บทที่ 126 นักรบกระทิงไม่มีวันถอดหน้ากาก

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

“ช่วยข้างั้นหรือ?”

องค์ชายหมีขาวหัวเราะเสียงดัง

“เขาจะช่วยข้าได้อย่างไร? ช่วยเก็บศพหลังจากที่ข้าพ่ายแพ้หรือ?”

“หาใช่ไม่ ในเมื่อร่วมมือเป็นพันธมิตรกันแล้ว เราต้องบุกและถอยร่วมกัน”

ทูตผู้นั้นกล่าวคำ

“อัครเสนาบดีบอกว่าหากท่านตาย เขาจะไม่ปล่อยให้ตายผู้เดียว”

“กล่าวเพียงวาจา มันง่ายดายยิ่ง”

องค์ชายหมีขาวเย้ยเหยียด

“องค์ชายน่าจะรู้แก่ใจดีว่า ท่านกับอัครเสนาบดีจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้อสูรเผ่ามาร”

ทูตผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องสู้อย่างสุดความสามารถ หากบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ยังอยู่ที่นี่ อสูรเผ่ามารก็ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้”

“ข้ายังไร้ความหวังที่จะขุดของคร่ำครึไร้ประโยชน์ แต่ท่านกับอวิ๋นคุนยังคงเชื่อในตัวข้า”

องค์ชายหมีขาวพึมพำ

“หากเราคาดเดาผิด และบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ไม่ได้อยู่ข้างกองกำลังในโลกมารตะวันตกเล่า? หากล้มเหลวล่ะ?”

“แทนที่ท่านจะเดินทัพจากทางใต้มาโจมตีดินแดนทางตะวันตก ทว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากทัพหลวงของเรา เช่นนั้นจะได้มั่นใจว่าบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์อยู่ในโลกมารตะวันตกไม่ใช่หรือ?”

ทูตกล่าวกระซิบ

“เราต่างทราบดีว่าท่านเป็นใคร แจ้งแก่ใจดีว่าเกลียดชังอดีตราชาเพียงใด มีเพียงบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ที่หนุนนำให้นางมาถึงจุดนี้ไม่ใช่หรือ? เราได้รับข้อมูลมาแล้วว่าองค์ชายองค์หญิงกบฏทั้งสี่ หมายรวมถึงองค์ชายอสรพิษดำได้มอบแผนผังสุสานจักรพรรดิต้นบรรพบุรุษอสูรเผ่ามารให้กับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแล้วไม่ใช่หรือ?”

องค์ชายหมีขาวนิ่งเงียบ

“อาวุธลับโบราณเป็นท่าไม่ตายสุดท้ายของเรา หากล้มเหลว… อัครเสนาบดีอวิ๋นคุนก็ยังมีหนทางรอด อย่างน้อยอสูรเผ่ามารของเราจะไม่ถูกกวาดล้างจนสิ้น”

เสียงทูตอ่อนลง

“ข้าไม่อาจสู้ได้ ข้าควรจำศีลกระทั่งบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงตาย หรือจำศีลกระทั่งเขาไม่เห็นอสูรเผ่ามารของเราอยู่ในสายตาอีก”

องค์ชายหมีขาวนิ่งเงียบมานาน เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า

“ยามเที่ยงของวันพรุ่งนี้… ข้าจะบุกโจมตีก่อน หากไม่มีสิ่งใด จะเข้าสู่เขตชายแดน และหากบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ปรากฏตัวขึ้น จากนั้นค่อยลงมือ”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ทูตยกมือขึ้นโค้งคำนับ

“ข้าจะส่งสารของท่านให้อัครเสนาบดีอวิ๋นคุนรับทราบ”

เที่ยงตรงวันรุ่งขึ้น กองกำลังจากทางตอนเหนือได้เคลื่อนพลแข็งขันมาตามหุบเขาเหยียนชาน

กองกำลังในครานี้นำทัพโดยองค์ชายกระทิงขุย*[1] ซึ่งคิดแข็งข้อร่วมกับองค์ชายหมีขาว เขาเป็นอสูรกระทิงโลภมากที่สืบสายเลือดมาจากกระทิงขุยที่เป็นสัตว์ในตำนาน แน่นอนว่าลูกทัพในหมดล้วนเป็นอสูรกระทิง

อสูรกระทิงถือเป็นสายเลือดชั้นกลางในหมู่อสูรเผ่ามาร ในเชิงสายพันธุ์แล้ว ยังคงต่ำกว่าสายเลือดอสูรเผ่ามารชั้นสูงอย่างเสือบินและวิหคเพลิง

ทว่าไม่ได้หมายรวมว่าทักษะการต่อสู้จะอ่อนแอ กลับกัน หากอีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว อสูรกระทิงผู้บ้าคลั่งก็สามารถฉีกร่างอสูรชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

สภาพแวดล้อมอันโหดร้ายท่ามกลางดินแดนทางเหนือของโลกมารบีบบังคับให้พวกเขาแข็งแกร่ง ในขณะที่หล่อหลอมให้นิสัยใจคอยิ่งคลุ้มคลั่งเกินทานทน

หากแต่นักรบอสูรกระทิงยังมีกฎเกณฑ์ของตน นั่นคือจะไม่มีวันถอดหน้ากากจนกว่าจะได้รับชัยชนะ ดังนั้นนักรบอสูรกระทิงหลายพันนายจึงสวมหน้ากากหนังสีดำเอาไว้

พวกเขาสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น ร่างกายบึกบึน ดวงตาสีแดงฉานโผล่มาให้เห็นผ่านช่องบนหน้ากาก จมูกพ่นไอขาวออกมาทุกลมหายใจ

องค์ชายกระทิงขุยสูงใหญ่เกือบหนึ่งจั้ง ไม่แม้แต่สวมเกราะไหล่ และเกราะส่วนอื่น ร่างกายพวกเขาใกล้เคียงกับคำว่าเปลือยเปล่า ทั้งหมดสวมเพียงกางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้น

อักขระอันเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องรางอสูรเผ่ามารถูกวาดลงบนเนื้อตัวของเขา หน้าที่ของมันคือเสริมความสามารถในสมรภูมิรบให้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!

ด้วยได้รับข่าวจากสายสอดแนมมาว่า ครานี้องค์หญิงซูเซียงเสวี่ยอาจบัญชาการกองกำลังโลกมารตะวันตกด้วยตนเอง จากการวิเคราะห์ด้วยข้อมูลก่อนหน้า ดูเหมือนว่าองค์หญิงจะเชี่ยวชาญกระบวนแห่งมนตร์เสน่ห์

บุรุษในชนชั้นเดียวกันต่างยอมสยบต่อนาง เคราะห์ดีที่ผู้คนที่อยู่รอบกายองค์ชายกระทิงขุยล้วนเป็นชาย พวกเขาจึงให้ผู้มีภูมิต้านเสน่ห์สตรีออกมาเป็นด่านหน้า

องค์ชายกระทิงขุยสืบทอดสายเลือดมาจากอสูรกระทิงขุยอัสนีในตำนาน แม้ความสามารถในการเรียกพายุและสายฟ้าจะจางหายไป แต่ยังได้พละกำลังแข็งแกร่งของกระทิงขุยมา

เขาฝึกตนเยี่ยงชายชาตรี มีมิตรสหายเป็นบุรุษมากมาย อีกทั้งยังมีพลังชีวิตในร่าง แรงต้านทานต่ออิสตรีจึงสูงกว่าองค์ชายอสูรตนอื่น

การที่เขาเป็นผู้นำทัพ อัตราการชนะซูเซียงเสวี่ยจึงเพิ่มขึ้นเป็นเก้าในสิบ

เมื่อแหงนมองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ลอยเหนือศีรษะ ยามนี้เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

องค์ชายกระทิงขุยยังไม่เห็นทัพหลวงจากราชสำนักรอบข้าง ทว่ายังคงทำตามคำสั่งขององค์ชายหมีขาว มุ่งหน้าเข้าหุบเขาเหยียนชานตามแผน

ด้วยหน้าผาที่สูงชันหลายพันจั้ง หากไม่ได้กางอาณาเขตป้องกันภายใน คงไม่อาจสกัดกั้นองค์ชายอสูรระดับเขาได้ องค์ชายกระทิงขุยสูดหายใจลึก

“ไอ้พวกอสูรเผ่ามารแดนตะวันตก! จงตายตกไปเสีย!”

เสียงตะโกนดังสนั่นปลุกสัญชาตญาณอสูรในกาย จากนั้นกลายเป็นคลื่นเสียงทรงพลังกระแทกเข้ากับผนังหินหุบเขาเหยียนชาน เกิดรอยแตกร้าวลั่นยาวเป็นแนวไปทั่วหุบเขา

หลังเฝ้าสังเกตการณ์ครู่หนึ่ง กองกำลังนักรบดินแดนตะวันตกยังคงไม่ปรากฏตัวให้เห็น องค์ชายกระทิงขุยตั้งท่าตะโกนอีกครั้ง พลันมีเสียงพิณเสนาะหูดังขึ้น

เขาเงยหน้ามองเหนือหอประตูเมืองบนเขา สูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง มีสตรีนางหนึ่งบรรจงดีดพิณอยู่

นางอยู่ในเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ ดวงหน้าถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีขาวเช่นกัน เสน่ห์จากเรือนร่างแผ่กำจาย ทุกท่วงท่าชวนให้ผู้พบเห็นสั่นไหว แม้แต่องค์ชายกระทิงขุยผู้ฝักใฝ่ในบุรุษเพศยังรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย นับประสาอะไรกับนักรบกระทิงใต้บัญชาตนอื่น พวกเขาแหงนมองตามกัน สายตาจับจ้องร่างบนหอคอยอย่างเหม่อลอยด้วยตกอยู่ในภวังค์

เสียงพิณราวกับสายน้ำไหลผ่านภูผา ล่อลวงผู้คนเข้าสู่โลกจินตนาการ คลื่นเสียงใสหลั่งรินจากฟากฟ้า กลั่นกลายเป็นเม็ดฝนชโลมผืนดิน… มันต้องไม่เป็นเช่นนั้นสิ!

สัมผัสเย็นจากหยาดฝนตกกระทบบนใบหน้า ทำให้องค์ชายกระทิงขุยได้สติ เขาเงยหน้าขึ้น ทว่าไม่ทันรู้ตัวว่ามีเมฆดำลอยเหนือหัวตั้งแต่เมื่อใด สายฝนเริ่มโหมกระหน่ำลงมา

นางผู้นั้นหมายจะสร้างบ่อน้ำเปิดทางให้นักรบจระเข้ และอสรพิษแห่งดินแดนตะวันตก!

“พวกเจ้าทุกคนตั้งสติเดี๋ยวนี้!”

องค์ชายกระทิงขุยรู้สึกตัวได้ทันการณ์ กระทืบเท้าลงพื้นอย่างแรงจนพื้นแตกเป็นรอบคล้ายแผ่นดินไหว ทำให้นักรบกระทิงทั้งหลายฟื้นคืนสติกลับมา

เขายกมือชี้หน้าซูเซียงเสวี่ยซึ่งอยู่บนหอคอย

“สุริยันยอดมนตรา!”

หลังปล่อยพลังรวมกับพลังชีวิตภายใน จนกลายเป็นพลังบริสุทธิ์ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นหมัดเพลิงลุกโชน มันพุ่งเข้าหาซูเซียงเสวี่ยที่อยู่บนหอคอยอย่างรุนแรง!

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ เจ้าสำนักเหอฮวนเพียงเผยรอยยิ้มบาง ก่อนจะยกมือขึ้นดีดสายพิณ

[1] ขุย คือ สัตว์ในตำนาน รูปร่างคล้ายวัว ตัวสีน้ำเงิน ไร้เขา มีขาเดียว