186 มากกว่าสามสิบคนจากโลกใต้ดิน
โรงเรียนทหารจักรกลมาเวเลีย เป็นโรงเรียนระยะยาวสิบปี เริ่มเรียนตั้งแต่อายุแปดขวบ
ตอนนี้ฉันอายุเก้าขวบ และกำลังจะอายุสิบขวบในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นฉันจึงย้ายเข้ามาเรียนยังชั้นประถมศึกษาปีที่สามของที่นี่
แต่หากพูดให้ชัดแล้ว จำนวนปีที่ใช้ในการสำเร็จการศึกษาจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละภาควิชา
หากเรียงตามนิยมแล้ว ภาควิชาทหารจักรกลที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ หลักสูตรสิบปี
ในประเทศนี้ พวกเขาถือเป็นอีลิท เป็นตัวเลือกลำดับแรกสำหรับ ตำแหน่งสำคัญ และนักบินของทหารจักรกล เพราะมันเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติพื้นฐานเช่นสีประจำตัว และพลังเวทมนตร์ ในแง่นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นหลักการที่มีประสิทธิภาพ
รองลงมาคือภาควิชาวิศวกรจักรกล
นี่เป็นงานที่ได้รับความนิยมเช่นกันเพราะเกี่ยวข้องกับการทำงานกับทหารจักรกล ยังไงก็ตามงานนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่ยังต้องใช้โค้ดสีระบุตัวตน และฝช้พลังเวทมนตร์ในการทดลอง และการตรวจสอบการทำงานด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้
ตัวเลือกยอดนิยมอันดับสามสำหรับผู้ที่พลาดจากภาควิชาทหารจักรกล และวิศวกรจักรกลคือ ภาควิชาวิศวกรเรือเหาะ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามาเวเลียได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับปรุงและพัฒนาเทคโนโลยีเรือเหาะ และดูเหมือนว่าผู้ที่มีความเป็นเลิศจะถูกจ้างงานในประเทศ
ที่เหลือ ม๊า ก็เรียกว่า หลักสูตรทั่วไป
แม้ว่าจะถูกจัดประเภทอย่างกว้าง ๆ เป็น「และอื่น ๆ」แต่ก็มีหลักสูตรการค้าและการผจญภัยด้วย นอกจากนี้ยังมาหลักสูตรช่างตีเหล็กด้วย
ยังไงก็ตาม นี่ไม่ได้รับความนิยมมากนักในประเทศนี้ นอกเหนือจากวิชาที่เกี่ยวข้องกับทหารจักรกลแล้ว ดูเหมือนว่าก็ไม่สำคัญว่าจะเลือกอันไหน
ฉันเลือกหลักสูตรทั่วไป
และดูเหมือนว่าเด็กในหลักสูตรทั่วไปจะมีจำนวนไม่มากนัก เห็นได้ชัดจากที่มีเพียงสี่คลาส ห้องล่ะห้าคนเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะโดนอัดแน่นอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีแสงแดดน้อย และไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวมากนัก
ม๊า ฉันเดาว่าพวกเขาพูดกันอย่างลับ ๆ ว่า「จงทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับสักมุมหนึ่งเพื่อที่จะได้ไม่ไปขวางทางเหล่าเอลีท」อะไรทำนองนั้น
หลักสูตรทั่วไป
หรือที่รู้จักในชื่อ 「หลักสูตรสามัญชน」
แม้แต่ครูที่ทำหน้าที่ดูแลยังดูไม่มีแรงจูงใจ และพูดแบบนั้น ฉันเดาว่าการศึกษาหลักสูตรทั่วไปในประเทศนี้น่าจะเป็นภาควิชาที่ถูกดูถูกที่โรงเรียน
อนึ่ง ที่สถาบันการศึกษาอาร์ตัวร์จะเป็นการศึกษาภาคบังคับที่เด็ก ๆ ต้องเข้าร่วม แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นที่นี่
วันแรกในโรงเรียนทหารจักรกล
ฉันไม่สามารถพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นทั้งสี่คนได้เพราะพวกเขาเอาแต่กระซิบกันอยู่ห่าง ๆ
คงเป็นเพราะอิทธิพลจากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้
ฉันแน่ใจเลยว่า ช่วงเวลาประมาณนี้ฉันแน่ใจว่าเรื่องราวการประกาศสงครามของฉันจะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียนแล้ว ฉันคิดขณะมุ่งหน้ากลับบ้าน
นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่ฉันมาอยู่ประเทศแห่งนี้ ฉันจึงคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่
สำหรับการช็อปปิ้ง ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดกลางเมือง
พนักงานต้อนรับสาวที่สมาคมการค้าดูแลฉันเป็นอย่างดี และได้รับการแนะนำให้รู้จักที่นี่จากเธอ
ฉันได้เฝ้ามองมาเวเลียตลอดเดือนที่ผ่านมา แนวคิดของการบูชาทหารจักรกลดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากในหมู่ชนชั้นกลางถึงชนชั้นสูง
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับชนชั้นล่าง
สำหรับพวกเขาสิ่งที่สำคัญกว่าคือ อาหารที่จะกินในวันพรุ่งนี้ และเงินเพื่อเลี้ยงชีพ ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญว่าบุคคลนั้นจะเป็นชาวต่างชาติหรือไม่ตราบใดที่พวกเขาจ่ายเงิน
――เมื่อดูจากสถานการณ์ที่โรงเรียน ฉันรู้สึกว่าการประกาศสงครามของฉันไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังจะแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอีกด้วย
“ฟุๆๆๆ”
ฉันอดที่จะหัวเราะไม่ได้
มีร้านค้าดี ๆ มากมายตั้งเรียงรายบนถนนสายหลักสายนี้ ซึ่งอาจเหมาะกับชนชั้นกลางถึงชนชั้นสูง โรงแรมที่ฉันแวะในวันที่มาถึงประเทศนี้ก็อยู่บนถนนสายนี้เช่นกัน
สักวันหนึ่งฉันอาจถูกเกลียดชังมากจนไม่สามารถเดินบนเส้นทางนี่ได้ และชาวบ้านทุกคนอาจปฏิบัติต่อฉันเหมือนเป็นศัตรู
ฉันรอคอยมันจริง ๆ
เป็นเรื่องของการโจมตีมาโจมตีกลับเท่านั้น ที่จริงแล้ว ตราบใดที่พวกเขายังใช้เหตุผลกับฉัน ฉนก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น
“ยินดีต้อนรับกลับครับ โอโจ้ซามะ!”
“ว้า โอโจ้!”
โอะโตะ
เมื่อฉันกลับมาถึงหน้าคฤหาสน์ ฝาแฝดบัลเจอร์กับคาลัวก็เปิดประตูต้อนรับฉัน บางทีคงอยู่ใกล้ ๆ กับประตูด้านในอยู่แล้ว
ไม่สิ เมื่อพิจารณาจากท่าทางแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะมารอฉันกลับก็ได้
บัลเจอร์กับคาลัว ทั้งคู่อายุแปดขวบ
ทั้งคู่เป็นฝาแฝดชายหญิง บัลเจอร์สวมชุดพ่อบ้านกางเกงขาสั้น ส่วนคาลัวสวมชุดเมด
แม้ว่าจะแยกพวกเขาได้ง่ายเนื่องจากเสื้อผ้าที่ใส่ต่างกัน แต่ใบหน้าและรูปร่างของพวกเขาคล้ายกันอย่างน่าประหลาดใจ
หลังโดนจับอาบน้ำและแต่งตัวแล้ว ก็ปรากฎผมสีแดงสว่างสลวย และดวงตาสีน้ำตาลซึ่งใกล้เคียงกับสีแดง เป็นการจับคู่กันได้ดี และพวกเขาก็มีลักษณะซุกซนและอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน เมื่อมองตอนนี้แล้ว ก็ยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาพึ่งจะเป็นขอทานที่ขออาหารจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ กลายเป็นเด็กทั่วไปที่มีชีวิตชีวา
อีกอย่างคนที่เรียกฉันว่า「โอโจ้」คือ คาลัว
“กลับมาแล้ว แล้วริโนกิสล่ะ?”
“อยู่ข้างในค๊า”
งั้นเหรอ …..ฉันเดาว่าเธอน่าจะกำลังยุ่งอยู่
กระเป๋าของฉันถูกขโมยไปโดยพ่อบ้านฝึกหัด บัลเจอร์ และเมดฝึกหัด คาลัวก็จูงมือฉันพอเข้าคฤหาสน์
” ――อะ ยินดีต้อนรับกลับค่ะ เนียซามะ”
ระหว่างทาง ฉันได้เจอกับมิโตะซึ่งกำลังเดินเซไปเซมาโดยถือถังน้ำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำ
“อาบน้ำ ต้องใช้เวลาอีกหน่อยค่ะ”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ถ้าเหนื่อยก็ไปพักเถอะ”
มิโตะซึ่งนอนติดเตียงมาจนกระทั่งเมื่อวันก่อน ต้องทำงานที่ใช้แรงเป็นอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วคือการตักน้ำสำหรับอาบ
ใช่แล้ว เธอกำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างร่างกาย
มิโตะดูเหมือนจะป่วยตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้นเธอจึงอยู่ในขั้นตอนการฝึกร่างกายของเธอ
――ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของการสอนเพียงพื้นฐานของ「คิ」กำลังแสดงออกมาอย่างรวดเร็ว เธอเข้าใจได้อย่างรวดเร็วมากจริง ๆ
เมื่อถามว่า「อยากสร้างร่างกายที่ไม่แพ้ต่อโรคภัยไหม?」มิโตะอาสาสมัครเอง เธอยอมรับด้วยความกระตือรือร้น
ท้ายที่สุดแล้ว หากบุคคลนั้นมีแรงจูงใจ ก็จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อฉันเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่ ซิกที่รออยู่ก็เข้ามาข้าง ๆ ฉัน
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ เนียโอโจ้ซามะ ริโนกิสซังอยากให้ท่านไปหาที่ห้องใต้ดินครับ”
“ได้สิ”
ถึงแม้ว่าคนรับใช่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก แต่จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี
ม๊า น่าจะใกล้ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยถึงอนาคตของพวกเขาแล้ว
เพราะดูเหมือนว่าสัญญาแรกเริ่ม「จนกว่าการทำความสะอาดและบำรุงรักษาคฤหาสน์จะเสร็จสิ้น」ได้สิ้นสุดลงแล้ว
……ทว่า ยังหาจังหวะไม่ได้นี้สิ ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่นิดหน่อย
เมื่อฉันลงไปที่ชั้นใต้ดิน ก็พบกับริโนกิส
ดูเหมือนว่าเธอกำลังเตรียมอาหารสำหรับวันนี้ และรออยู่
“ยินดีต้อนรับกลับค่ะ คุณหนู มาเร็วกว่าที่คาดไว้นะคะ”
“วันนีเป็นเพียงการทำความรู้จักกับคำอธิบายเท่านั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป คิดว่าคงไม่เป็นแบบนี้”
ฉันมองดูถุงกระสอบ และเดาว่าน่าจะบรรจุขนมปังหรืออาหารอื่น ๆ
“มีมาเพิ่มอีกแล้วเหรอ?”
“ค่ะ รอบนี้มีกันสามคน ตอนนี้พวกเราก็มีเกินสามสิบคนแล้วนะคะ ควรจะทำยังไงดีคะ?”
“ม๊า ก็คงต้องรอล่ะนะ”
เมื่อฉันมุ่งหน้าไปยังส่วนหลังของห้องใต้ดิน ริโนกิสก็ถืออาหารตามมาด้วย
“――คิดว่ายังไง? น่าจะได้เวลาที่จะสงบสติอารมณ์กันแล้วไหม?”
“――ไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ?”
ขณะที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ฉันก็เปิดประตูหนักอึ้งที่อยู่ด้านหลัง และ――
“ก้า”
“ลุย!”
“เฮบู๊วววววว”
ฉันโจมตีใส่ชายเปลือยที่กระโดดเข้ามาหาฉันทีล่ะคนทีล่ะคน โดยเป่าเข้าไปอัดด้านหนึ่งของกำแพง ไม่มีอะไรต้องพูดถึงเป็นพิเศษ ม๊า ฉันจะรู้สึกซาบซึ้งมากถ้าเกิดเข้ามาทั้งหมดในคราวเดียว
“ไม่เรียนรู้เลยเน๊ ……อ้า แต่เหมือนบางคนจะเรียนรู้เน๊ะ”
ที่ฉันตีไปมีแค่หกคน
ส่วนเมื่อวานมีมากกว่าสิบคน ดังนั้นฉันเดาว่าพวกเขาได้เรียนรู้แล้วว่าไม่ว่าจะทำอะไร ก็ไม่สามารถเอาชนะพวกฉันได้
“อย่างที่คิดไว้ พอมีคนเกินสามสิบคนไปแล้ว ห้องก็ดูแคบไปเลยเน๊ะ……แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ จ๊า นับจำนวน เริ่งจากหนึ่ง เชิญ”
หลังเมื่อบอกว่าเชิญ ชายชราเปลือยเปล่าก็พูดว่า เริ่มจากเขา
เสียงที่สั่นเทาด้วยความอับอาย เสียงที่สั่นเทาด้วยความโกรธ เสียงที่สั่นเทาด้วยความหนาวเย็น เสียงที่สั่นเทาด้วยความกลัว เสียงที่หดหู่ราวกับไม่มีชีวิตหรือราวกับสิ้นสุดแล้ว และอื่น ๆ ปกคลุมคนจนเกือบสามสิบคน
“――มีสองคนที่ไม่ได้พูด ลดอาหารลงครึ่งหนึ่ง”
ถึงจะถูกยัดเข้ามาอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่ก็สามารถบอกได้ว่าที่นี่มีกี่คน และหากต้องการก็สามารถนับได้ถึงหมื่น
อย่างที่พูดไป หากไม่ตอบรับ ปริมาณอาหารจะลดลง
“เดี๋ยวก่อน! ข้าหมดสติจนถึงเมื่อกี้นะ! แบบนั้นก็ตอบไม่ได้สิ!”
ถ้าฉันจำไม่ผิด ชายร่างกายเปลือยเปล่าดูกำยำที่ดูมีประสบการณ์คนนี้มาเพื่อโจมตีในคืนที่สาม ตะโกนขึ้นมา แต่ก็น่าเสียดาย
“ถ้างั้นคุณก็ควรหยุดก่อนที่จะลงมือทำสิ ฉันเป็นคนประเภทที่จะรักษาสัญญาที่ให้มากที่สุดไว้เสมอ”
“――ได้โปรดหยุดก่อน! น้า พวกข้าต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนกัน!”
ชายดูมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้เกาะติดกับประตู พยายามเรียกร้องผ่านประตู
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับบอสของพวกคุณเองไง ส่งข้อความไปแล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้าบอสของพวกคุณมาที่นี่ด้วยตัวเอง ฉันก็จะส่งให้ทันที”
“ยังไม่มาจริง ๆ งั้นเรอะ!?จริง ๆ แล้วมาแล้วใช่ไหม!?”
“ไม่มาเลยต่างหาก เพราะแบบนั้นวันนี้ถึงได้มีเด็กใหม่ไง ค่าอาหารก็เพิ่มเอาเพิ่มเอา ฉันเองก็รำคาญแล้วเหมือนกัน”
เจอกันพรุ่งนี้ หลังพูดแบบนั้น พวกเราก็ออกจากห้องใต้ดิน
ตอนแรกพวกเขาก็ตะโกนประมาณว่า 「พาข้าออกไปเดี๋ยวนี้」 และ 「ข้าจะฆ่าแก」 แต่ตอนนี้พวกเขาเงียบแล้ว
ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ฉันเริ่มอาศัยอยู่ที่ มาเวเลียก็เริ่มมีแขกมาเยี่ยม
เริ่มแรกก็เป็นพวกอันธพาล มาเฟีย
ม๊า ก็สักอย่างแหละ
ก็ฉันไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจหรือองค์กรของพวกเขา
โดยพื้นฐานแล้วฉันไม่มีเจตนาที่จะเจรจาด้วยซ้ำ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ถาม
พวกเขามองว่าที่นี่เป็นคฤหาสน์ที่มีแต่ผู้หญิงกับเด็กจากต่างประเทศ เลยคิดที่จะมาขโมย หรือไม่ก็คิดที่จะเข้ามาควบคุมด้วยความรุนแรง
ผู้ชายทุกคนที่แอบเข้ามาในเวลากลางคืนถูกจับ เปลื้องผ้า และโยนลงไปในห้องใต้ดิน ฉันดีใจจริงๆ ที่ประเทศนี้มีเครื่องมือเวทมนตร์ที่ช่วยกำจัดสิ่งสกปรกด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องปล่อยให้พวกเขาทำความสะอาดกันเอง
ทุกคนถูกจัดการด้วย「คิ」เพื่อป้องกันการใช้เวทมนตร์ และแน่นอนว่าไม่สามารถทำลายได้ด้วยเวทมนตร์ ส่วนประตูก็มีความแข็งแกร่งมาก ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะพังได้ด้วยมือเปล่า ในตอนที่ทำการซ่อมแซม ฉันได้ขอให้ติดตั้งอันที่ทนทานเป็นพิเศษ ทั้งห้องเองก็ได้รับการเสริมแกร่งด้วย เพราะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น
ฉันแค่ให้อาหารกับน้ำพวกเขาวันละครั้ง และไม่ทำอะไรเลย
ตอนแรกก็มีผู้ชายคนหนึ่งประกาศชื่อ「ข้าเป็นคนของ~」แม้ว่าฉันจะไม่ได้ถามสักคำ สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจปล่อยตัวไปคนหนึ่งโดยบอกไปว่า「จงไปบอกกับพวกเขา ถ้าบอสมาโดยตรงจะคืนให้ทั้งหมด」
ผ่านไปเกือบสองสัปดาห์แล้ว และถึงแม้จะมีแขกมาเพิ่ม แต่ฉันก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากเขาเลย
คฤหาสน์แห่งนี้อยู่ภายใต้การจับตาอย่างต่อเนื่องมาระยะหนึ่งแล้ว
วันนี้ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันคิดว่าจะมีคนมายุ่งกับฉันตอนที่เดินอยู่คนเดียว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เล็งเป้ามาที่ฉัน แต่เลือกยุ่งอยู่กับคฤหาสน์ตอนที่ฉันไม่อยู่ที่นั่นแทน
ซึ่งก็ถูกริโนกิสจับไว้ได้ทั้งหมด และจำนวนนักโทษก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
“ควรจะทำยังไงดี? นี่ก็มีมากกว่าสามสิบคนแล้ว แบบนี้จะไม่มากเกินไปเหรอ?”
“ดิฉัน ก็อย่างที่พึ่งพูดไปเองเมื่อกี้ไงค่ะ บอสไม่ยอมมาจริงไหมคะ? ทำไมไม่ให้ทางนี้ไปทักทายก่อนล่ะคะ?”
“ก็ไม่ใช่ธุระของฉันจริงไหม? จะให้ฉันไปหาก่อน? เพื่อไปบอกว่าจะขอคืนลูกน้องของคุณนะ?”
“……ถ้าพูดแบบนั้นก็ไม่จริง ๆ แหละค่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ?”
การปฏิบัติต่อเชลยศึกเป็นเรื่องยาก