ตอนที่ 267 ยอดเขาเร้นเมฆา (3) ตอนที่ 268 ยอดเขาเร้นเมฆา (4)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 267 ยอดเขาเร้นเมฆา (3)

คนเหล่านี้อิจฉาจวินอู๋เสียอย่างถึงที่สุดตอนที่เห็นผู้อาวุโสทั้งสองท่านแย่งชิงตัวนาง เดิมทีพวกเขาก็คิดว่าตัวเองจะตกรอบหมดหวังเสียแล้ว ใครจะรู้ว่าเพิ่งก้าวลงจากยอดเขาได้ไม่เท่าไร ก็ได้พบกับศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาเดินมาบอกพวกเขาหลายสิบคนตรงนั้นว่าพวกเขาถูกเคอฉังจวีเลือก และนับแต่นี้ไปให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในยอดเขาเร้นเมฆา เป็นศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาอย่างเป็นทางการ

ช่างเป็นสถานการณ์ที่พลิกผันเกินคาด!

จากความสิ้นหวัง กลับกลายเป็นความปีติยินดีจนแทบบ้า ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้เห็นหน้าจวินอู๋เสียอีกครั้ง ความริษยาที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในหัวใจมาโดยตลอดก็ระเบิดออก

ถูกผู้อาวุโสทั้งสองท่านแย่งแล้วอย่างไร ไม่ใช่ว่าพวกเขาก็ได้เข้าร่วมกับยอดเขาเร้นเมฆาเหมือนกันหรือ เจ้าเด็กนั่นมันมีความสามารถอะไร ไม่ใช่ว่าพวกเขาก็มีเหมือนกันหรืออย่างไรกัน

อายุสิบกว่าปีเป็นวัยแห่งการต่อต้านและการก่อกบฏ กลุ่มเด็กหนุ่มสาวที่ค่อนข้างไม่พอใจกับจวินอู๋เสียและเฉียวฉู่อยู่ก่อนแล้ว จึงไม่คิดไว้ไมตรีคนทั้งคู่ เชิดจมูกดูถูกทั้งสองคนอย่างถึงที่สุด

จวินอู๋เสียเบือนหน้าหนี ทำหูทวนลมกับคำพูดเยาะเย้ยและถากถางดังกล่าว กลับเป็นหรงเหิงที่ลอบถอนหายใจ พูดกับจวินอู๋เสียไปว่า “ข้าคงส่งพวกเจ้าได้ถึงแค่นี้ เส้นทางต่อจากนี้ไปมีเพียงศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ดูแลตัวเองด้วย”

จวินอู๋เสียพยักหน้าให้กับหรงเหิง จากนั้นก็เดินไปพร้อมกับเฉียวฉู่โดยมีสายตามุ่งร้ายของกลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านั้นมองตามหลัง สายตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยประกายอาฆาตพร้อมจะโจมตีพวกนางได้ทุกเมื่อ แต่จวินอู๋เสียกับเฉียวฉู่ก็ไม่ได้สนใจ มองเมินพวกเขาราวกับเป็นอากาศธาตุ

“เหอะ ช่างวางมาดอวดดีซะจริง คิดว่าตัวเองเก่งกล้ามากถึงขนาดนั้นเชียว” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูมีอายุมากกว่าคนอื่นๆ มองลักษณะที่เย็นชาและเย่อหยิ่งของจวินอู๋เสียไม่รื่นตาเอาเสียเลย เลยเดินปรี่เข้าไปหมายจะชนไหล่จวินอู๋เสีย หวังใช้ร่างกายที่ใหญ่โตของเขานั้นกดดันอีกฝ่ายให้กลัว

ผู้ใดจะรู้ว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้แตะสัมผัสโดนชายเสื้อของจวินอู๋เสีย เฉียวฉู่ผู้ซึ่งรับบทบาทเป็นองครักษ์จำเป็น ก็โผล่เข้ามาขวางเขาไว้ คว้าไหล่ของเขาไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ยกเท้าเตะส่งเขาออกไป!

กร็อบ!!! เสียงกระดูกแขนหักดังส่งมา

เสียงกรีดร้องเจ็บปวดพลันก็ดังก้องในหูของทุกคน!

ใบหน้าเฉื่อยชาของเฉียวฉู่นั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย เขาหรี่ตาลงอย่างอันตราย แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่เบื่อหน่ายและเกียจคร้านในอดีตอย่างสิ้นเชิง

“อย่ารนหาที่ตายจะดีกว่า ข้ายังไม่อยากฆ่าพวกเจ้า”

เด็กหนุ่มที่ถูกเตะออกไปปีนขึ้นจากพื้นด้วยสภาพสะบักสะบอม เขาส่งเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถูกสายตาที่มองมาอย่างเย็นชาของเฉียวฉู่ทำเอาสะดุ้งโหยงจนลอบหลั่งเหงื่อเย็น กลับเป็นลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นที่เพียงเหลือบมองไปทางเฉียวฉู่เงียบๆ ไม่ได้ปรามหรือว่าอะไร

เฉียวฉู่เดินกลับไปยืนอยู่ด้านข้างจวินอู๋เสีย กลิ่นอายอันตรายที่ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเมื่อสักครู่อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาเปลี่ยนสีหน้า ฉีกยิ้มและพูดกับจวินอู๋เสียรอยยิ้มสดใสขี้เล่นว่า “หมัดของข้าแข็งแกร่งมากเห็นหรือยัง เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าในอนาคตจะไม่มีใครในยอดเขาเร้นเมฆารังแกเจ้าได้อย่างแน่นอน”

จวินอู๋เสียเหลือบมองเฉียวฉู่ที่เปลี่ยนสีหน้าได้ไวยิ่งกว่าพลิกหน้าตำราเสียอีก แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอันใด

นางไม่คิดว่าเฉียวฉู่ลงมือโหดเหี้ยม ตรงกันข้ามหากไม่ใช่เพราะยามนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม นางคงบอกให้เฉียวฉู่ตัดรากถอนโคนไปแล้ว เพียงแต่ในเมื่อคนพวกนี้ไหนๆ ก็กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาเร้นเมฆาในไม่ช้า ชะตากรรมของพวกเขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องลงเอยด้วยจุดจบที่ไม่ต่างกัน

“เล่นพอหรือยัง ถ้าเล่นเสร็จแล้วก็รีบตามข้ามา” ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก สายตาที่มองไปยังกลุ่มเด็กใหม่ไม่มีร่องรอยของความสงสารหรือเห็นอกเห็นใจสักนิด

หมัดของเฉียวฉู่สามารถกดความโอหังและเย่อหยิ่งของกลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้ลงไปได้จริงๆ แต่ละคนเดินตามกลับศิษย์สำนักชิงอวิ๋นเข้าไปอย่างกระสับกระส่าย ปิดปากเงียบ พยายามเว้นระยะห่างจากจวินอู๋เสียและเฉียวฉู่ให้ได้มากที่สุด

ในบรรดายอดเขาทั้งสิบสองแห่ง ยอดเขาเร้นเมฆาเป็นยอดเขาที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากยอดเขาหลักที่เจ้าสำนักชิงอวิ๋นอย่างฉินเย่ว์ครอบครองอยู่เท่านั้น เมื่อก้าวเข้าไปในยอดเขาเร้นเมฆา จะเห็นกลุ่มหมอกหนาทึบที่ปกคลุมไปทั่วอากาศ ป่าไม้หนาขึ้นขนาบอยู่เต็มบริเวณสองฝั่งของทางขึ้นยอดเขา พวกมันห้อมล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง ห่างออกไปไม่ไกลนัก หลังจากเดินขึ้นเขามาได้อีกสักหน่อยก็จะเห็นโรงเรือนเพาะปลูกสมุนไพรตั้งอยู่สองฝั่งของถนนท่ามกลางหมอกหนารางๆ

ยอดเขาเร้นเมฆาป่าวประกาศกับคนภายนอกว่าพวกเขาศึกษาด้านการเพาะปลูกสมุนไพรเป็นหลัก ถึงขนาดมีบางคนพูดว่า ยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้ได้เก็บรวบรวมสมุนไพรล้ำค่าทั้งหมดในโลกมาไว้ที่นี่จนหมดแล้ว

ตอนที่ 268 ยอดเขาเร้นเมฆา (4)

กลุ่มคนหนุ่มสาวซึ่งแต่เดิมกระวนกระวายตื่นตกใจราวกับลูกนกตื่นรัง เวลานี้เมื่อได้ยลโฉมโรงเรือนเพาะปลูกสมุนไพรกับตา แต่ละคนก็หันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ เพื่อดูว่าจะได้พบกับสมุนไพรล้ำค่าตัวใดหรือไม่ เสียงบอกเล่าชื่อและสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนั้นๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเพิ่มระดับเสียงมากขึ้นไปอีก ราวกับจะให้ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ได้รับรู้ว่าพวกเขา ‘ฉลาดและเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา’ มากเพียงใด

นอกจากคำว่าความไร้เดียงสาและโง่เขลาแล้ว จวินอู๋เสียก็หาคำที่สามที่จะมาบรรยายกลุ่มลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือดในไม่ช้ากลุ่มนี้ไม่ได้จริงๆ

ศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาพากลุ่มเด็กใหม่ไปยังที่พักของศิษย์ ยอดเขาเร้นเมฆาสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากยอดเขาหลัก เพราะแม้กระทั่งที่พักของศิษย์ก็ยังกว้างขวางและดูสะดวกสบายเป็นอย่างมาก ด้านหน้าแต่ละเรือนพักยังมีลูกศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาเดินก้มหน้าผ่านไปให้เห็นประปราย พวกเขาดูไม่ได้สนใจกลุ่มเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาร่วมยอดเขากับพวกเขาเลย

ลูกศิษย์ของยอดเขาเร้นเมฆาได้รับการปฏิบัติอย่างดี ทุกคนมีห้องส่วนตัวของตัวเอง ห้องพักส่วนตัวเหล่านี้ ได้ยินว่าแม้แต่ศิษย์ของท่านเจ้าสำนักฉินเย่ว์ก็ยังเทียบไม่ได้ นอกจากจะเป็นลูกศิษย์สายตรงที่สืบทอดความรู้ของเขาแล้ว ศิษย์อื่นๆ ล้วนต้องพักรวมกันอยู่ในหอพักรวมที่ให้ศิษย์สองหรือสามคนอาศัยอยู่ร่วมกันในห้องเดียว

เมื่อแต่ละคนเดินเข้าไปในห้องพักของพวกเขา กลุ่มคนหนุ่มสาวที่ถูกปลุกเร้าด้วยการถูกปฏิบัติที่เหนือกว่า ก็ยิ้มร่าและหัวเราะดังก้อง แต่ละคนล้วนคิดในใจว่า….พวกเขาช่างโชคดีเสียนี่กระไร

จวินอู๋เสียเลือกห้องที่อยู่ทางเหนือสุดของเขตที่พัก ห้องของนางอยู่ติดกับห้องพักของเฉียวฉู่ ด้านข้างยังมีสระน้ำและภูเขาหินจำลอง เป็นทิวทัศน์ที่งดงามและดูหรูหราเป็นอย่างมาก

จวินอู๋เสียหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง กวาดสายตาสอดส่องทุกมุมห้องอย่างละเอียด ผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยม แม้คุณภาพจะด้อยไปหน่อยแต่ก็สะอาดสะอ้านและดูเรียบง่ายดี เพียงแต่หลังจากนั่งไปได้ไม่นาน คิ้วของจวินอู๋เสียก็ย่นเล็กน้อย เมื่อนางลุกขึ้น กลิ่นคาวเลือดอันแสนคุ้นเคยก็ลอยเข้ามาเตะที่ปลายจมูก กลิ่นนั้นอ่อนมากและแทบจะสัมผัสไม่ได้ แต่ประสาทสัมผัสด้านการรับรู้กลิ่นของจวินอู๋เสียนั้นเฉียบคมกว่าคนทั่วไปหลายเท่า กลิ่นเลือดที่คนอื่นๆ ไม่ได้กลิ่นแล้ว นางกลับสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

กลิ่นเลือดนั้นมันบางเบามากจริงๆ หากว่านางไม่ตั้งใจสังเกตแต่แรก บางทีนางก็อาจจะเผลอมองข้ามมันไปเหมือนกัน จวินอู๋เสียเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะเล็กตัวหนึ่งข้างเตียงนอน นางสังเกตเห็นว่ามีมุมหนึ่งของมันที่ดูใหม่มาก เหมือนกับเพิ่งทาสีขึ้นมาใหม่ๆ จวินอู๋เสียจึงหยิบกริชที่พกมาด้วยจากถุงสัมภาระของนาง แล้วค่อยๆ เลาะไปที่สีน้ำมันที่ทาบทับอยู่บนโต๊ะไม้ตัวนั้น หลังจากขูดมันออกมาได้พักหนึ่ง คราบเลือดสีแดงเข้มที่แห้งเกรอะติดอยู่กับเนื้อไม้ก็ปรากฏสู่สายตา คราบเลือดนี้ดูเหมือนว่าเพิ่งจะเลอะเมื่อไม่นานนี้เอง แต่เนื่องจากระยะเวลาที่มันกระเด็นไปโดนโตีะนั้นผ่านมาช่วงหนึ่งแล้ว ซ้ำร้ายเนื้อของวัตถุชนิดนี้ยังเป็นไม้ มันจึงดูดซึมคราบเลือดนั้นเข้าไป ศิษย์พวกนั้นคงล้างไม่ออกกระมังถึงได้ตัดสินใจทาสีทับลงไปแบบนี้

“น่าสนใจจริงๆ” จวินอู๋เสียนั่งลงบนเก้าอี้ จ้องไปที่สีเลือดที่อยากจะปกปิดนั้น ดวงตาของนางก็ทอประกายหนาวเหน็บ

ยอดเขาเร้นเมฆาเป็นสถานที่ที่อันตรายจริงๆ ด้วย น่ากลัวว่าเจ้าของห้องคนเก่าเพิ่งจะเสียชีวิต ไม่อย่างนั้นกลิ่นเลือดในห้องนี้คงจะเหือดหายไปหมดแล้ว

เคอฉังจวีรับศิษย์ใหม่เข้ามาในยอดเขาเร้นเมฆาเป็นจำนวนมากในทุกๆ วันที่สิบห้าของเดือน แต่เมื่อสักครู่นางลอบสังเกตดูแล้ว ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ในลานพักแห่งนี้นับรวมกันแล้วกลับมีเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น หากว่าดูจากความถี่ในการรับลูกศิษย์เข้ามาของเคอฉังจวีและจำนวนศิษย์แต่ละครั้งที่รับ อย่างต่ำจำนวนศิษย์ที่นางควรจะพบน่าจะมีมากกว่านี้สักสิบเท่าสิ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากวิธีการรับศิษย์ของเคอฉังจวีที่ต่อหน้ารับนางกับเฉียวฉู่เพียงแค่สองคน แต่ลับหลังกลับแอบนำคนเข้ามาในยอดเขาเกือบครึ่งร้อย…

นี่ดูอย่างไรเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน ช่างน่าเสียดายที่คนนอกคงจะไม่พบถึงความผิดปกติของยอดเขาเร้นเมฆาแห่งนี้

เพราะในสายตาของผู้คนมากมาย ยอดเขาเร้นเมฆารับคนน้อยนิดเพียงกระจิดเดียว ส่วนคนจำนวนมากพวกนี้ไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

แม้แต่ร่องรอยของการดำรงอยู่ก็ถูกลบให้หายไปอย่างเงียบๆ ช่างเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

จวินอู๋เสียลุกขึ้น หยิบขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวแล้วเทของเหลวข้างในขวดออกมาเล็กน้อย หยิบสีน้ำตาลที่หลุดลอกออกไปในตอนแรก ขึ้นมาผสมคนกับของเหลวนั้นแล้วค่อยๆ ทากลับไปที่มุมโต๊ะที่ถูกขูดออก เพียงครู่เดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม