ตอนที่ 148 ชีวิตเราเหมือนดั่งละครที่ต้องอาศัยทักษะการแสดง (5)

หวนคืนชะตาแค้น

มู่เฟยหลวนสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าจะคุยกับท่านพ่อเอง ข้าไม่โทษเจ้าเลย เจ้าเอาผ้าปิดหน้าไว้ห้ามเอาออกอีกรู้หรือไม่ อย่างน้อย…วันนี้ก็ห้ามถอดออกเด็ดขาด!”

มู่ชิงอีหลุบตาลงพร้อมเผยท่าทีไม่ยินยอมบนใบหน้า มู่เฟยหลวนแค่นเสียงเย็นชา หรี่ตาลงแล้วเอ่ยข่มขู่ว่า “เจ้ารู้หรือไม่เพราะเจ้าเสียโฉมดูน่าสงสารพระองค์ถึงได้ทรงแต่งตั้งให้เจ้าเป็นจวิ้นจู่ หากฝ่าบาททรงรู้เข้าว่าเจ้าไม่ได้เสียโฉม แบบนี้เจ้าคงต้องโทษโป้ปดต่อกษัตริย์เชียวนะ! เข้าใจหรือไม่”

“น้องหญิง กำลังพูดถึงใครต้องโทษโป้ปดต่อกษัตริย์อย่างนั้นหรือ” ฉับพลันนอกประตูก็มีเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น มู่เฟยหลวนมองมู่ชิงอีด้วยท่าทีลนลานตกใจ แต่ต่อให้อยากเตือนนางปิดผ้าลงแค่ไหนก็ไม่ทันแล้ว เพราะฮ่องเต้แคว้นหวาเดินก้าวฉับๆ เข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว

“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนรีบลุกขึ้นทำความเคารพ

“ลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้แคว้นหวาโบกมือกล่าว จากนั้นฝีเท้าก็หยุดชะงักอยู่มุมที่ไม่ไกลจากมู่ชิงอีนัก ภายในพระตำหนักเงียบสงัดขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ดังขึ้นว่า “เจ้า…เงยหน้าให้ข้าดูทีเถิด”

มู่ชิงอีดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย ขณะที่นางเงยหน้าขึ้นมากลับเผยท่าทีใคร่รู้อย่างไร้เดียงสา

ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องสาวน้อยในชุดสีเหลืองที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นอยู่นาน ในเวลาอันสั้นนัยน์ตาสีดำสนิทก็มีอารมณ์หลากหลายพาดผ่านนับไม่ถ้วน เหมือนมีทั้งความคะนึงหา ความเสียใจ ความไม่พอใจ และความปิติยินดี “เจ้า…นามว่ามู่ชิงอีใช่หรือไม่”

มู่ชิงอีฉีกยิ้มกล่าว “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันคือมู่ชิงอีเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นหวาจับจ้องรอยยิ้มสดใสราวกับแสงตะวันบนใบหน้าของนางแล้วอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่กลัวเราหรือ” มู่ชิงอีกะพริบตายิ้มเอ่ยอย่างสงสัยว่า “กลัวหรือเพคะ เหตุใดมู่ชิงอีต้องกลัวฝ่าบาทด้วย ฝ่าบาททรงมีคุณงามความดีโด่งดังไปทั่วหล้า เป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาราษฎร์ ชิงอีรู้สึกสรรเสริญฝ่าบาทยิ่งนัก”

“หืม?” ได้ยินคำยกยอของมู่ชิงอีเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย จากนั้นก็มองมู่ชิงอีพร้อมยิ้มตาหยีว่า “เด็กไหวพริบดีอย่างเจ้าช่างหาได้ยากนัก อีกอย่างยังว่าง่ายกว่าหมิงฮุ่ยอยู่มากโข”

มู่ชิงอีหลุบตาพร้อมยิ้มบางกล่าว “ชิงอีเทียบไม่ได้กับองค์หญิงหมิงฮุ่ยผู้ทรงศักดิ์หรอกเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นหวายิ้มกล่าว “เหลวไหล! เจ้าเป็นถึงฉังหนิงจวิ้นจู่ที่เราแต่งตั้งเองกับมือ แล้วจะไม่สูงศักดิ์ได้เช่นไร มิเช่นนั้นเราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นองค์หญิงเลยเป็นอย่างไรเล่า”

ทุกคนต่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีแค่พูดประโยคธรรมดาเรียบง่ายไม่กี่ประโยคก็เอาใจฝ่าบาทจนคิดจะแต่งตั้งให้นางเป็นองค์หญิงได้แล้ว พวกนางทั้งสามยิ่งนึกอิจฉาเข้าไปใหญ่ ภายในใจแอบขบคิดว่าคำพูดยกยอของมู่ชิงอีก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร หากให้นางกล่าวยกยอฝ่าบาทล่ะก็ พวกนางพูดได้น่าฟังกว่ามู่ชิงอีเสียอีก

เพียงแต่พวกนางไม่รู้เลยว่าการพูดประจบเอาใจต้องดูองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงอีหน้าตางดงามเช่นนี้ แสดงสีหน้าเช่นนี้ ต่อให้นางจะเยินยอเอาใจแค่ไหนฮ่องเต้ก็คงไม่คิดจะสนใจนาง บัดนี้พระองค์เอานางและองค์หญิงหมิงฮุ่ยมาพูดเปรียบเทียบกันกระทั่งเสนอว่าจะแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิง ไม่ว่าจะมาจากใจจริงหรือพูดขึ้นเฉยๆ อย่างน้อยก็ยืนยันได้เรื่องหนึ่งว่าเวลานี้ฮ่องเต้แคว้นหวาเห็นนางเป็นเพียงบุตรีของจังฮูหยิน ไม่ได้มองว่านางเป็นสตรีที่มีหน้าตาละหม้ายคล้ายคลึงจังฮูหยินแต่อย่างใด สำหรับมู่ชิงอีแล้วนับว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ถึงแม้นางจะเตรียมใจพร้อมรับทั้งสองสถานการณ์ไว้แล้ว แต่หากเป็นไปตามข้อแรกจะสะดวกกว่าข้อหลังอยู่มาก ไม่ใช่แค่เรื่องภารกิจและชื่อเสียงของนางเท่านั้น หากคิดในแง่ความรู้สึกของฮ่องเต้ตามข้อแรกก็จะยิ่งได้เปรียบมากกว่า บุตรสาวของจังฮูหยินมีเพียงคนเดียว แต่สตรีที่หน้าตาคล้ายจังฮูหยินไม่ได้มีเพียงมู่ชิงอีเท่านั้น

สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นแค่นึกถึงความรู้สึกที่ฮ่องเต้ทรงมีต่อน้าหญิง นางก็รู้สึกขยะแขยงจับใจ หากให้มาเป็นดั่งตัวแทน มู่ชิงอีกังวลว่าตนยังไม่ทันโค่นพวกมู่หรงอวี้ลงได้คงชิงฆ่าฮ่องเต้แคว้นหวาตายเสียก่อน

“ขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าบาทเพคะ แต่ชิงอีไม่ได้มีความดีความชอบเลยมิบังอาจรับไว้ และยิ่งมิบังอาจลบหลู่ต่อพระราชโองการของฝ่าบาทด้วยเพคะ”

ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนเราก็มักชอบให้คนอื่นมายกยอตนอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี โดยเฉพาะหากคนที่ตนให้ความสนใจเอ่ยชื่นชมก็ยิ่งชวนให้รู้สึกหัวใจเบิกบานได้อย่างง่ายดาย ตลอดชีวิตนี้เรียกได้ว่าฮ่องเต้มีชีวิตที่ราบรื่นดี ความเสียใจเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตก็คือเขาดันไปมีความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อฮูหยินของขุนนางผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตตนไว้ เขาให้เคารพต่อผู้หญิงคนนั้นมาก นางไม่ยินยอมเขาก็ไม่กล้าบีบบังคับ ถึงแม้สุดท้ายเขาจะสมดั่งใจหวังในที่สุดแต่ผู้หญิงคนนั้นกลับใกล้สิ้นใจแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นการสูญเสียและความเสียใจเพียงอย่างเดียวในชั่วชีวิตของฮ่องเต้แคว้นหวาเลยก็ว่าได้ ถึงแม้มู่ชิงอีจะไม่ใช่จังอันหรู แต่พอได้เห็นรอยยิ้มสดใสของสาวน้อยผู้นี้ ฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าหากนางเป็นพระธิดาของตนจะดีขนาดไหนกัน พอได้ฟังคำพูดของนางก็ชวนให้รู้สึกราวกับเป็นคำยกยอให้เกียรติที่ไม่เคยได้ยินจากสตรีที่ไหนมาก่อน

ตนเป็นฮ่องเต้มาเกือบสามสิบปีจึงไร้ซึ่งความระมัดระวังและขาดการควบคุมอารมณ์เหมือนตอนเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์นานแล้ว เขาอยากทำอะไรก็ทำ อยากฆ่าใครก็ฆ่า อยากจะโปรดปรานใครก็โปรดปรานคนนั้น เจ้าหนูคนนี้เป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของอันหรู อีกอย่างยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับมู่ฉังหมิงด้วยแต่กลับเลื่อมใสในตัวเขา

ฮ่องเต้พลันรู้สึกว่าบางทีเดิมทีเด็กคนนี้อาจจะเป็นบุตรีของเขากับอันหรูก็ได้ ทว่าดันพลาดไปเกิดในจวนซู่เฉิงโหวเลยทำให้มู่ฉังหมิงไม่ชอบนาง เห็นได้ชัดว่านางเองก็ไม่ได้ชอบมู่ฉังหมิงเช่นกัน พอนึกถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ฮ่องเต้ก็ยิ่งดีใจขึ้นมาชั่วขณะ แววตาที่ใช้มองมู่ชิงอีก็ยิ่งรักใคร่เอ็นดูนางยิ่งกว่าเดิม

ครั้นเห็นแววตาเอ็นดูรักใคร่จากฮ่องเต้ มู่ชิงอีก็ลอบพรูลมหายใจ การเดิมพันครั้งนี้อันตรายไม่น้อย หากครั้งแรกที่ฮ่องเต้เห็นนางแล้วสีหน้าท่าทีของนางที่แสดงออกมาไม่ถูกต้องแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นผลลัพธ์ในตอนนี้อาจจะแบ่งออกเป็นสองทาง เพราะด้วยสถานะของนางจึงรู้ดีว่าหากแวบแรกที่ฮ่องเต้เห็นนางเป็นดั่งบุตรสาวของคนในใจของเขา วันข้างหน้าเขาก็จะมองนางเป็นลูกหลาน ต่อให้จะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานมากนักแต่ก็คงไม่คิดกับนางเป็นอื่น แต่ถ้าแวบแรกที่เห็นนางแล้วให้ความรู้สึกเหมือนสตรีคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนจังฮูหยิน เช่นนั้นนางก็ต้องเริ่มคิดหาวิธีว่าจะหนีเอาตัวรอดจากการเป็นสนมในวังเช่นไรแล้ว ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นหวาจะคิดอย่างไรกับน้าหญิง แต่มู่ชิงอีรู้ดีว่าหากฝังอยู่ในใจมาได้นานนับยี่สิบกว่าปีเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ความหลงใหลจากกามอารมณ์อย่างแน่นอน

สำหรับในใจของฮ่องเต้แล้ว น้าหญิงคงอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากคนอื่น และตอนนี้…ตนต้องใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกละอายใจต่อน้าหญิงอยู่บ้างแต่ก็ไม่นึกเสียใจเลย

ฮ่องเต้แคว้นหวาประคองมู่ชิงอีลุกขึ้นพร้อมอมยิ้มเอ่ย “เด็กคนนี้ช่างรู้ความนัก มา ลองบอกเราทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของเจ้า แล้วก็เรื่องโทษโป้ปดต่อกษัตริย์ที่โหรวเฟยพูดอะไรนั่นเมื่อครู่นี้ด้วย”

โหรวเฟยหยัดกายลุกออกจากที่นั่งให้ฮ่องเต้นั่งนานแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ไม่กล้านั่งจึงทำได้แค่ยืนอยู่เช่นนั้นไปตามๆ กัน มู่ชิงอียิ้มกล่าว “เมื่อครู่ชิงอีบอกเรื่องที่ไม่ได้เสียโฉมกับพี่หญิง ชิงอีกลัวท่านพ่อโกรธเลยอ้อนวอนพี่หญิงให้ช่วยเหลือเพคะ ฝ่าบาท เช่นนี้จะเป็นการโป้ปดต่อกษัตริย์หรือไม่ โปรดฝ่าบาททรงอภัยให้ชิงอีด้วย ชิงอีไม่ได้มีเจตนาจะโป้ปดต่อกษัตริย์เลยนะเพคะ”

ฮ่องเต้แคว้นหวากล่าว “มีบุตรีที่งดงามคนหนึ่งเช่นนี้ มู่ฉังหมิงจะโกรธได้เช่นไร อย่ากังวลไปเลยเขาไม่กล้าโกรธเจ้าหรอก เราเองก็ไม่โกรธเจ้าเลย แต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ก็เพราะชิงอีฉลาดหลักแหลม ไม่ใช่เพราะเรื่องเสียโฉมอะไรนั่น” ขณะที่พูดสายตาของฮ่องเต้ก็ตวัดมองใบหน้าโหรวเฟยแวบหนึ่ง แววตาดั่งแสงประกายจากปลายมีดทำเอาโหรวเฟยสะท้านเฮือกในใจจนก้มหน้าไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก

ตอนต่อไป