลงไป

ฉินเทียนทิ้งร่างลงกับพื้น สายตามองดูกําปั้นที่ชกออกก่อนจะส่งเสียงชมเชย

“เจ๋ง!”

มุมปากฉินเทียนพลันยกขึ้น จากนั้นจึงพุ่งร่างเข้าไปกลางฝูงสัตว์อสูรและเปิดฉากสังหารหมู่……

ยิ่งโจมตีออก การควบคุมของเขาก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ

ควบคุมพลังสวรรค์ไปยังส่วนต่างๆของร่างกายและสําแดงอานุภาพอันร้ายกาจออกมา

ในที่สุดฉินเทียนก็เข้าใจความแข็งแกร่งของพลังสวรรค์

เมื่อเทียบกันดูแล้ว พลังของขั้นกลั่นวิญญาณก็ไม่ต่างจากของเด็กเล่น

“ท่านเทพขอรับ ข้าจะต้านไว้ไม่ไหวแล้ว……”

หลัวควงโอดครวญขณะรับมือกับฝูงสัตว์อสูรที่พุ่งเข้าใส่ไม่หยุด

ได้ใช้พลังสวรรค์ดูแล้วฉินเทียนก็อัศจรรย์ใจ เมื่อลองจินตนการว่าหากใช้ทักษะต่างๆด้วยพลังสวรรค์ดูแล้ว…..ในใจก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นว่าเก่า

ฉินเทียนถีบตัวพุ่งขึ้นไปด้านบนก่อนจะเตรียมใช้เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูลี้ลับขึ้นขณะตะโกนออกไปว่า “พี่หลัว ท่านถอยออกไปก่อน ยิ่งไกลยิ่งดี…..”

ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็ตะลึง ตอนนี้ฉันไทยนอยู่ห่างจากหลัวควงนับร้อยเมตรแล้ว ยังจะให้ถอยออกไปอีกหรือ?

ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็คงไม่เรียกสายฟ้าที่กินวงกว้างขนาดนั้นออกมาได้กระมัง?

“กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไป” หลัวเขมวดคิ้ว เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลังจากเข้าไปโรมรันกลางฝูงสัตว์อสูร แล้วกลิ่นอายของฉินเทียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หากในกาลก่อนกลิ่นอายของฉินเทียนเพียงเทียบเท่านักรบระดับห้า เช่นนั้นตอนนี้เขาก็สมควรเทียบได้กับนักรบระดับแปด อ่อนด้อยกว่านักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหลัว อยู่สองระดับ

พลังแบบไหนกันที่ทําให้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ในเวลาเพียงไม่นาน?

หลัวเขบคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก ในใจยิ่งมายิ่งอึ้งจนไร้คําพูด สําหรับเขาแล้วพลังของฉินเทียนไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง หากแต่ยังมีความดึงดูดใจ หากว่าสามารถครอบครองพลังเช่นนั้น เมื่อรวมเข้ากับร่างกายอันแข็งแกร่งของชาวหมิงไห่แล้วล่ะก็ ความหวังที่จะโค่นล้มหลัวโหวซิวก็จะเพิ่มมากขึ้น

“ฉินเทียน เจ้ามาที่นี่โดยมีเป้าหมายอะไรกันแน่……’ หลัวเย่จมอยู่ในห้วงความคิด

ยิ่งมา ฉินเทียนก็ยิ่งดูลึกลับมากขึ้น

หลัวควงนั้นเชื่อมั่นในตัวฉินเทียนอย่างหมดใจ ปราศจากความสงสัยโดยสิ้นเชิง เขาเพียงรอคอยอยู่ที่ทางเข้าหุบเขาอย่างเงียบๆ

เมื่อไม่มีหลัวควงคอยขัดขวาง คลื่นสัตว์อสูรก็เคลื่อนตัวเข้ามาเร็วขึ้น

“ฟู…..”

ฉินเทียนระบายลมหายใจก่อนจะหลับตากางแขนออกราวกับต้องการสัมผัสพลังที่อยู่รอบกาย

ทันใดนั้นดวงตาที่ปิดอยู่ก็ลืมขึ้น ปราณเพลิงสีม่วงแผ่ขยายตัวออกกลายเป็นกลุ่มหมอกสีม่วงอมดําอย่างรวดเร็ว

พลังสวรรค์ปะทุขึ้น เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าก็ถูกเรียกใช้งาน พลังอันมหาศาลเริ่มหลั่งไหลเข้าไปในหมอกสีม่วงอมดํา นอกจากความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายแล้วก็ไม่อาจสรรหาถ้อยคําอื่นมาอธิบาย

“มาดูกันว่าพลังสวรรค์จะร้ายกาจขนาดไหน”

เสียงสายฟ้าคํารามครีนครินดังขึ้นในม่าหมอกจนแสบแก้วหู

รัศมีที่หมอกปรากฏขึ้นคราวนี้กินระยะกว้างนับร้อยเมตร

ภายในม่านหมอกแห่งนี้ ฉินเทียนก็คือนายเหนือสูงสุด

“อัสนีบาตพิฆาตฟ้า ทําลาย!”

“ครืน…………”

แรงกดดันอันมหาศาลโถมทับลง เส้นแสงนับไม่ถ้วนกระพริบวูบวาบขึ้นในม่านหมอก สิ่งที่ปรากฏขึ้นนี้ทําให้ฉินเทียนนึกไปถึงอาวุธชนิดหนึ่งที่เคยเห็นในภาพยนตร์ล้ําสมัย…ปืนเลเซอร์

ในรัศมีร้อยเมตรพลันปกคลุมไปด้วยแสงอันเจิดจ้า

ห้วงมหาสมุทรอันมืดมิดพลันคล้ายกับถูกลําแสงจากสวรรค์สาดส่องลง

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ

ที่พื้นมหาสมุทรก็ปรากฏรอยแตกไหม้ นอกจากแก่นของสัตว์อสูรที่กลิ้งอยู่ตามพื้นแล้วก็ไม่หลงเหลือสิ่งใดอีก….

อานภาพของอัสนีบาตพิฆาตฟ้านับว่าเหนือจินตนการอย่างแท้จริง

กระทั่งขั้นที่สองยังร้ายแรงขนาดนี้ ถ้าเป็นขั้นที่สาม ขั้นที่สี่……หรือว่าขั้นสูงสุดเล่า?

ในใจฉินเทียนเบิกบานสุดขีด การใช้อัสนีบาตพิฆาตฟ้าเพียงครั้งเดียวก็ทําให้เขาเลื่อนระดับ

พลังสวรรค์ของเขาแข็งแกร่งขึ้น ทุกการเลื่อนระดับก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เป็นการสะสมไว้เพื่อถือกําเนิดใหม่เป็นพลังจิต ในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะนั้น มีเพียงบรรลุขั้นสวรรค์เท่านั้นจึงจะนับได้ว่าก้าวเดินเข้าสู่เส้นทาง แห่งการบ่มเพาะอย่างแท้จริง

หลังจากนี้ ทุกฝีก้าวล้วนแต่ต้องดําเนินไปด้วยความระมัดระวัง เพราะมันอาจส่งผลต่อการบรรลุขั้นต่อๆไปในอนาคต

แต่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ฉินเทียนไม่จําเป็นต้องกังวล ที่เขาต้องทําก็แค่ฆ่าและเลื่อนระดับไปเรื่อยๆ

ฉินเทียนระบายลมหายใจอย่างปลอดโปร่ง

บนใบหน้าฉายแววยินดีอย่างไม่อาจปิดบัง

เวลานี้หลัวควงได้ลงไปคุกเข่ากับพื้นราวกับกําลังแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าที่เขาเคารพบูชาหลัวควง แทบจะอยากคลานเข้าไปเกาะขาขอร้องฉินเทียนให้สอนวิชาเรียกสายฟ้า

ฉินเทียนเห็นร่างลงมาก่อนจะเดินไปยังทางเข้าหุบเขา เขาก้มกายลงหยิบแก่นชิ้นหนึ่งขึ้นมาก่อนจะเป่าไล่ฝุ่นเบาๆ

ในเวลาเดียวกันนั้น หลัวเย่ก็นับเหล่านักรบของเผ่าเห็นร่างลงมาที่ปากทางเข้าหุบเขา

เหล่านักรบเผ่าหลัวนักร้อยต่างก็จ้องมองดูฉินเทียนด้วยสายตาที่เปล่งประกายไม่ต่างจากหลัวควง

ในใจเพียงบรรยายศักดิ์ฐานะของฉินเทียนได้ฐานะเดียว เทพเจ้า”

“ท่านเทพฉินเทียนขอรับ โปรดสอนวิชาให้ข้าด้วยเถิด” หลัวควงเอ่ยอ้อนวอนราวกับเด็กน้อยร้องขอลูกอม ในใจปรารถนาจําร่ําเรียนวิชาอันยิ่งใหญ่นั้นใจจะขาด

“นี่เป็นทักษะที่ต้องตระหนักรู้ด้วยตนเอง ไม่อาจสั่งสอน” ฉินเทียนยิ้มเจื่อน “พี่หลัวเรียกข้าว่าฉินเทียนเถอะ เรียกท่านเทพแล้วมันฟังดูแปลกๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีคนที่เก่งกาจกว่าข้าที่ด้านนอกอีกเยอะแยะ”

“มีคนที่เก่งกว่าท่านอยู่ที่โลกภายนอก?”

หลายคนเริ่มมองฉินเทียนด้วยความสนใจ

“ข้าเพียงอยู่ระดับสองขั้นสวรรค์เท่านั้น ยังไม่จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆด้วยซ้ํา ยังมีคนอื่นอีกมากที่เก่งกว่าข้า” ฉินเทียนอธิบาย

หากว่าชาวหมิงไห่ปรากฏขึ้นบนแผ่นดิน ขุมกําลังต่างๆย่อมต้องมีปฏิกริยาเป็นแน่

ในทวีปเทียนหยวนมีสํานักนิกายต่างๆอยู่มากมาย ยอดฝีมือเองก็มีอยู่ดุจเม็ดทราย หลายคนยังแข็งแกร่งถึงขีดสุด แม้ว่าคนเหล่านั้นจะเร้นกายอยู่ตามที่ต่างๆอย่างเงียบๆก็ตาม

พวกเขาครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง มีทักษะ มีสมบัติชนิดต่างๆ ทว่าพวกเขาล้วนแต่มีร่างกายที่อ่อนแอ

ชาวหมิงไห่มีร่างกายแข็งแรง อาศัยเพียงกําลังกายก็สามารถปะทะกับผู้บ่มเพาะขั้นสวรรค์ได้อย่างไม่น้อยหน้าแล้ว

หากเป็นการต่อสู้กันซึ่งหน้า ฉินเทียนคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวควง ผู้ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือหลัวเย่

หากใช้คลาสอาชีพภายในเกมมาชี้วัดแล้วล่ะก็ พวกเขาก็สมควรจัดอยู่ในคลาสนักรบ คลาสที่มีพลังโจมตีสูง และด้านพลังป้องกันที่สุดยอด

“เอาล่ะทุกคน ช่วยกันรวบรวมแก่นอสูรกันเถอะ”

หลัวเยตะโกนสั่งการ ชาวเผ่าก็ปฏิบัติตามอย่างไม่มีอิดออด

จากนั้นหลัวเยจึงหันไปส่งสายตาให้หลัวควง หลัวควงพลันเดินคอตกออกไปอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อคนอื่นๆออกห่างไปหมดแล้ว หลัวเก็กล่าวขึ้นด้วยท่าทางที่ดูจริงจัง “ขอบคุณสําหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ หากไม่ได้เจ้า เผ่าของข้าคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ําแย่แล้ว”

“ท่านหัวหน้าเผ่ากล่าวเกรงใจไปแล้ว เป็นท่านที่ช่วยชีวิตข้าไว้ก่อน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณนั้น” ฉินเทียนแสดงความขอบคุณอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะการล่าในครั้งนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปหาโอกาสไหนมาเลื่อนขั้นจริงๆ

ฉินเทียนรู้สึกขอบคุณจากใจ

ไม่มีการร่วมมือจากชาวเผ่าหลัว เขาก็ไม่รู้ว่าจะทะลวงไปขั้นสวรรค์ได้เมื่อใด

หลัวเปลูบเคราพลางหัวเราะ เขาจ้องมองฉินเทียนอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกไป “ที่โลกด้านนอกนั่นยังมีคนที่เก่งกว่าเจ้าอยู่จริงๆ?”

ฉินเทียนพยักหน้า “ประมุขเจ้าเมืองไหงื่อเยว่ก็บรรลุถึงระดับสี่ขั้นจักรวาลแล้ว ต่อให้มีข้าอีกพันคนก็สู้นางไม่ได้ นางเพียงหายใจเบาๆข้าก็กลายเป็นอากาศธาตุแล้ว”

“องค์หญิงจ๋อเย่วแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น?!” หลัวเยตกใจ

“หัวหน้าเผ่า ข้ารู้ว่าท่านไม่ไว้ใจข้า หากว่าข้าเป็นท่านก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน แต่ข้าสาบานได้เลยว่าประมุข เจ้าเมืองส่งข้ามาจริงๆ วาจาทุกถ้อยคําของข้าล้วนเป็นความสัตย์จริง” จากนั้นฉินเทียนจึงลดเสียงลง “ส่วนเหตุผลที่ว่าทําไมประมุขเจ้าเมืองจึงไม่อาจกลับมาที่นี่นั้นก็เพราะว่าหงเยว”

หลัวเยสั่นสะท้าน เขาจ้องมองฉินเทียนด้วยสายตาอันซับซ้อนขณะครุ่นคิดขึ้น หรือองค์หญิงจือเยว่จะกลับมาที่นี่ได้ เพราะหัวใจแห่งหมิงไห่ขององค์หญิงหงเยวจริงๆ? ตํานานนั้นเป็นเรื่องจริงงั้นรี?’

“หากว่านี่เป็นความจริงล่ะก็….