บทที่ 193 รางวัลอย่างงาม

บทที่ 193 รางวัลอย่างงาม

“ต้องสู้! ก็ต้องสู้อยู่แล้ว! ทุ่งราบรกร้างคือชายแดนของอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเรา ในเมื่อชาวโลกอสูรมาเยือนโลกมนุษย์ พวกมันย่อมไม่พอใจแค่การยึดครองทุ่งราบรกร้าง แต่จะต้องหาทางขยับขยายสู่พื้นที่รอบด้าน ถึงเวลานั้นมันจะเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเรา พวกชาวโลกอสูรจะต้องถูกขับไล่ออกไป!”

“เพียงแต่ทางราชสำนักจะส่งกำลังทหารไปเมื่อใดนั้นก็ไม่อาจทราบ ความพ่ายแพ้ของขุนพลหลี่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่กองทัพสูญเสีย แต่ยังรวมถึงขวัญกำลังใจ ในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะส่งกองทัพออกไปอีกครั้ง อีกทั้งกองทัพกบฏที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นก็ทำให้ราชสำนักต้องปวดหัวไม่น้อย และต้องรีบหาทางจัดการปราบปรามโดยเร็ว ดังนั้นข้าคาดว่าในระยะสั้น ทางราชสำนักจะไม่เปิดฉากโจมตีชาวโลกอสูรอีกครั้งแน่ ทว่าจะมุ่งเน้นการป้องกันของเมืองรอบนอกทั้งหลายก่อน”

ไม่ว่าจะอาณาจักรเหยียนเฟิงหรืออาณาจักรอื่น พวกเขาต่างก็ไม่ยินดีที่จะเห็นชาวโลกอสูรมีฐานที่มั่นอันมั่นคงและขยับขยายพื้นที่ได้ ก่อนหน้านี้ที่อีกสามอาณาจักรร่วมมือกันหลอกลวงหลี่เต๋อหมิง ก็เพราะต้องการยืมมือของชาวโลกอสูร ทำให้กำลังรบของอาณาจักรเหยียนเฟิงอ่อนแอลง เมื่อถึงเวลาที่กองทัพโลกอสูรและอาณาจักรเหยียนเฟิงต่อสู้กัน ยามนั้นพวกเขาก็เพียงนั่งบนภูดูเสือกัดกัน สุดท้ายก็รอเป็นคนชุบมือเปิบ!

แต่พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าชาวโลกอสูรจะถึงขั้นเป็นฝ่ายลักลอบเล่นงานพวกเขารวมไปด้วย

ดังนั้นแล้วหลังความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ไม่ว่าอาณาจักรใดก็ต้องบุกโจมตีกองทัพของโลกอสูรอีกครั้ง ทว่าพวกเขายังต้องใช้เวลา เพื่อสมานแผลและผลกระทบจากความพ่ายแพ้ครั้งก่อน รวมกับปัญหาการเมืองภายใน ดังนั้นอาณาจักรทั้งหลายจึงยากจะส่งกำลังทหารออกไปในช่วงเวลาอันสั้น

ไม่แปลกที่อู๋ฝานจะพบว่าที่เทศมณฑลชิงหยวน ทหารหน้าประตูเมืองเคร่งเครียดจริงจังกว่าเมื่อก่อน เพราะที่นี่ไม่ได้ไกลจากทุ่งราบรกร้าง เดินทางเพียงแค่ไม่กี่วันก็สามารถมาถึง จึงเป็นความจริงที่ว่าอาจตกเป็นเป้าการโจมตีของกองทัพจากโลกอสูร

“ค่ายวิหคของพวกเราจะเป็นยังไงต่อหรือขอรับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม “พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่ต่อหรือไม่?”

หากทางราชสำนักยังไม่คิดเป็นฝ่ายบุกโจมตีกองทัพโลกอสูร พวกเขากองพันวิหค ก็ไม่มีภารกิจส่งเสบียงไปยังทุ่งราบรกร้าง

“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่ทราบ เพียงแต่ตอนนี้คงต้องอยู่ที่นี่ต่อ เพื่อรอคอยคำสั่งจากราชสำนักถึงกองทัพ” โจวซานตอบกลับ

“ขอรับ” อู๋ฝานตอบรับ เรื่องราวเช่นนี้ไม่ใช่อะไรที่ทหารชั้นล่างเช่นพวกเขาจะตัดสินใจหรือสามารถทราบได้อยู่แล้ว

ทว่าอู๋ฝานกลับไม่ต้องรอนานถึงเพียงนั้น ช่วงกลางวัน ทางราชสำนักก็มีคำสั่งการลงมาว่า

ทหารที่รับการเรียกตัวมารับใช้กองทัพก่อนหน้านี้ ทั้งหมดให้แยกย้ายกลับบ้าน แต่ละหมู่บ้านให้จัดตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัย เพื่อจัดการกับกองทัพกบฏที่กำลังอาละวาด รวมถึงภัยอันตรายคุกคามที่อาจมาถึงโดยกองทัพโลกอสูร

ยุบค่ายวิหค!

มันคือผลลัพธ์ที่อู๋ฝานต้องการที่สุด ขณะนี้จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง การเข้ารับใช้กองทัพระยะเวลาสามเดือน กลับจบลงก่อนกำหนด! เขาจะสามารถกลับไปยังหมู่บ้านเร้นลับ เพื่อไปทำฟาร์มในที่ดินของตัวเองและต่อสู้กับสัตว์ป่าทั้งหลายได้

นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว สำหรับอู๋ฝาน มันยังมีอีกเรื่องให้ยินดีจนน่าฉลอง

หยางจื้อหู่ที่ถูกจับกุมตัวได้ระหว่างทางก่อนหน้านี้ ได้ถูกหลี่เต๋อหมิงส่งคนคุ้มกันนำกลับส่วนกลางไปก่อน และขณะนี้รางวัลของอู๋ฝานและโจวซานจากทางราชสำนักก็มาถึงแล้ว

โจวซานได้รับการย้ายกลับกองทัพเฟยสยง ได้รับสถานะผู้บังคับบัญชากลับคืน ส่วนอู๋ฝานที่จับกุมตัวหยางจื้อหู่ได้ด้วยตัวเอง จึงได้รับรางวัลที่ดียิ่งกว่า

[รางวัลแก่อู๋ฝาน ได้รับสถานะหนานเจี๋ย*[1] สามารถจัดตั้งกลุ่มคนจำนวนไม่เกินสิบคนขึ้นมาได้]

[รางวัลแก่อู๋ฝาน ได้รับสถานที่พำนักอาศัยในเทศมณฑลชิงหยวน]

[รางวัลแก่อู๋ฝาน ได้รับม้าศึกหนึ่งตัว]

[รางวัลแก่อู๋ฝาน ได้รับเหรียญทอง 500 เหรียญ]

[รางวัลแก่อู๋ฝาน ได้รับผ้าไหม 10 ผืน]

รางวัลมากมายจากทางเบื้องบนล้วนเลอค่า มันเกินกว่าที่อู๋ฝานและโจวซานคาดคิด

เดิมนั้นอู๋ฝานย่อมมองว่าเป็นเรื่องดีที่ราชสำนักมอบรางวัลให้เป็นเหรียญทอง และมันจะดียิ่งกว่าหากตัวเขาได้รับข้อยกเว้นการถูกเกณฑ์เข้าร่วมกองทัพ

ทว่ารางวัลที่ได้รับปัจจุบันมันเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก

ในบรรดารางวัลเหล่านี้ สำคัญที่สุดคือสถานะหนานเจี๋ย แม้ว่าสถานะหนานเจี๋ยจะนับได้ว่าต่ำชั้นที่สุดก็ตาม

บรรดาศักดิ์ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนจะพึงมีได้ ต่อให้เป็นขุนพลหรือเสนาบดีในราชสำนัก ต่อให้มีตำแหน่งสูง คิดได้รับบรรดาศักดิ์ก็ยังเป็นเรื่องยากแสนยาก

แต่ตอนนี้อู๋ฝานแค่จับหัวหน้ากองกำลังกบฏมาได้ กลับได้รับรางวัลอันหนักอึ้งจากทางราชสำนัก แม้ทำให้ชายหนุ่มงงงวยไปบ้าง แต่เขาก็รู้สึกยินดี

“อาจเป็นเพราะไม่นานมานี้กองทัพกบฏแข็งข้อมากขึ้น ทางราชสำนักจึงต้องการผลักดันให้ผู้คนกำจัดกองทัพกบฏ โดยอาศัยรางวัลมากมายถึงเพียงนี้เป็นแรงจูงใจ” โจวซานกล่าวบอก “หากไม่เป็นเช่นนั้น อาศัยเพียงแค่จับกุมหัวหน้ากองกำลังทัพกบฏ ทางราชสำนักไม่มีทางมอบรางวัลแก่เจ้ามากมายเท่านี้แน่”

“ก็เป็นไปได้ขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ

มีเพียงคำอธิบายนี้จึงจะพอเข้าใจได้ เห็นได้ชัดว่าทางราชสำนักคิดใช้อู๋ฝานเป็นตัวอย่าง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ‘ทองพันชั่งสามารถซื้อกระดูกม้า’ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้อื่นหาทางลงมือกำจัดปราบปรามกบฏ

เพียงแต่สำหรับอู๋ฝานนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่แย่

หลังได้รับสถานะหนานเจี๋ย สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดแก่ใจได้คือตัวเขาไม่จำเป็นต้องรับใช้กองทัพอีกต่อไปแล้ว ด้วยบรรดาศักดิ์ ตัวเขาถือได้ว่าเป็นขุนนางแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง เช่นนั้นมีเหตุผลอะไรต้องให้ขุนนางไปรับใช้กองทัพ?

ดังนั้นอู๋ฝานจึงรู้สึกได้ว่าความอยุติธรรมที่ถูกมัดมือชกมาเกณฑ์ทหารอย่างนั้น ได้รับการแก้ไขก็ตอนนี้ แม้ว่าวิธีคลี่คลายจะเกินคาดไปบ้างก็ตาม

“อู๋ฝาน เจ้าและข้าต้องแยกทางกันตั้งแต่วันนี้ ไม่ทราบเลยว่าเมื่อใดพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง” โจวซานบอกกับอู๋ฝาน “ด้วยพรสวรรค์เช่นเจ้า หากเข้าร่วมกองทัพประจำการจะมีที่ให้เติบโตอีกมากนัก ตอนนี้เจ้าได้รับบรรดาศักดิ์แล้ว คิดเข้าร่วมกองทัพประจำการก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง จุดเริ่มต้นของเจ้าสูงกว่าผู้อื่น ไม่คิดจะลองพิจารณาอีกสักครั้งหรือ?”

แม้สถานะหนานเจี๋ยนับได้ว่าต่ำที่สุด แต่หากอู๋ฝานยินดีรับใช้กองทัพเป็นทหาร จุดเริ่มต้นย่อมไม่ใช่พลทหารธรรมดาอย่างแน่นอน อย่างไรแล้วบรรดาศักดิ์ก็เป็นสิ่งที่ยากจะได้รับ มันคือเครื่องหมายของความเป็นขุนนาง การจะได้เป็นทหารระดับเบื้องบนจึงไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

“หัวหน้าโจว ไม่สิ ข้าต้องเรียกผู้บังคับการโจวต่างหาก ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดอะไรพวกนั้นเลย แต่หากภายหน้ามีโอกาส ข้าจะไปเยี่ยมนะขอรับ” อู๋ฝานตอบกลับ

โจวซานหัวเราะตอบรับ “ด้วยสถานะหนานเจี๋ยของเจ้า ไม่ว่าจะเข้าร่วมอะไรย่อมไม่ใช่ปัญหา คงไม่จำเป็นให้ข้าต้องออกหน้าหรอก สถานะของเจ้าตอนนี้สูงส่งกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ บางทีภายหน้าข้าอาจต้องเป็นฝ่ายพึ่งพาเจ้าก็เป็นได้”

คำพูดของโจวซานไม่ใช่ล้อกันเล่น แต่เป็นความจริง หลังอู๋ฝานได้รับบรรดาศักดิ์หนานเจี๋ย ภายหน้าคิดจะทำอะไรก็มีแต่จะสะดวกมากยิ่งขึ้น หนทางในอนาคตมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ดังนั้นจะต้องเหนือกว่าเขาที่เป็นผู้บังคับการ

หลังคนทั้งสองกล่าวร่ำลา โจวซานจึงออกเดินทางจากเทศมณฑลชิงหยวนพร้อมทหารเก่าที่ติดตามตนเองมา เพื่อมุ่งหน้ากลับไปเข้าร่วมกองทัพเฟยสยง

ส่วนทางด้านอู๋ฝาน เขาไม่มีเหตุให้ต้องเร่งรีบ ขณะนี้เรื่องการรับใช้กองทัพได้คลี่คลายลงแล้ว ชายหนุ่มสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ หรือต่อให้ยังไม่อยากออกเดินทางตอนนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา ปัจจุบันตนคือขุนนาง มีอสังหาริมทรัพย์ในเทศมณฑลชิงหยวน หากไม่ต้องการกลับ ต่อให้เป็นผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวน ก็ไม่มีทางกล้าว่ากล่าวอะไรเขา

[1] หนานเจี๋ย คือ ยศขุนนาง ชั้นบารอน