จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 170

ทั้งหมดพกพาความยินดีเดินทางกลับเผ่า

นี่นับเป็นการล่าครั้งที่ประสบความสําเร็จที่สุดนับตั้งแต่พวกเขาเคยออกล่ามา เพียงแค่ไล่เก็บแก่นก็ใช้เวลาไปทั้งวันแล้ว

ชาวเผ่าหลัวไม่ว่าเด็กหรือชราก็ล้วนแต่พูดกันถึงเรื่องของฉินเทียน

ฉินเทียนเป็นผู้มีพระคุณของเผ่า เป็นทูตสวรรค์ เป็นผู้ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อช่วยเหลือเผ่าของพวกเขา

ยิ่งได้ฟังฉินเทียนก็ยิ่งหน้าร้อนผ่าว ว่ากันตามจริงแล้วความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้สูงส่งอะไรเลย ยังเทียบกับหลัวเย็ไม่ได้ด้วยซ้ํา

อย่างไรก็ตาม สําหรับเหล่าชาวเผ่าที่อาศัยอยู่แต่ในห้วงมหาสมุทรอันมืดมิดแห่งนี้แล้ว การเรียกใช้สายฟ้าของฉินเทียนก็ไม่ต่างจากอะไรจากการลงมือของเทพเจ้า

สองวันต่อมา…วันที่พวกอัศวินปีศาจจะมาที่ชนเผ่าเพื่อเก็บส่วย

เมื่อถึงเวลารุ่งสาง หลัวเก็ให้ชาวเผ่าช่วยกันขนแก่นอสูรทั้งหมดมากองรวมไว้ที่ลานกว้างของหมู่บ้าน

แก่นอสูรที่เปล่งประกายกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันลูก ความอู่ฟูเช่นนี้กระทั่งสํานักนิกายใหญ่ๆก็ยังนับว่ามีทรัพย์สมบัติก้อนโต หากเหล่าผู้บ่มเพาะที่โลกภายนอกได้มาพบเห็นคงได้เปิดศึกแย่งชิงกันเป็นแน่

น่านน้ําทมิฬแห่งนี้นับว่ามีลักษณะพิเศษอันจําเพาะจริงๆ

ที่นี่เต็มไปด้วยฝูงสัตว์อสูร สภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ล้วนแฝงไว้ด้วยพลังงานปีศาจ ดังนั้นที่นี่จึงนับเป็นถิ่นที่อยู่ที่เหมาะสมต่อการดํารงชีวิตของพวกมัน แม้จะเกิดการล้างบางไปแล้วหลายครั้ง แต่จํานวนของพวกมันไม่เคยลดลง กลับกัน จํานวนของพวกมันยังเพิ่มมากขึ้นทุกปี

แก่นอสูร หลัวโหวต้องการแก่นอสูร

“อื้อเยว่เองก็ต้องการแก่นอสูรจํานวนมาก…..”

สถานการณ์ของสองคนนี้คล้ายกันมาก เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาใช้การกลืนกินแก่นอสูรเพื่อยกระดับฝีมือ?”

ฉินเทียนคิดขึ้นในใจก่อนจะตบบ่าของหลัวเฟิงที่อยู่ข้างๆ “หลัวเฟิง ท่านรู้หรือไม่ทําไมหลัวโหวถึงให้พวกท่านรวบรวมแก่นอสูร?”

สองวันมานี้หลัวเฟิงคอยติดตามฉินเทียนไม่เคยห่าง

นี่นับเป็นช่วงเวลาที่เป็นเกียรติที่สุดที่ได้ติดตามตัวตนสูงส่งเช่นฉินเทียนอย่างใกล้ชิด

ได้ยินคําถามของฉินเทียน หลัวเฟิงก็คิดอยู่

ก่อนจะส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้”

ฉินเทียนพยักหน้าเบาๆ หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “เคยมีใครกลืนแก่นอสูรไหม?”

“กลืนแก่นอสูร?” หลัวเฟิงผงะก่อนจะมองฉินเทียนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง จากนั้นจึงหันไปมองแก่นอสูรอย่างงุนงง “พี่ฉันคงล้อเล่นแน่ๆ การกลืนมันลงไปจะทําให้กระเพาะเกิดการระเบิด เช่นนี้แล้วยังจะมีผู้ใดกล้ากลืนเข้าไปอีก?”

“ใช่จริงด้วย!

ฉินเทียนร้องขึ้นในใจ บนใบหน้าฉายแววประหลาดใจออกมา

คิดไม่ถึงว่าชนเผ่าที่อาศัยอยู่ชายขอบของน่านน้ําทมิฬจะไม่ทราบว่าการกลืนแก่นอสูรจะช่วยยกระดับฝีมือให้แข็งแกร่งขึ้น นี่นับเป็นชนเผ่าหลงยุคอย่างแท้จริง พวกเขากระทั่งไม่ทราบเรื่องพื้นฐานเช่นนี้

ไม่มีความรู้ในด้านการปรุงยา ไม่มีทักษะ ไม่รู้การเพิ่มระดับบ่มเพาะด้วยการกลืนแก่น อีกทั้งวิชารักษายังล้าหลัง ทั้งหมดที่พวกเขาพึ่งพาก็คือร่างกายอันแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว

อาศัยเพียงร่างกายแข็งแกร่งก็คิดโค่นล้มหลัวโหวซิวที่แข็งแกร่งขึ้นจากการกลืนแก่น นี่ไม่ต่างอะไรจากการ เพ้อฝันเลยสักนิด

ตอนนี้ฉินเทียนเข้าใจแล้วว่าทําไมหลัวโหวซิวจึงเลือกที่จะล้มล้างอานาจเก่า และชิงอํานาจในการปกครอง ชนเผ่าทั้งหมดมาไว้ในมือ ทั้งหมดที่ทําไปก็เพราะต้องการอํานาจในการสั่งการชาวหมิงไห่ทั้งหมดไปเข่นฆ่าสัตว์อสูรเพื่อรวบรวมแก่นอสูรมาให้ตน

บางทีไหงื่อเย่วอาจจะพอคาดเดาได้บ้างบางส่วน ไม่อย่างนั้นนางคงไม่อาจเลื่อนระดับไปจนถึงระดับสี่ขั้นจักรวาลได้หรอก

หากแบ่งแก่นอสูรหนึ่งหมื่นแก่นให้นักรบหนึ่งร้อยคนกลืนลงไปล่ะก็…

ฉินเทียนตกตะลึง ด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งของชาวหมิงไห่แล้ว ความเร็วในการดูดซับจะต้องรวดเร็วมากเป็นแน่ อาศัยเวลาเพียงไม่กี่วันจะต้องรุดหน้าขึ้นช่วงใหญ่……

“พวกมันมาแล้ว”

“พวกอัศวินปีศาจมากันแล้ว”

ชาวเผ่าหน้าล้วนเปลี่ยนสี ฝ่ามือรวบกําหมัดแน่น

อัศวินปีศาจทั้งสิบแปดคนขี่แรดสายฟ้าเข้ามาพลางกวาดมองชาวเผ่าหลัวด้วยสายตาเย็นชา

บนร่างของพวกมันล้วนมีกลิ่นอายหยินชั่วร้ายแผ่ว่านออกมา

ฉินเทียนลองใช้กลิ่นอายนักล่าดูก็พบว่ากลิ่นอายชั่วร้ายของพวกมันหนาแน่นมาก คล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่พบจากร่างของปีศาจเก้าสวรรค์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันจะมาจากเผ่าปีศาจ?

ตอนที่เพลิงลี้ลับตกลงในป่าทมิฬ เผ่าปีศาจก็ถูกลบหายไปในชั่วข้ามคืน

นี่นับเป็นปริศนาอันยิ่งใหญ่ที่ขบคิดไม่ตกของทวีปเทียนหยวน

กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างของพวกอัศวินปีศาจนั้นไม่ใช่กลิ่นอายของมนุษย์ หากแต่เป็นปีศาจ

ไปได้หรือไม่ว่าเมื่อสามพันปีก่อน หลัวโหวจะกระโดดเข้าไปในเพลิงลี้ลับและพบเจอเข้ากับความลับของเผ่าปีศาจ?”

หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าหลัวโหวจะถูกเผ่าปีศาจควบคุมบงการ?

“แก่นมากมายขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้บ่มเพาะขั้นไร้มลทินก็ไม่อาจดูดกลืนได้หมดในเวลาอันสั้น หลัวโหวต้องการแก่นอสูรมากมายไปทำอะไรกันแน่?” ฉินเทียนมุ่นคิ้วลงอย่างใช้ความคิด เขากังวลว่าเบื้องหลังของหลัวโหวจะมีกลุ่มอํานาจคอยชักใยอยู่

“แล้วข้าจะกังวลให้ปวดหัวไปทําไมกันละเนี่ย”

“นี่ไม่ใช่เรื่องของข้า หลัวโหวจะมีคนหนุนหลังหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับข้าอยู่ดี

ฉินเทียนตัดสินใจว่าจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้ต่อ

อัศวินปีศาจทั้งสิบแปดนายนั่งเหยียดหลังตรง ในมือถือหอกเหล็กกล้าเอาไว้แน่น แรดสายฟ้าผ่นลมหายใจกรดออกมาพลางส่งเสียงคํารามเบาๆ

พวกอัศวินกระตุ้นแรดสายฟ้าให้เดินไปยังลานกว้าง เมื่อเห็นในลานกองไว้ด้วยแก่นอสูรเป็นภูเขาเลากา ความตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นในแววตาของหัวหน้าอัศวินปีศาจ หลังตั้งสติได้มันก็แค่นเสียงก่อนจะกล่าวออกมา “หลัวเย่ออกมานี่”

หลัวเย่ค่อยๆเดินเข้าไปหาด้วยความระมัดระวัง เขาโค้งกายลงก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสุภาพ “ท่านผู้ตรวจการ นี่ก็คือแก่นอสูรจํานวนหนึ่งหมื่นห้าพันแก่นขอรับ โปรดตรวจรับ”

“หนึ่งหมื่นห้าพันแก่น?” หัวหน้าอัศวินหัวเราะเสียงเย็นก่อนจะสะบัดหอกที่อยู่ในมือ ปลายหอกนั้นไปหยุดอยู่ ห่างจากดวงตาของหลัวเยู่เพียงไม่ถึงนิ้ว “ข้าบอกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันไปตอนไหนกัน? ที่จริงข้าบอกว่าสองหมื่นต่างหาก! รวบรวมมาให้ข้าได้เพียงหนึ่งหมื่นห้าพัน เจ้าอยากตายงั้นรึ?”

“สองหมื่น?!”

ชาวเผ่าต่างอุทานเสียงดัง ก่อนหน้านี้บอกหนึ่งหมื่นห้าพันชัดๆ ทําไมตอนนี้จึงเพิ่มเป็นสองหมื่นแล้วล่ะ?

คิดว่าพวกเขาโง่หรือ?

หากไม่ใช่ว่าเผ่าของพวกเขามีกฏว่าให้ผู้นําเผ่าเป็นผู้ตัดสินใจแล้วล่ะก็ ที่นี่คงเปลี่ยนเป็นวุ่นวายไปแล้ว

ประกายเย็นเยียบปรากฏขึ้นวาบในแววตาของหลัวเย่ ในใจเริ่มบังเกิดโทสะขึ้นมา

เดิมทีหลัวเยก็รู้สึกวิตกกังวลอยู่แล้ว เพราะตอนที่พวกอัศวินปีศาจมาที่นี่หมู่บ้านในครั้งก่อนๆ พวกเขาจะมากันเพียงห้านาย แต่วันนี้กลับมากันถึงสิบแปดนาย อีกทั้งทุกนายยังแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนๆ

ข้อเรียกร้องนั่นจะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่

“ท่านต้องการจะกวาดล้างพวกข้า?” ในใจของหลัวเย่ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะ เขาพยายามควบคุมตนเอง และเงยหน้าถามหัวหน้าอัศวินปีศาจ “ต้องการสองหมื่นแก่น?”

“ใช่แล้ว สองหมื่นแก่น”

“หากว่ารวบรวมมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ชนเผ่าเช่นนี้จะดํารงอยู่สืบไป”

“ฮ่าๆ…..”

หัวหน้าของเหล่าอัศวินปีศาจหัวเราะเสียงดัง อัศวินที่ติดตามอยู่ด้านหลังอีกสิบเจ็ดนายก็พากันหัวเราะตาม

ในความคิดของมันแล้ว แก่นอสูรจํานวนสองหมื่นแก่นไม่ใช่สิ่งที่หลัวเย่จะรวบรวมมาได้เลย หากมีแม้แต่ชิ้นเดียวที่ขาดไป เขาก็จะจัดการล้างเลือดที่แห่งนี้ทันที

ถึงเวลาเก็บกวาดชนเผ่ายิบย่อยเหล่านี้แล้ว

“หากพวกเรารวบรวมมาได้จนครบล่ะ?” หลัวเยู่กัดฟันเอ่ยถามออกไป

“หากพวกเจ้ารวบรวมมาได้จริงๆ พวกข้าแน่นอนว่าย่อมปล่อยพวกเจ้าไป ชนเผ่าของเจ้าก็จะอยู่รอดต่อไป”

“ประเสริฐ!”

หลัวเย่หันไปหาหลัวควงก่อนจะกล่าวว่า “นําแก่นอสูรออกมาอีกห้าพัน”

“เอ๊ะ?”

หัวหน้าอัศวินปีศาจพลันงุนงง เมื่อเห็นว่ามีนักรบเผ่านํากระสอบใส่ที่แก่นอสูรออกมาอีกสองใบ สีหน้าของมันก็เริ่มมืดครึ้ม

มันโมโหขึ้นมาแล้ว

ตอนแรกมันคิดว่าหลัวเย่จะรวบรวมแก่นอสูรมาได้ไม่ครบ คิดไม่ถึงว่าหลัวเย่จะเตรียมการเอาไว้อีก

“ท่านผู้ตรวจการ นี่ก็คือแก่นอสูรจํานวนสองหมื่นแก่นถ้วนขอรับ” หลังนําแก่นมารวมกันแล้ว หลัวเย่ก็กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึม แม้จะสัมผัสได้ถึงความโกรธจากหัวหน้าอัศวินปีศาจ กระนั้นเขาก็หาเกรงกลัวไม่

เห็นกองแก่นอสูรเพิ่มขึ้นมาอีกสองกอง หัวหน้าอัศวินปีศาจก็พลิกมือวูบและเก็บแก่นอสูรทั้งหมดเข้าแหวนมิติไป จากนั้นจึงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่เลว แก่นอสูรจํานวนสองหมื่นเม็ด เจ้าทําได้ไม่เลวเลยหลัวเย่ ดูจากผลงานอันน่าชื่นชมของเผ่าเจ้าแล้ว ข้าตัดสินใจว่าเดือนหน้าให้เผ่าของเจ้าส่งมอบแก่นอสูรจํานวนห้าหมื่นเม็ด”

“ห้าหมื่น?”

“ถล่มบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าสิ!”

หลัวควงคํารามขึ้นด้วยความโกรธ จิตสังหารเริ่มแผ่ซ่านออกจากร่าง

“หืม?”

สีหน้าของหว้หน้าอัศวินปีศาจพลันเปลี่ยนไป มันหันไปมองหลัวควงขณะที่จิตสังหารปรากฏขึ้นมา “หาที่ตาย!”

“ท่านผู้ตรวจการ พวกเราจะรวบรวมมาให้ได้ขอรับ!” หลัวเยรีบกล่าวขึ้น เขาส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลัว ควงห้ามผลีผลาม

“ฮ่าๆๆ…..ตอนนี้บิดากําลังอารมณ์ดี วันนี้จะละเว้นชีวิตสุนัขเจ้าก็แล้วกัน”

“อ้อ แล้วก็ทําตามคําสัญญาณของเจ้าให้ได้ด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้น…..” หวัหน้าอัศวินปีศาจแค่นเสียงเย็น “เจ้าย่อมรู้ถึงผลที่จะตามมา….”

“พวกเราจะพยายามสุดความสามารถเพื่อปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงขอรับ” หลัวเย่อมกายลงคํานับ

“ดี เช่นนั้นเดือนหน้าข้าจะกลับมาใหม่ ฮ่าๆ…”

หอกในมือถูกเก็บลงไป จากนั้นจึงกระตุ้นแรดสายฟ้าให้ออกหันหัวออกเดิน อัศวินผู้ติตามทั้งสิบเจ็ดนายก็กระตุ้นสัตว์ขี่ติดตามไป

“พี่ใหญ่ ท่านบ้าไปแล้วรี?!”

“นั่นมันแก่นอสูรจํานวนห้าหมื่นเลยนะ ห้าหมื่น! ทําไมท่านจึงตอบตกลงไปเช่นนั้น?” หลัวควงตรงดิ่งมาหาหลัวเย่

ในเวลาเดียวกัน นักรบของเผ่าหลายๆคนก็พากันเดินเข้ามาในลานกว้าง พวกเขาเพียงจ้องมองหลัวเย่ หากแต่ไม่เอ่ยวาจา

ครั้งนี้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากฉินเทียน อย่าว่าแต่แก่นอสูรจํานวนสองหมื่นเลย แม้แต่หนึ่งหมื่นกเป็นไปไม่ได้ การตั้งข้อเรียกร้องสูงถึงห้าหมื่นแก่นนี้ก็มีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นการหาข้ออ้างมากวาดล้างชนเผ่าของพวกเขา!

“หากไม่ตกลงที่นี่ก็จะเพิ่งนองไปด้วยเลือด เจ้าสัมผัสได้ถึงความคิดฆ่าฟันของพวกมันรี?” หลัวเย่กล่าวอย่างเย็นชา “การที่ตอบตกลงไป พวกเราก็จะมีเวลาให้เตรียมตัวอีกหนึ่งเดือน”

“พี่ใหญ่ ท่านตัดสินใจจะต่อสู้แล้ว?”

หลัวควงชะงักก่อนที่ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

หลัวเย่หวาดมองโดยรอบแต่ก็ไม่พบเห็นร่างของฉินเทียน เขาจึงหันกลับมากล่าวกับหลัวควง “ค่ํานี้พวกเราจะประชุมหารือกัน”

ฉินเทียนหายตัวไปแล้ว

ขณะที่พวกอัศวินปีศาจออกจากหมู่บ้านไป ฉินเทียนกลอบสะกดรอยตามโดยพาหลัวเฟิงไปด้วย

บนใบหน้าของฉินเทียนเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายและแววตาแห่งความโลภออกมาอย่างชัดเจน……