บทที่ 127 ท่าไม้ตายต่อบุรุษพรหมจรรย์

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

วิ้ง!

แสงสีขาวแผ่วงกว้างจากสายพิณในมือซูเซียงเสวี่ย กำปั้นเกรี้ยวกราดจากองค์ชายกระทิงขุยแยกเป็นสองส่วนเมื่อปะทะกับแสงสีขาว

หลังจากแสงสีขาวปะทะกับหมัดเพลิง แสงสีขาวกลับไม่อ่อนกำลังลง ทว่ากลับพุ่งตรงเข้าหาองค์ชายกระทิงขุยอย่างแรงกล้า ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายถึงกับตื่นตระหนกคิดหาที่หลบซ่อน แสงสีขาวฟาดฟันพื้นดินที่เขายืนอยู่จนแยกออกเป็นซีกคล้ายเต้าหู้ นักรบอสูรกระทิงผู้โชคร้ายหลายตนถูกแยกร่างเป็นสองส่วน

“ปราณกระบี่อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อเห็นแสงสีขาว องค์ชายกระทิงขุยทั้งประหลาดใจระคนไม่สบอารมณ์

เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่ปราณกระบี่ธรรมดา แต่เกิดจากเพลงกระบี่ขั้นสูง ตามข่าวคราวที่ได้รับ ซูเซียงเสวี่ยไม่ถนัดวิชากระบี่ การรวมเพลงกระบี่เข้ากับเสียงพิณเช่นนี้ ผู้ใดเป็นคนสอนเคล็ดวิชาให้ นับเป็นสิ่งที่ชัดแจ้งแก่ใจ!

…อาจหาญบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ช่างต่ำช้านัก!

ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโจมตี เสียงพิณของซูเซียงเสวี่ยไม่ได้ผ่อนปรนลงเลย ภายใต้การควบคุมของเพลง ‘ผาสูงชันสายธารไหลริน’ สายฝนเทกระหน่ำราวน้ำตกจากฟากฟ้า

ผืนดินหุบเขาเหยียนชานที่เคยแห้งแล้งเต็มไปด้วยน้ำสูงระดับเข่า ในท้ายที่สุด ประตูเมืองเล็ก ๆ บริเวณเชิงเขาเหยียนชานเปิดออก จระเข้ยักษ์เกล็ดสีดำขลับแหวกว่ายออกมาพร้อมส่ายหาง พวกมันถูกองค์ชายจระเข้ชุบเลี้ยงมากับมือ หากแต่ล้มเหลวในการกระตุ้นสติปัญญา จึงเป็นได้เพียงอสูรจระเข้ตัวโตเท่านั้น

ทักษะการต่อสู้ของอสูรจระเข้เหล่านี้น่าหวาดหวั่นไม่น้อย โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมครึ่งบกครึ่งน้ำเช่นนี้ เมื่ออสูรกระทิงเห็นภาพตรงหน้า พวกเขาจึงเริ่มระแวดระวัง ขณะที่หลายตนมองขึ้นไปบนฟ้า

“เราบินได้นี่!”

พวกเขาตะโกน ก่อนสำแดงพลังอสูร ยันกายขึ้นจากพื้น

“เจ้าโง่! ลงมาเดี๋ยวนี้!”

องค์ชายกระทิงขุยตะโกน หากแต่สายไปเสียแล้ว

เมื่อนักรบอสูรกระทิงลอยขึ้นไปได้ราวหนึ่งจั้ง สายฟ้าพลันพุ่งแหวกอากาศลงมา พวกเขากลายเป็นผุยผงในทันที

“อัสนีวิบัติหรือ?”

องค์ชายกระทิงขุยเบิกตากว้าง มองหน้าซูเซียงเสวี่ย

“เก่งยิ่งนัก เผ่ามนุษย์สอนเคล็ดวิชาอัสนีวิบัติมาหรือ?”

เขาไม่คิดปล่อยให้นางควบคุมสถานการณ์ได้ดั่งใจ จากนั้นจึงยกมือขึ้นปล่อยเงาหมัดทะยานขึ้นฟ้า กำปั้นจำนวนมหาศาลพรั่งพรูราวห่าฝน หยาดน้ำที่ตกลงจากเบื้องบนถูกหมัดเพลิงเผาไหม้กลายเป็นไอตามวิถีการโจมตี

ด้านซูเซียงเสวี่ย หลังสายฝนถูกคลื่นหมัดเพลิงต้านทาน นางปล่อยมือจากสายพิณ เปิดผ้าคลุมหน้าออกอย่างเชื่องช้า

ยามเขาเห็นใบหน้านาง แม้แต่องค์ชายกระทิงขุยที่พิศวาสในบุรุษเพศยังอดอ้าปากค้างไม่ได้ เขาพยายามรักษาสติ ตั้งท่าโจมตีซูเซียงเสวี่ยต่อ ทว่าสตรีบนหอคอยกลับเอื้อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง

“องค์ชายกระทิงขุย เซียงเสวี่ยคนนี้ได้ยินว่าท่านฝักใฝ่บุรุษเพศ ไม่โปรดปรานสตรี องค์ชายหมีขาวถึงได้ส่งท่านลงสมรภูมิ น่าเสียดายที่ยังไม่รู้จักซูเซียงเสวี่ยผู้นี้ดีพอ”

นางเผยอริมฝีปากสีแดงชาด ร้องเพลงคลอเคล้าเสียงพิณ สิ่งนี้ทำให้ท่าทีก้าวร้าวขององค์ชายกระทิงขุยอ่อนลง

ซูเซียงเสวี่ยยกมือขึ้นกำจัดหมัดเพลิงจางหายไป ก่อนใช้สองมือดีดพิณ กล่าวคำขึ้นพลางยกยิ้ม

“เช่นนั้นวันนี้ข้าขอเชิญองค์ชายกระทิงขุยลิ้มลองสิ่งที่ข้าเตรียมไว้สำหรับพลังชีวิตของท่าน หงส์ดรุณีย่อมคู่หงส์ชาตรีไม่ใช่หรือ”

ในฐานะศิษย์เอกของอดีตเจ้าสำนักเหอฮวน ฝีมือของซูเซียงเสวี่ยจึงไม่มีทางน้อยหน้าศิษย์ของนางอย่างโหยวเหมยเฉียว แต่หลายร้อยปีที่ผ่านมา พลังและวิชาของซูเซียงเสวี่ยส่วนใหญ่ได้รับการถ่ายทอดมาจากไป๋ชิวหราน

ซูเซียงเสวี่ยฝึกทั้งวิชาของราชาอสูร และของสำนักเหอฮวนที่ไป๋ชิวหรานช่วยชี้แนะ ชายหนุ่มเลือกวิชาที่เหมาะกับนาง แม้แต่เพลงพิณที่สตรีเล่นยังมาจากไป๋ชิวหราน ซึ่งเขาได้รับมาจากหอหยกแห่งเซียนตูก่อนจะนำมาปรับใช้และสอนให้กับนาง

ดังนั้นหลายร้อยปีที่ผ่านมา นอกจากดูแลสำนักเหอฮวน นางยังได้ฝึกวิชาเหล่านี้ นอกจากนั้นซูเซียงเสวี่ยจะทำสิ่งใดได้บ้าง?

นางทุ่มเทกำลังเพื่อเสาะหาหนทางขยายอานุภาพอันทรงพลังของเสน่ห์วิชา ‘ย่างก้าวภูตพราย’ ให้ใช้ได้ผลกับบุรุษรักร่วมเพศที่ครอบครองพลังชีวิต

กล่าวได้ว่าเป็นการค้นหาวิธีการโจมตีชายพรหมจรรย์ จนเกิดเป็นเพลงพิณหงส์ดรุณีคู่หงส์ชาตรี

แม้ซูเซียงเสวี่ยจะยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของเพลงนี้เป็นเช่นไร เพราะหลายร้อยปีที่ฝึกฝนมา นางลองใช้เพลงนี้กับไป๋ชิวหรานเท่านั้น

ทุกครั้งที่ไป๋ชิวหรานมา ซูเซียงเสวี่ยพยายามดีดพิณให้ฟัง เขาเพียงบอกว่า ‘ดี’ ดูเหมือนว่าเสน่ห์นี้จะไม่มีผลต่อตัวชายหนุ่มแม้แต่น้อย

ตอนนี้นางได้เผชิญหน้ากับองค์ชายกระทิงขุย เพียงแค่เสียงเพลงท่อนแรกดังขึ้น องค์ชายอสูรที่ฝึกพลังชีวิตมานานหลายปี ไม่คิดแยแสสตรียังนิ่งงันอยู่กับที่ราวกับเท้าหยั่งรากลึก

เสียงพิณแปรเปลี่ยนเป็นมือ ลูบไล้แผ่วเบาไปทั่วร่างองค์ชายอสูร เสียงที่ลอยเข้าหูไม่ต่างอิสตรีครวญคราง… จนเขาแทบไม่อาจทานทนได้ ทั้งระดับการฝึกตนกับเคล็ดวิชาของซูเซียงเสวี่ยยังเหนือกว่า และวิชาที่สตรีใช้ยามนี้เป็นสิ่งที่นางฝึกฝนมานานหลายร้อยปี ในท้ายที่สุดเขาก็ตะโกนขึ้นฟ้าอย่างไม่อาจอดกลั้น

“เจ้าหมีขาว! ข้าไม่ใช่ผู้ฝักใฝ่บุรุษอีกต่อไปแล้ว!”

ดวงตาเขาแดงก่ำ กระชากหน้ากากที่เป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีของนักรบอสูรกระทิงเขวี้ยงทิ้ง กระทืบเท้าบดขยี้ ก่อนมุ่งตรงไปหาซูเซียงเสวี่ย

เดินไปได้เพียงสามก้าว เขารู้สึกว่าพลังชีวิตปั่นป่วนในช่องท้องช่วงล่าง

“เกิดอะไรขึ้น?”

องค์ชายกระทิงขุยเผยท่าทีตื่นตระหนก

“พลังชีวิตของข้า พลังชีวิตข้า!”

เขาหมายจะใช้พลังขัดขืน ทว่าเมื่อพลังหยินหยางถูกปลดปล่อยออกมา มันไม่ผิดกับน้ำไหลหลาก องค์ชายกระทิงขุยวิงเวียนศีรษะ แขนขาอ่อนแรงในไม่ช้า ยิ่งย่ำแย่เมื่อเขาฝึกวิชาโดยใช้พลังชีวิตเป็นฐาน เมื่อพลังชีวิตพรั่งพรูออกมา แม้จะไม่ถูกทำลายในทันที แต่ก็ส่งผลให้การฝึกตนถูกทำลายสิ้น!

ภายในแอ่งน้ำ ฝูงจระเข้ยักษ์ที่ควบคุมโดยองค์ชายจระเข้เข้าฟาดฟันกับอสูรกระทิง แม้ด้วยพละกำลังแล้ว ฝ่ายอสูรกระทิงควรจะได้รับชัยชนะ ทว่าในแอ่งน้ำเช่นนี้ จระเข้ยักษ์ยังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของตนได้มากกว่าปกติ

เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน อสูรกระทิงก็ถูกจระเข้ยักษ์ขย้ำก่อนลากลงแอ่งน้ำ ขณะที่พวกมันเองก็ถูกอสูรกระทิงสกัดกั้นและทุบขยี้ศีรษะ

สายฝนยังคงโหมกระหน่ำ แอ่งน้ำที่ซูเซียงเสวี่ยเรียกฝนเพื่อสร้างขึ้นกลับกลายเป็นสีแดงฉาน

อสูรจระเข้หลายตัวกำลังขี่จระเข้ยักษ์พร้อมถือหอกไว้ในมือ พวกมันเข้าล้อมองค์ชายกระทิงขุยเอาไว้ หมายจะใช้โอกาสนี้ตัดศีรษะให้จบสิ้นในคราวเดียว

องค์ชายกระทิงขุยฉีกทึ้งร่างอสูรจระเข้กับจระเข้ยักษ์สุดแรง หากแต่ยังปรากฏแผลเหวอะหวะจากคมเขี้ยวและหอกของฝ่ายจระเข้ ที่สำคัญ หากอยู่ในสถานการณ์ที่ร่างกายสมบูรณ์ บาดแผลเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถห้ามเลือดและรักษาบาดแผลโดยการเดินปราณอสูร ทว่ายามนี้เลือดไหลรินตามบาดแผลบนร่าง… ไม่มีทีท่าจะว่าหยุดโดยง่าย

ผู้พบเห็นต่างตระหนักได้ว่าตอนนี้เขาสิ้นท่าเสียแล้ว

อสูรจระเข้ และจระเข้ยักษ์รอบกายจับจ้ององค์ชายกระทิงขุยอย่างหิวกระหาย