ตอนที่ 147 ชีวิตเราเหมือนดั่งละครที่ต้องอาศัยทักษะการแสดง (4)

หวนคืนชะตาแค้น

มู่ชิงอีปรายตามองแววตาที่ไม่ได้แฝงท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อยแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่หญิงใหญ่จำผิดแล้วกระมัง ชิงอีจำได้ว่า…ก่อนคืนวันที่ท่านแม่ของหม่อมฉันสิ้นใจ พี่หญิงใหญ่ใหญ่ยังกลับมาที่จวนอยู่เลย ทั้งๆ ที่ชิงอีเห็นพี่หญิงใหญ่ แต่พี่หญิงใหญ่กลับไม่เห็นชิงอีอย่างนั้นหรือเพคะ”

“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” จู่ๆ โหรวเฟยก็ร้องแหวเสียงสูงด้วยความตกใจ จากนั้นแววตาที่มองไปยังมู่ชิงอีก็เหมือนอาบไปด้วยพิษในชั่วพริบตา มุมปากของมู่ชิงอีที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้ายกขึ้นเล็กน้อย

ตนรู้ว่าพูดเรื่องนี้กับมู่เฟยหลวนในเวลานี้ถือเป็นเรื่องอันตราย แต่ด้วยสถานะของตนมิอาจเข้ามาในวังได้บ่อยๆ และตนก็ไม่ได้อยากเข้าวังเช่นกันเลยทำได้แค่คว้าโอกาสนี้ใช้เดิมพันต่อกรกับมู่เฟยหลวนดูสักครั้ง อีกอย่างตนเชื่อว่ามู่เฟยหลวนไม่มีทางกล้าลงมือทำอะไรในวังแน่นอน

มู่ชิงอีมองมู่เฟยหลวนด้วยสายตาฉงน อมยิ้มกล่าว “พี่หญิงใหญ่เป็นอะไรไปหรือเพคะ ท่านแม่ป่วยหนัก พี่หญิงใหญ่กลับมาเจอท่านแม่เป็นครั้งสุดท้ายมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ”

มู่เฟยหลวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ นางซ่อนหมัดทั้งสองข้างที่กำไว้แน่นภายใต้แขนเสื้อพร้อมร่างที่สั่นเทาเล็กน้อย นางพยายามสงบสติอารมณ์ลงแล้วจับจ้องแววตาของมู่ชิงอีแน่นิ่ง เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “เจ้ามองผิดแล้ว หลังจากข้าเข้าวังมาก็ไม่เคยแวะกลับไปที่จวนซู่เฉิงโหวเลยสักครั้ง”

มู่ชิงอีกลับไม่ได้ถูกนางจัดการจนยอมแพ้ง่ายดายขนาดนั้น ความสงสัยในแววตาทั้งสองข้างมีมากขึ้นกว่าเดิม กะพริบตาเอ่ยถามขึ้นว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน หม่อมฉันจำได้ไม่มีผิด ทั้งๆ ที่หม่อมฉันเห็นพี่หญิงใหญ่กลับมากับตาเลยนะเพคะ!”

“เจ้าสี่!” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าสถานการณ์ชักไม่ค่อยดีเลยรีบเอ่ยห้าม ไม่ว่าตอนนั้นมู่เฟยหลวนจะกลับมาด้วยเหตุผลอันใดแต่ลำพังแค่เรื่องที่นางแอบออกนอกวังก็สำคัญมากแล้ว ในฐานะพระสนมหากออกวังไปโดยไม่มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ ถ้าถูกจับได้ขึ้นมามีความเป็นไปได้สูงที่มู่เฟยหลวนอาจโดนจับเข้าตำหนักเย็น ความจริงเรื่องของมู่เฟยหลวนในตอนนั้นมู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้เรื่องด้วย แต่พอได้ฟังบทสนทนาระหว่างมู่เฟยหลวนและมู่ชิงอีในตอนนี้แล้วจะมีอะไรที่นางไม่เข้าใจอีก ความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฟยหลวนกับสะใภ้จังไม่ได้ดีถึงขั้นนางต้องยอมแหกกฎในวังเพื่อกลับจวนมาเยี่ยมสะใภ้จังขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นวันที่สองที่นางกลับมาสะใภ้จังก็สิ้นใจแล้ว

มู่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เป็นคนสมองเลอะเลือน นางพอเข้าใจเรื่องราวมากมายทั้งหมดนี้ เพียงแต่แสร้งทำเป็นเลอะเลือนก็เท่านั้น

“เจ้าสี่! พี่หญิงใหญ่ของเจ้าว่าเช่นไรก็เป็นไปตามนั้นแหละ เจ้ายังเด็กเรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก หลังกลับไปย่าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังดีๆ ก็แล้วกัน” มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปลอบเสียงขรึม มู่ฮูหยินผู้เฒ่ากังวลว่ามู่ชิงอีจะเกิดโมโหขึ้นมาแล้วเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้คนนอกรู้ จริงๆ หลายวันมานี้อารมณ์ของเจ้าเด็กนี่แปรปรวนจนยากจะคุมไว้ได้ ตอนนี้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจึงแค่อยากปลอบเอาใจนางก่อน รอกลับจวนซู่เฉิงโหวค่อยคุยกันง่ายกว่า

พอได้ฟังคำพูดของมู่ฮูหยินผู้เฒ่า มู่ชิงอีก็อดลอบหัวเราะในใจไม่ได้

มู่ฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่านางหลอกง่ายเหมือนเด็กสามขวบหรืออย่างไรกัน

พอมู่ฮูหยินผู้เฒ่าพูดแทรกขึ้นมาเช่นนี้ มู่เฟยหลวนก็อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อยพลันแอบตรึกตรองในใจอย่างรวดเร็ว นางไม่รู้ว่าเรื่องในตอนนั้นมู่ชิงอีรู้มากน้อยแค่ไหน เมื่อวานตอนที่ฝ่าบาททรงตรัสว่าจะแต่งตั้งมู่ชิงอีเป็นจวิ้นจู่ก็ทำเอานางตกใจไม่น้อย ในระยะเวลาอันสั้นนางหวาดกลัวจนแทบทำอะไรไม่ถูกและเดาไม่ออกว่าฝ่าบาททำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่

หากคนที่ถูกแต่งตั้งเป็นมู่อวิ๋นหรง มู่อวี่เฟยหรือกระทั่งมู่สุ่ยเหลียนคนใดคนหนึ่ง มู่เฟยหลวนคงรู้สึกว่าเป็นพระกรุณาธิคุณอันสูงส่งนัก แต่พอสถานะนี้ไปตกอยู่บนตัวมู่ชิงอี มู่เฟยหลวนก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของภัยอันตราย ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทยังทรงแต่งตั้งสมญานามให้ว่า ‘ฉังหนิง’ อีกต่างหาก คนอื่นอาจไม่รู้ แต่มู่เฟยหลวนจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าสตรีผู้นั้น…มีสมญานามว่าฉังหนิง

มู่หรงเฟยที่คิดว่าหากมู่ชิงอีเสียโฉมแล้วทุกอย่างคงสงบก็กลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง แต่ฮ่องเต้แคว้นหวาไม่ได้ให้เวลานางรับมือเลยเพราะวันที่สองก็เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพแล้ว มู่ชิงอีที่เพิ่งถูกแต่งตั้งย่อมต้องเข้าวังมาขอบพระทัยในความกรุณาธิคุณของฝ่าบาทอยู่แล้ว

พอสงบสติอารมณ์ลงได้ มู่เฟยหลวนก็ยิ้มเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “น้องหญิงสี่ เมื่อครู่ข้าใช้อารมณ์ไปหน่อย เจ้าอย่ากลัวไปเลย ก็อย่างที่ท่านย่าบอก เจ้าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกดีกว่า ตอนนั้นข้ายังวัยเยาว์นักเลยไม่รู้หนักรู้เบา ข้าเกิดเป็นห่วงท่านแม่ขึ้นมาเลยรีบกลับจวนไป หากใครรู้เข้าคงไม่ดีกับจวนซู่เฉิงโหวแน่ เจ้าเองก็รู้ว่าพี่หญิงมีศัตรูในวังมากมาย มีตั้งกี่คนที่คอยจับจ้องจะหาจุดอ่อนของพี่หญิงอยู่ ดังนั้นพี่หญิงเลยใจร้อนไปหน่อย เจ้าอย่าโกรธพี่หญิงเลยได้หรือไม่เล่า”

ครั้นทุกคนเห็นว่ามู่เฟยหลวนมีท่าทีเกรงใจมู่ชิงอีเช่นนั้น นอกจากมู่ฮูหยินผู้เฒ่แล้วาคนอื่นๆ ก็อดเบิกตาโตไม่ได้ มู่ชิงอีเห็นว่าพอสมควรแล้วเลยคลี่ยิ้มกล่าว “น้องหญิงสี่จะโกรธพี่หญิงใหญ่ได้เช่นไรเล่า น้องหญิงสี่เองก็ทำเรื่องไม่ดีไว้เหมือนกัน พี่หญิงใหญ่เองก็อย่าโกรธอีเอ๋อร์เลยนะเพคะ”

พอเห็นมู่ชิงอียิ้มตาหยี ไม่รู้เหตุใดในใจของมู่เฟยหลวนกลับยิ่งไม่สบายใจกว่าเดิม นางมองมู่ชิงอีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าทำเรื่องไม่ดีอันใดหรือ อยากให้พี่หญิงช่วยแบ่งเบาเจ้าหรือไม่”

มู่ชิงอีส่งยิ้มหน้าระรื่นให้นาง ฉับพลันก็ยกมือขึ้นดึงผ้าปิดหน้าออก ทุกคนในพระตำหนักต่างอดกรีดร้องเสียงตกใจออกมาไม่ได้ จากนั้นก็เห็นเพียงหญิงสาวผิวงามนวลเนียนภายใต้ผ้าปิดหน้า แววตาสองข้างสุกใสชวนให้ไหวหวั่น งามสง่า บุคลิกเยือกเย็นสุขุม นางเพียงแค่ยืนแน่นิ่งท่ามกลางพระตำหนักเช่นนี้แต่กลับชวนให้ดูสงบและงดงามโดดเด่นเหนือใคร พวกมู่อวิ๋นหรงที่เดิมทีแอบได้ใจในรูปโฉมของตนเองอดเอามือมาปิดหน้าไม่ได้ ครั้นได้สติเห็นว่าตนทำท่าทางเช่นนั้นอยู่ ก็รีบเอามือลงด้วยความโมโหยิ่งกว่าเดิม

หญิงสาวตรงหน้าผ่านการแต่งหน้ามาอย่างประณีต ถึงแม้จะไม่ได้แต่งเต็มยศงดงามดั่งผู้สูงศักดิ์กลบรัศมีใคร แต่ก็สวยสะดุดตาจนชวนให้หวั่นไหวได้ ใบหน้าที่งดงามดั่งหยกขาวหิมะนั้นมีร่องรอยเสียโฉมที่ไหนกัน

“เป็นไปได้เช่นไร เจ้าเสียโฉมไม่ใช่หรือ” มู่อวิ๋นหรงทนไม่ไหว ตะโกนเสียงแหลมดังขึ้นมาก่อน

มู่ชิงอีมองมู่อวิ๋นหรงด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแวบหนึ่ง “ของที่สะใภ้ซุนและพี่หญิงสามส่งมาข้ากินไปแค่ครึ่งเดียวเลยมีตุ่มใสขึ้นไม่กี่วันเท่านั้น ส่วนท่านพ่อ…คาดว่าท่านพ่อคงลืมไปว่าในเรือนหลานจื่อมีครัวเล็กอยู่ ในเมื่อท่านพ่ออยากจะทานข้าวเป็นเพื่อนข้า แล้วเหตุใดถึงไม่ลองชิมอาหารของเรือนหลานจื่อดูบ้างเล่า”

“เจ้าให้คนเปลี่ยนอาหารอย่างนั้นหรือ” มู่อวิ๋นหรงกรีดร้อง

มู่ชิงอียิ้มบาง “อิ๋งเอ๋อร์บอกข้าว่านางเผลอทำอาหารของครัวใหญ่หกเลอะเทอะหมดเลยทำใหม่ คิดไม่ถึงว่าท่านพ่อจะจำรสชาติไม่ได้ ”

เมื่อมู่อวิ๋นหรงนึกถึงสาวใช้ฝีปากจัดจ้านในจวนผู้นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่มู่ชิงอีพูดคงเป็นความจริง มิเช่นนั้นจะอธิบายได้เช่นไรว่าเหตุใดใบหน้าถึงยังดีอยู่อย่างนี้

“แล้วเหตุใดเจ้าต้องแสร้งทำเป็นเสียโฉมด้วย” มู่เฟยหลวนถามด้วยความยากลำบาก นางจับจ้องใบหน้าอันสะอาดหมดจดของมู่ชิงอีแน่นิ่งราวกับขยับสายตาไปที่ไหนไม่ได้ชั่วขณะ

มู่ชิงอีเอียงศีรษะอมยิ้มกล่าว “ท่านพ่ออยากให้ชิงอีเสียโฉม แล้วชิงอีจะทรยศต่อความต้องการของท่านพ่อได้เช่นไรเล่าเพคะ แต่ว่า…วันนี้เห็นเหล่าคุณหนูสวยๆ ตั้งมากมาย ชิงอีเลยรู้สึกว่า…สตรีอย่างเราหากหน้าตาสะสวยถึงจะชวนให้คนชื่นชอบ พี่หญิงใหญ่คิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่เล่าเพคะ พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงใหญ่คงไม่กล่าวโทษว่าชิงอีดื้อหรอกใช่ไหมเพคะ”

มู่เฟยหลวนรู้สึกว่าตนไม่เคยอัดอั้นตันใจขนาดนี้มาก่อน ถึงแม้ตอนที่นางเข้าวังมาแรกๆ จะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ทว่าทุกย่างก้าวอันยากลำบากในวังยังไม่ทำให้นางรู้สึกอัดอั้นเท่ายามนี้เลย ครั้นเห็นสีหน้าใสซื่อบนใบหน้างดงามที่แสนคุ้นเคยของมู่ชิงอี นางกลับไร้หนทางจะเก็บความชั่วร้ายในใจไม่ให้ระเบิดออกมาได้ เพียงเวลาสั้นๆ ครรภ์ของนางก็เกิดอาการปวดขึ้นมารำไร

ตอนต่อไป